ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 290 เห็นดารากลางทิวา-4
บทที่ 290 เห็นดารากลางทิวา-4
หากบอกว่าเป็นเรื่องของตน เขายังสามารถทนไหว
แต่กับเรื่องลูกหลานของเขาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถใช้เหตุผลเข้าว่าได้
บิดามารดาล้วนเป็นเช่นนี้
ไม่ว่าระดับการฝึกตนจะสูงส่งเพียงใด มีอำนาจมากมายเพียงใด
แต่ยามพวกเขาปฏิบัติต่อลูกหลาน ก็มักเห็นว่าลูกหลานอ่อนแอน่าสงสาร
หลายคราวนักที่เหล่าบุตรหลานหาได้ยอมรับน้ำใจนี้
แต่บิดามารดาก็ยังคงทำเช่นนี้อยู่เรื่อยไป
ในความเป็นจริงจึงมักดำเนินไปอย่างขัดแย้ง
ก็เป็นเช่นที่สตรีนางนี้ว่าไว้ตั้งแต่ต้น
ลูกหลานมีความสุขของลูกหลานเอง
บรรดาผู้ใหญ่คิดว่าชะตาของบรรดาลูกหลานจำเป็นต้องให้ตนคอยควบคุมดูแล กะเกณฑ์ไปเสียทุกสิ่ง จึงจะดำเนินไปได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
หารู้ไม่ว่าที่แท้แล้วชะตาชีวิตของพวกเขากลับถูกเหล่าลูกหลานยึดกุมอยู่ในมือ
พวกเขาสามารถทำให้ผู้หลักผู้ใหญ่ของตนเป็นสุขได้ชั่วนิรันดร์ และยังสามารถทำให้พวกเขาทุกข์ทรมานเป็นที่สุดได้อีกด้วย
บุตรชายของซุนเต๋ออวี่เป็นคนไร้ค่าที่มีลมหายใจอยู่ไปวันๆ
แต่ก็เพราะคนไร้ค่าเปล่าประโยชน์เช่นนี้ กลับสามารถทำให้บิดาเขาผู้มีระดับพลังเกือบถึงขั้นสุดยอดของปรมบุคคลถูกกระบี่แทงเอาได้
ความผิดถูกของหลักการนี้ชัดเจนและพบเห็นได้บ่อยครั้ง
อย่างไรก็ตาม การหลั่งโลหิตก็คือการเสียเปรียบ
ต่อให้พรรณนาอีกมากเท่าใด เขาก็หลั่งโลหิตไปแล้ว
และสิ่งที่ทำให้เขาต้องหลั่งโลหิต ก็คือสิ่งที่มีหลักการ
ไม่ว่าบุญคุณความแค้นนับไม่ถ้วนแต่ก่อนเก่าจะมีสักกี่มากน้อย แต่เรื่องจริงในเวลานี้ก็คือ กระบี่ของนางแทงเข้าเป้าหมายไปแล้ว
“เจ้า…โหดร้ายนัก!”
ซุนเต๋ออวี่กล่าว
“ข้าหรือโหดร้าย ข้าไม่เคยรู้สึกว่าข้าโหดร้ายแต่อย่างใด”
สตรีกล่าว
นางกระตุกข้อมือหนหนึ่ง
เพื่อสั่นให้หยดเลือดบนกระบี่หยดลงพื้นให้หมด
“ด้วยความสามารถและพลังยุทธของเจ้า มีชายใดบ้างที่เจ้าไม่อาจครอบครองได้ แล้วเหตุใดต้องเจาะจงมาทำลายบุตรชายของข้าด้วย”
ซุนเต๋ออวี่ซักไซ้
เขาใช้กระบี่ยันพื้น มือกุมบาดแผลเอาไว้
กระบี่นี้ทำเขาบาดเจ็บไม่เบาทีเดียว
“ทำร้าย? เหตุใดเจ้าไม่คิดว่าพวกเรารักกันด้วยใจจริงเล่า”
สตรีกล่าว
ซุนเต๋ออวี่ไม่ตอบ
แต่สีหน้าบนใบหน้าของเขากลับเปิดเผยคำพูดในใจที่เขาอยากเอ่ยออกมาจนหมด
มันคือความดูแคลนและเย้ยหยันที่เต็มเปี่ยม
สตรีเงยหน้ามองฟ้า
หลิวรุ่ยอิ่งมองแผ่นหลังของนาง ช่างเศร้าสลดนัก
อย่างไรเสียนางก็เป็นสตรีนางหนึ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งเชื่อว่านางและบุตรชายของซุนเต๋ออวี่นั้นรักกันด้วยใจจริง
ทว่าซุนเต๋ออวี่บอกว่าเขาถูกนางทำลาย ผู้อื่นก็จะว่ากันเช่นนั้น
สตรีเช่นนางกลับยินยอมพร้อมใจทำสิ่งที่ทั้งใต้หล้าเห็นว่าเป็นความผิดมหันต์เพื่อให้ได้อยู่กับบุตรชายของเขา ความทุกข์ทรมานและพะว้าพะวังในใจนางนั้นจะมีสักกี่คนที่รับรู้
“ก็เป็นเพราะด้วยความสามารถและระดับพลังของข้า ไม่ว่าชายใดในหล้า ข้าก็สามารถครอบครองได้จริงดังว่า ข้าจึงรักบุตรชายเจ้า”
สตรีกล่าวอย่างเย็นชา
น้ำเสียงเย็นเฉียบ
ปราศจากอารมณ์ใดๆ
หลิวรุ่ยอิ่งอยู่ห่างถึงเพียงนี้ ยามเสียงนั้นแล่นเข้ามาในหู กลับทำให้เขาอดสั่นสะท้านไม่ได้
“ทำเช่นนี้เพื่อสิ่งใดอีก”
ซุนเต๋ออวี่ถาม
“ก็เพื่อยามเขารู้ว่าข้าคือผู้ใด ก็จะยังคงรู้สึกเช่นเดิมต่อข้า ส่วนเจ้า ความตรงไปตรงมาของเจ้ายังห่างไกลกับบุตรชายของเจ้านัก!”
สตรีกล่าว
และยกกระบี่ชี้ไปยังซุนเต๋ออวี่
จากนั้น
หลิวรุ่ยอิ่งสัมผัสได้ว่ามหาพลังแห่งฟ้าดินในระยะร้อยลี้นี้กำลังพุ่งรวมมาทางนี้อย่างรวดเร็ว
ลมและเมฆเหนือศีรษะหมุนตลบ ปรากฏเป็นเส้นหนึ่งบนท้องฟ้า
ในชั่วเวลาเอ่ยคำพูดหนึ่งประโยค สตรีนางนี้ก็ได้สัมผัสกับโอกาสงามที่จะขึ้นไปอยู่ในระดับเทพบริราชเก้าทวีป
มนุษย์ล้วนมีเจ็ดอารมณ์หกตัณหา
ด่านที่ผ่านยากที่สุดก็คืออารมณ์
คำพูดที่กล่าวออกไปเมื่อครู่นี้
แสดงความรู้สึกจริงแท้ที่สุดของนาง
หนึ่งถ้อยข้ามผ่านอารมณ์
ไม่เพียงอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง
แม้แต่ในเมืองหลวง ฉิงจงอ๋องหลิวจิ่งเฮ่าที่กำลังนั่งสัปหงกก็ยังสัมผัสได้ถึงปรากฏการณ์ผิดปกติที่อยู่ห่างออกไปแสนไกล จนต้องสะดุ้งขึ้นมานั่งตัวตรงในพริบตา
ซุนเต๋ออวี่นิ่งเงียบไร้วาจา
มองเส้นหนึ่งเส้นเหนือศีรษะ
“ใช้บริราชเก้าทวีปฟันข้าเสีย เจ้ายังรอสิ่งใดอยู่”
ซุนเต๋ออวี่ถาม
“ฟ้าหนึ่งเส้นอย่างไรก็เป็นเพียงแค่ฟ้าหนึ่งเส้น ยังห่างไกลจากไร้เมฆานับหมื่นลี้ ฟ้าโปร่งอากาศสดใสมากนัก”
สตรีกล่าว
“ฟันข้าเสีย มันต้องเป็นเช่นนี้”
ซุนเต๋ออวี่กล่าว
เขาลุกขึ้นยืนตัวตรงอีกครั้ง
แม้จะต้องตาย เขาก็ไม่อยากอยู่ในสภาพหลังคดงอ
สตรีเหม่อมองฟ้า
ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
ทันใดนั้นเอง กระบี่ในมือนางพลันอ่อนตัวลง
ชั้นเมฆปกคลุมท้องฟ้าอีกครั้ง
ฟ้าดินค่อยๆ กลับมาสงบเงียบเช่นเดิม
“นี่เจ้ากลับ…ปล่อยผ่านไป!”
ซุนเต๋ออวี่กล่าว
หากไม่ใช่เพราะกำลังแหงนหน้ามองฟ้า
น้ำตาก็คงร่วงลงมานานแล้ว
“เหมือนนางร้องไห้อีกแล้ว!”
หวาหนงกล่าว
“อืม..”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบไปคำหนึ่ง
ช่วงเวลานี้ เขามีเพียงความนับถือให้แก่สตรีผู้นี้
และไม่เหลือความดูแคลนอีก
แม้ว่าสตรีจะเยือกเย็นในเรื่องความรักยิ่งกว่าบุรุษมากนัก แต่หากเปิดทั้งใจและกายไปรักใครสักคนกลับน่ากลัวกว่าบุรุษมากนัก
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าที่นางหลั่งน้ำตาครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อน
ครั้งก่อนเป็นเพียงละครตบตาเพื่อให้เข้ามาในเมืองนี้ได้
แต่เวลานี้กลับเป็นการระบายความรู้สึกจริงแท้ของนางออกมา
น้ำตานี้ไหลผ่านแก้มนางทีละหยด ก่อนร่วงลงสู่พื้น
กลายเป็นหนึ่งเดียวกับดินโคลนเละบนผืนดิน
แต่ก็หยดลงในใจนางทีละหยดเช่นกัน
หยดลงที่ใจนาง จนแหลกสลายสิ้นแล้ว
สำหรับคนที่จิตใจแตกสลาย การได้ขึ้นครองตำแหน่งเทพแห่งบริราชเก้าทวีปยังจะมีความหมายใดอีกเล่า
ไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง
และคนที่จิตใจแตกสลายผู้หนึ่งก็จะปิดประตูที่ตนจะได้ขึ้นครองตำแหน่งนี้ไปตลอดกาล
อาจเป็นไปได้ว่านางจะสามารถสงบจิตใจลงได้
มีคนมากมายที่ทำเช่นนี้
แต่หลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าสตรีตรงหน้าผู้นี้จะไม่มีวันทำเช่นนั้น
ดวงใจแหลกสลายก็เท่ากับแหลกสลายไปแล้ว
ของที่เคยแตกสลาย ไม่ว่าจะนำกลับมาประกอบใหม่เช่นใดก็ไม่สมบูรณ์อีกแล้ว
ซึ่งนี่ก็คือสิ่งที่นางคิดอยู่ในใจนั่นเอง
กระจกแตกอย่างไรก็ยังสามารถกลับมาเป็นเช่นเดิม แต่ใจแตกสลายจะไม่มีวันประกอบให้เป็นดังเดิมได้
“ระดับพลังของเขา ไม่ใช่ข้าเป็นคนทำลาย เป็นตัวเขาเองต่างหาก”
สตรีเช็ดน้ำตาจนเหือดแห้ง
และบอกกับซุนเต๋ออวี่
“เหตุใดเขาต้องทำเช่นนี้”
ซุนเต๋ออวี่ถามด้วยความไม่เข้าใจ
“เพราะเขาก็รักข้าเช่นกัน”
สตรีกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งต้องทอดถอนใจอย่างหนัก
ยวนยางชะตารันทดคู่นี้
ผู้หนึ่งยอมทำลายพลังยุทธ์ของตนเพื่อคนรัก
ผู้หนึ่งยอมให้จิตใจแตกสลายเพื่ออีกฝ่าย
ส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนี้ ที่แท้แล้วเพื่อสิ่งใดกัน?
แต่ซุนเต๋ออวี่กลับรู้สึกว่ากระบี่นี้ของตนไม่ได้เสียแรงเปล่า
หากครั้งนั้น เขามองให้กว้างไกลกว่านี้สักหน่อย อาจไม่ต้องลงเอยเช่นในวันนี้
“เจ้าสังหารฆ่าเถิด เพราะนี่เป็นสิ่งที่ข้าติดค้างต่อเจ้า!”
ซุนเต๋ออวี่กล่าว
“ข้าจะไม่สังหารเจ้า”
สตรีเอ่ยพลางส่ายหน้า
“เหตุใดจึงไม่สังหารข้า เจ้าไม่โกรธแค้นข้าหรอกหรือ”
ซุนเต๋ออวี่กล่าว
“ข้าไม่อาจสัมผัสได้ถึงความรู้สึกใดๆ อีกแล้ว และเจ้าก็เป็นถึงบิดาของคนที่ข้ารัก ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงไม่สังหารเจ้า”
สตรีกล่าว
จากนั้นตัวนางอ่อนระทวยลง
ลงไปนั่งบนพื้นโคลนเละกอดกระบี่อ่อนของตนด้วยอาการเหม่อลอย
ซุนเต๋ออวี่ยังอยากกล่าวบางสิ่ง แต่กลับสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ
“เจ้ารีบไปเสีย! เบี้ยหวัดของทหารชายแดนสี่ล้านตำลึงถูกชิงไป วังอ๋องส่งผู้ถวายงานสามคนมาสืบสวนเรื่องนี้! มหาพลังที่เจ้าทำให้ฟ้าดินสะเทือน รวมทั้งชั่วโอกาสให้ขึ้นตำแหน่งเทพบริราชเก้าทวีปเมื่อครู่นี้ ทำให้ผู้ถวายงานอีกสองคนมุ่งหน้ามาที่นี่อย่างเร่งด่วน หากยังไม่ไป เจ้าจะต้องตาย!”
ซุนเต๋ออวี่กล่าว
ในที่สุดตัวเขาก็คลายปมในใจนี้ไปได้เช่นกัน
หากไม่ก็คงไม่เอ่ยคำนี้ออกมา
แต่สตรีนางนี้เหมือนว่าได้ฟังแต่ไม่ได้ยิน
ยังคงนั่งเหม่ออยู่เช่นนั้น
สองตาว่างเปล่า ไร้แววใดๆ
“นางมาก็เพื่อบอกกล่าวเรื่องนี้แก่ท่านให้ชัดแจ้ง…ยามนี้เรื่องราวกระจ่างแล้ว นางจึงไม่มีความคิดเห็นใดๆ ในเรื่องความตาย นางไม่ได้อาทรร้อนใจมาแต่ไรแล้ว”
จู่ๆ หลิวรุ่ยอิ่งก็ก้าวเข้ามาเอ่ย
“น้องชายคือผู้ใด”
ซุนเต๋ออวี่เห็นว่าราศีของหลิวรุ่ยอิ่งนั้นไม่ใช่ธรรมดา จึงเอ่ยปากถาม
ตอนเขาต่อสู้กับสตรีนางนี้อยู่ กลับไม่ได้สังเกตหลิวรุ่ยอิ่งมากนัก
“คนนอก”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
ซุนเต๋ออวี่ยิ้มเจื่อน
คนในงงงวย คนนอกเห็นกระจ่าง
เรียกได้ว่ายิ่งเขามีชีวิตอยู่มานานยิ่งถอยหลังจริงๆ…
“ขอรบกวนน้องชายเรื่องหนึ่ง!”
ซุนเต๋ออวี่ประสานมือคำนับพลางเอ่ย
“ข้าจะพานางไปจากที่นี่!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เขารู้ว่าซุนเต๋ออวี่จะไหว้วานตนเรื่องใด
และตัวเขาเองก็ไม่อยากเห็นสตรีที่ปักใจในรักและมั่นคงในคุณธรรมเช่นนี้ ต้องมาตายด้วยเงื้อมมือของผู้ถวายงานแห่งวังอ๋องที่ไร้มโนธรรม
“ขอบใจมาก…ข้าน้อยซุนเต๋ออวี่ ผู้ถวายงานแห่งวังเจิ้นเป่ยอ๋อง!”
ซุนเต๋ออวี่กล่าว
และละวางท่าทีอ่อนลงมาก บอกกล่าวชื่อและตำแหน่งของตนอย่างเป็นทางการยิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ดีว่านี่หมายความว่าซุนเต๋ออวี่ติดค้างหนี้น้ำใจตนหนหนึ่ง
จู่ๆ หลิวรุ่ยอิ่งก็ยิ้มเจื่อนขึ้นมาเช่นกัน
นึกไม่ถึงว่าการเดินทางกลับเมืองหลวงจะยากเย็นเพียงนี้
ทว่าบางเส้นทาง เมื่อได้ออกเดินทางแล้ว
หากไม่เดินไปจนสุดทาง ก็ไม่มีทางออกอื่นอีก
………………………………………