ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 294 วิหคทมิฬกับอีกา-2
บทที่ 294 วิหคทมิฬกับอีกา-2
ต่อให้วิหคทมิฬผู้นี้จะมีพลังสูงส่งอีกเท่าใด ก็ไม่ควรว่ากันเรื่องผิดถูกเช่นนี้กระมัง
เพียงถ้อยคำฝ่ายเดียวของหลานชายที่ไม่เอาถ่านก็จะให้อีกฝ่ายตัดมือทิ้งเอาไว้ข้างหนึ่งเสียแล้ว
“หากไม่ทิ้งเอาไว้เล่า”
จู่ๆ หวาหนงที่นิ่งเงียบเรื่อยมาก็เอ่ยปาก
“ไม่ทิ้งมือไว้ ก็ทิ้งชีวิตไว้!”
วิหคทมิฬกล่าว
“ท่านอาของข้าเพิ่งสังหารห่าวฉี! ที่รีบมาที่นี่ก็เพื่อมาอวยพรวันเกิดให้กับสหายสนิทของเขาซึ่งก็คือจิ้นเผิง หัวหน้าอาคารกรมสอบสวนท้องถิ่นที่นี่!”
นายท่านจางยืนอยู่ข้างหลังวิหคทมิฬพูดออกมาด้วยท่าทางจิ้งจอกพึ่งบารมีพยัคฆ์
“ห่าวฉี! ไม่รู้จัก…เพราะเขาขี้สงสัย[1]เกินไป จึงสับสนวุ่นวายจนตัวตายหรือ”
หวาหนงเอ่ย
หลิวรุ่ยอิ่งหันมองหวาหนงอย่างประหลาดใจ
คิดไม่ถึงว่าคำพูดขี้เล่นเช่นนี้จะออกมาจากปากเขา
ดูท่าว่าเจ้าเด็กหนุ่มนี่จะหลอมรวมเข้ากับผู้คนได้รวดเร็วกว่าที่เขาคิดไว้
“ก็ด้วยคำพูดนี้ ข้าจะสังหารเจ้า!”
วิหคทมิฬกล่าว
ก่อนจะหันหลังเดินไป
หวาหนงมองแผ่นหลังของวิหคทมิฬด้วยความสงสัย
เขาไม่รู้ว่าคนผู้หนึ่งที่เพิ่งข่มขู่ว่าจะต้องสังหารตนเอง เหตุใดจึงจากไปในทันที
“เขาจะให้เจ้าตามไป ที่นี่คนมากเกินไป ยากหลบเลี่ยงให้คนไม่เกี่ยวข้องถูกลูกหลง แม้ว่าวิหคทมิฬจะลงมืออย่างไร้ข้อจำกัด แต่ขอเพียงไม่ไปยั่วยุเขา เขาก็มีด้านที่ดีงามอยู่ด้วย”
เยว่ตี๋กล่าว
“ดีงามเพียงใด”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“ในแดนเจิ้นเป่ยอ๋องมีคนชราที่มีชีวิตยากลำบากอย่างน้อยกว่าร้อยครัวเรือน เขาเป็นผู้เลี้ยงดูทั้งหมด อย่ามองแค่ว่าเขาทั้งมีชื่อเสียง ระดับพลังยุทธ์ก็สูงส่ง แต่เงินของเขาล้วนนำไปใช้กับเรื่องเหล่านี้ ซึ่งก็คือทำเรื่องดีๆ ที่เขาอยากทำ”
เยว่ตี๋กล่าว
“แม้พี่เยว่จะออกจากกรมสอบสวนแล้ว แต่ก็ยังคำนึงถึงกรมสอบสวนอยู่ตลอดเวลา…”
จู่ๆ หลิวรุ่ยอิ่งก็เอ่ยทอดถอนใจออกมา
“คำพูดนี้หมายความอย่างไร”
เยว่ตี๋ถาม
“หากไม่ใช่ทำเพื่อกรมสอบสวน เหตุใดต้องลำบากสืบรายละเอียดของยอดฝีมือในแดนเจิ้นเป่ยอ๋องเอาไว้ชัดเจนนัก”
หลิวรุ่ยอิ่งย้อนถาม
“เคยชินเสียแล้ว หาได้จงใจทำ”
เยว่ตี๋อธิบายเสียงเบาประโยคหนึ่ง
“ฉะนั้นเจ้าจะตามไปหรือไม่ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าต้องตายทีเดียว! เจ้ายังไม่ใช่คนของกรมสอบสวน ข้าจะไม่ช่วยเจ้า”
เยว่ตี๋หันหน้ามาพูดกับหวาหนง
และยังดึงถังหูลู่ที่ยังกินไม่หมดลูกหนึ่งออกมายัดใส่ปากเขา
“ข้าไม่กลัวตาย และไม่จำเป็นต้องให้ใครช่วยด้วย!”
หวาหนงคายลูกซานจาที่มีชั้นน้ำตาลเคี่ยวเคลือบอยู่ออกมา ก่อนก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า
วิหคทมิฬพาคนทั้งกลุ่มเดินออกไปจากเมือง
ป่าแห่งนี้มีแต่ต้นไม้ที่แห้งตาย
ทั้งที่อยู่ในฤดูใบไม้ผลิแท้ๆ
แต่บรรยากาศภายในป่าแห่งนี้กลับเหมือนฤดูใบไม้ร่วง
ขาดก็แต่ใบไม้ที่ร่วงลงพื้นเท่านั้น
ต้นไม้เหี่ยวตายผลิใบไม่ได้
ย่อมไม่มีใบไม้ร่วงเป็นธรรมดา
วิหคทมิฬยืนอยู่ใต้ต้นไม้แห้งที่มีลำต้นใหญ่ที่สุด
หากไม่ใช่เพราะชุดดำบนตัวเขาสะดุดตาเกินไปในเวลากลางวัน เขาก็แทบหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับต้นไม้แห้งที่อยู่ข้างหลังเขาไปแล้ว
นายท่านจางและคนอื่นๆ ที่เหลือต่างยืนเอามือปิดปากอยู่ไกลๆ
แม้แต่หายใจก็ยังไม่กล้า
แต่หวาหนงกลับไม่สนใจเรื่องพวกนี้
ทุกก้าวที่เขาเดินล้วนเข้มแข็งหนักแน่น
เขาทำลายบรรยากาศแสนบีบคั้นที่วิหคทมิฬสร้างขึ้นมาอย่างยากเย็นไปจนหมด
แต่วิหคทมิฬกลับยังคงนิ่งเงียบ
จากดวงตาของเขาที่เผยออกมาให้เห็น หลิวรุ่ยอิ่งยังสัมผัสได้ถึงความอ่อนล้าอย่างหนึ่ง
จะอย่างไรหลังจากสังหารคนผู้หนึ่ง ยังไม่ทันได้พักก็ต้องเร่งเดินทางมาอวยพรวันเกิดให้สหายที่เมืองหยางเหวิน เดิมทีก็เป็นเรื่องที่ทำให้คนอ่อนล้าอยู่แล้ว
ห่าวฉีผู้นี้ ความจริงแล้วก็ไม่ได้ขี้สงสัยอันใด
กลับกัน เขาเป็นคนน่าเบื่ออย่างยิ่ง
ไม่ว่าเรื่องใดเขาก็ไม่มีความสนใจทั้งสิ้น
แต่ก็เพราะเป็นคนน่าเบื่อเช่นนี้ กลับไปท้าดวลกับวิหคทมิฬ
ซ้ำยังบอกให้วิหคทมิฬไปล้างลำคอให้สะอาดรอเขาด้วย
ยังคุยโวอีกว่าหลังสังหารวิหคทมิฬแล้ว จะถอดชุดสีดำของเขาออกให้หมด และจับเขาแขวนเปลือยกายอยู่บนป้ายหน้าร้านสุรา
หลังจากนั้น ร้านสุราร้านนี้ก็จะต้องเปลี่ยนชื่อมาเป็น ‘ร้านสุราอีกา’
วิชากระบี่ของห่าวฉีก็ร้ายกาจไม่เบา
แต่เขาต่างกับมือกระบี่ทั่วไป
แม้เขาจะบอกให้วิหคทมิฬล้างลำคอให้สะอาด
แต่ในคนจำนวนหนึ่งพันเจ็ดร้อยแปดคนที่เขาสังหาร กลับไม่มีสักคนที่ตายเพราะถูกกระบี่แทงเข้าที่ลำคอ
แต่หลังจากตกตะลึงกับรังสีกระบี่ของห่าวฉี คนทั้งหมดล้วนถูกพลังฝ่ามือซัดทำลายหัวใจจนแหลกและถึงแก่ชีวิต
ฉะนั้น ที่แท้แล้วเขาเป็นมือกระบี่หรือไม่
เรื่องนี้ก็ยังเป็นคำถามที่ผู้คนถกเถียงกันอยู่
เพียงแต่วิหคทมิฬไม่ได้ตกตะลึงรังสีกระบี่ของเขา
ตาดำในดวงตาทั้งคู่ของเขาใหญ่กว่าคนทั่วไปมากนัก
ราวกับว่าเมื่อลำแสงใดๆ เข้าไปแล้ว ก็จะไม่มีหนทางให้ถอยกลับอีก
ด้วยเหตุนี้ก่อนที่ฝ่ามือของห่าวฉีจะมาถึงหัวใจ วิหคทมิฬจึงใช้กระบี่แทงทะลุฝ่ามือเขา
จากนั้นก็ใช้กระบี่ของเขาเอง ตรึงฝ่ามือทั้งคู่ของเขาไว้บนพื้นอย่างแน่นหนา
ตัวกระบี่ปักอยู่ในพื้น
มีเพียงด้ามกระบี่ที่โผล่ออกมา
ความอ่อนล้าในดวงตาทั้งคู่ของเขาเพียงเพราะระคายตาจากรังสีกระบี่ของห่าวฉีเท่านั้น
แต่ก็ยังคงมีไอสังหารที่บีบคั้นชนิดหนึ่ง
ทำให้คนรู้สึกเหน็บหนาวเข้าไปถึงกระดูก
“พวกเขาบอกว่าไม่มีผู้ใดสามารถเรียกเจ้าว่าอีกาต่อหน้าเจ้า!”
หวาหนงกล่าว
ผ้าปิดหน้าของวิหคทมิฬขยับขึ้นลงสองสามครั้ง
แต่ก็ยังไม่ได้เอ่ยออกมาสักคำ
เขาสังหารคนล้วนเป็นเพราะว่าอีกฝ่ายไม่ให้โอกาสตนเองได้มีชีวิตอยู่
ด้วยเหตุนี้เขาจึงให้พวกของหลิวรุ่ยอิ่งทิ้งมือไว้ข้างหนึ่ง
แต่พวกของหลิวรุ่ยอิ่งกลับไม่ยอมฟัง
ฉะนั้น เขาจึงต้องสังหารคน
ยังมีหวาหนงผู้นี้อีก
ทั้งที่เยว่ตี๋ก็บอกเขาแล้วว่าวิหคทมิฬผู้นี้เกลียดที่ผู้อื่นเรียกเขาว่าอีกาเป็นที่สุด
แต่หวาหนงก็ยังมาเอ่ยคำนี้ต่อหน้าเขาอีก
มองดูแล้วเหมือนไม่ได้เรียก
แต่กลับเอ่ยออกจากปากแล้ว
วิหคทมิฬคิดว่าตนเองเป็นคนที่ยุติธรรมยิ่ง
เพราะก่อนที่เขาจะสังหารคน ล้วนเคยให้ตัวเลือกแก่อีกฝ่ายเสมอ
เห็นๆ กันอยู่ว่าเป็นอีกฝ่ายละทิ้งโอกาสจะเลือกเอง ด้วยเหตุนี้จึงโทษเขาไม่ได้ที่ต้องสังหารคน
“เพลงกระบี่ของเขามีจุดร้ายกาจใดหรือไม่”
หวาหนงหันหน้ามาถาม
“ข้าไม่เคยเห็นเขาใช้กระบี่มาก่อน”
เยว่ตี๋ส่ายหน้าพลางเอ่ย
“เช่นนั้นเมื่อข้าสังหารเขา จะส่งผลต่อการไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดในคืนนี้หรือไม่”
หวาหนงถามต่อ
เพราะเมื่อครู่นี้นายท่านจางก็บอกแล้วว่า
วิหคทมิฬผู้นี้เป็นสหายสนิทของจิ้นเผิง หัวหน้าอาคารที่ทำการกรมสอบสวนท้องถิ่นที่นี่
หากสังหารแขกที่จะมาร่วมงานวันเกิดของผู้อื่น
เช่นนั้นเจ้าภาพย่อมต้องไม่พอใจ
“เขาจะไม่ไม่พอใจ กลับกัน ข้าก็คิดหาของกำนัลอวยพรเอาไว้เรียบร้อยแล้วด้วย”
เยว่ตี๋กล่าว
“หรือว่าพี่เยว่จะใช้ชีวิตของวิหคทมิฬผู้นี้เป็นของกำนัล”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“เหตุใดจะไม่ได้”
เยว่ตี๋ถาม
“แต่อย่างไรเขาก็นับได้ว่าเป็นคนดีคนหนึ่ง หากเขาตายแล้ว คนชราไร้ที่พึ่งกว่าร้อยคนจะทำอย่างไร”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“หากเขาไม่ตาย ช้าเร็วก็ต้องมีสักวันที่ยอมไปสวามิภักดิ์ต่อเจิ้นเป่ยอ๋อง ถึงเวลานั้น กรมสอบสวนกลางของเราจะทำเช่นใด”
เยว่ตี๋ย้อนถาม
หลิวรุ่ยอิ่งนิ่งเงียบ
สิ่งที่พวกเขาทั้งสองคนพูดต่างก็ไม่ผิด
เพียงเพราะต้นเหตุต่างกันเท่านั้น
จนถึงตอนนี้หลิวรุ่ยอิ่งเพิ่งตระหนักถึงความโหดร้ายของกรมสอบสวน
หากจะให้เขากลายเป็นภัยคุกคามในวันหน้า ไม่สู้ตัดไฟแต่ต้นลม
“ข้าจะสังหารเจ้า”
“พวกเจ้าสองคนไปได้แล้ว”
วิหคทมิฬเอ่ยและชี้ไปยังหลิวรุ่ยอิ่งกับเยว่ตี๋
นี่ก็นับได้ว่าเขาเป็นผู้ที่มีหลักการของตนจริงๆ
“สังหารเขาแล้ว จะทำให้ผู้คนรู้สึกว่าข้าเก่งกาจใช่หรือไม่”
หวาหนงกล่าว
เขาเข้าใจถึงความสำคัญของการทำให้คนยอมรับแล้ว
ข้อนี้กลับนับว่าเป็นเรื่องดี
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า
แสดงว่าเห็นด้วยในสิ่งที่หวาหนงพูด
หวาหนงยิ้มให้หลิวรุ่ยอิ่ง
เขาต้องการเอาสิ่งที่ตนพลาดท่าเสียทีให้จิ้งเหยาและเกาเหรินชดเชยกลับมาให้หมดในคราวเดียว
สายลมวูบหนึ่งพัดมา
ทำให้รู้สึกหนาวเย็น
หลิวรุ่ยอิ่งจึงเพิ่งรู้สึกว่าไม่ได้มีแค่ป่าแห่งนี้เท่านั้นที่ประหลาด
ยิ่งไปกว่านั้นพระอาทิตย์ของวันนี้ก็ดูประหลาดยิ่งนัก
ว่ากันว่าดวงจันทร์มีเต็มมีเว้า
แต่พระอาทิตย์ในวันนี้ คล้ายว่ามีเพียงครึ่งเดียวอยู่เช่นนั้น
ยามมองขึ้นไปก็ไม่เห็นเป็นวงกลมเช่นปกติ
วิหคทมิฬมองกระบี่โกโรโกโสที่เอวของหวาหนง ทันใดนั้นสีหน้าก็แข็งทื่อขึ้นมา
“นี่คือกระบี่ของเจ้าหรือ”
วิหคทมิฬถาม
“ข้าใช้มานานแล้ว รูปร่างไม่ค่อยน่ามอง แต่ใช้ดีอย่างยิ่ง”
หวาหนงกล่าว
วิหคทมิฬสะท้านใจขึ้นมา
คนที่ใช้กระบี่เช่นนี้ หากไม่ใช่ยอดฝีมือระดับสูง ก็จะต้องเป็นคนบ้าผู้หนึ่ง
แต่สองตาของหวาหนงสดใส น้ำเสียงสุขุมราบเรียบ
ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่ใช่คนบ้า
อย่างมากก็แค่บอกได้ว่าเขาดูประหลาดเล็กน้อยเท่านั้น
วิหคทมิฬมองไปยังหลิวรุ่ยอิ่งและเยว่ตี๋อีกหน
สีหน้าของคนทั้งสองต่างผ่อนคลาย ไม่หวั่นเกรงแต่อย่างใด
เขาสูดหายใจเข้าลึก
รวบรวมกำลัง ในที่สุดก็จะออกกระบี่แล้ว
พูดมาจนถึงขั้นนี้
จะไม่ออกกระบี่ได้อย่างไร
ออกกระบี่แล้วก็ไม่แน่ว่าจะชนะ
แต่หากไม่ออกกระบี่ ชั่วชีวิตนี้เขาก็ต้องกลายเป็นอีกา
วิหคทมิฬและอีกา แม้จะมีสีเดียวกัน
แต่ฟังดูแล้ว อย่างไรก็ต่างกันยิ่งนัก
ฉะนั้น กระบี่ของเขาจึงเกี่ยวพันถึงชีวิต
เขาต้องรักษาชื่อเสียงของตน!
สุดท้ายนั้นจะเป็นวิหคทมิฬหรือเป็นอีกา
ก็ต้องดูจากกระบี่ของตนในคราวนี้แล้ว
แต่เขากลับมองข้ามเรื่องสำคัญอย่างยิ่งเรื่องหนึ่งไป
นั่นก็คือหากเขาไม่ชนะ
เกรงว่าผู้อื่นก็จะไม่มีโอกาสให้ต้องลังเลอีกแล้วว่าควรเรียกเขาว่าวิหคทมิฬหรืออีกา
เห็นชัดว่าหวาหนงจะไม่เสียเวลาจับเขาสวมชุดขาวทั้งตัว
แต่จะต้องหาผ้าผืนหนึ่งที่มีสีดำยิ่งกว่าเสื้อผ้าของเขามาคลุมร่างเขาไว้
จะอย่างไร อีกาก็มีสีดำกว่าวิหคทมิฬอยู่บ้าง
………………………………………
[1] ขี้สงสัย ในภาษาจีน ออกเสียงคล้ายชื่อเขาว่า ห่าวฉี