ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 299 ผ้าขาวกับของขวัญงานเลี้ยงวันเกิด-5
บทที่ 299 ผ้าขาวกับของขวัญงานเลี้ยงวันเกิด-5
หากคนผู้หนึ่งรู้ว่าตัวเองมีชีวิตอยู่ได้แค่สามชั่วยาม
เช่นนั้นเขาจะทำสิ่งใดบ้าง?
อย่างน้อยสำหรับจิ้นเผิงแล้ว
สามชั่วยามนั้นเพียงพอที่จะดื่มจนเมามาย
เพียงพอที่จะเล่นการพนันจนเสียเงินหมดตัว
และเพียงพอที่จะหาหญิงสาวคนหนึ่งมากอดแล้วหลับให้สบาย
แต่เขาไม่อยากทำอะไรจากที่กล่าวมาเลย
ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากทำ แต่ยังไม่ถึงเวลาที่เขาควรทำสิ่งเหล่านั้น
สามชั่วยามจะบอกว่านานก็ไม่นาน จะว่าสั้นก็ไม่สั้น
หากวางแผนดีๆ อันที่จริงก็สามารถทำอะไรได้มากมาย
แม้กระทั่งขี่ม้าฟาดแส้หนีไปอย่างรวดเร็วก็ทันเวลา
เพียงพอให้เขาหลบหนีไปได้ไกลมากทีเดียว
แต่เขาไม่สามารถหลบหนีได้
ไม่ใช่เพราะจิ้นเผิงมีความมั่นใจมากพอที่จะฆ่าห้าคนนั้น
แต่เพราะเขาได้เชิญเหล่าสหายทุกคนมาร่วมงานวันเกิดของเขา แล้วเขาผู้เป็นเจ้าภาพจะจากไปได้อย่างไรกัน
อีกทั้งเงินที่จ่ายเป็นค่ามัดจำสำหรับโรงเตี๊ยม เขาก็จ่ายเพียงแค่มัดจำเท่านั้น
จิ้นเผิงไม่ชอบมีหนี้สิน และไม่ชอบติดหนี้บุญคุณ
ถ้าเขาเพียงแค่จากไปเฉยๆ
เขาอาจรู้สึกสบายใจขึ้น
แต่ก็ยังคงมีทั้งหนี้สินและหนี้บุญคุณค้างคาอยู่
เขาในตอนนี้ออกมาจากห้องอาบน้ำแล้ว
ตอนที่เขาเดินเข้ามา เขาเข้ามาทางประตูหน้าของโรงอาบน้ำ
แต่ตอนที่เขาออกไป เขาเดินผ่านกำแพงที่พังลงนั้นออกมาตรงๆ
เขากลับมาอยู่บนถนนอีกครั้ง
เมื่อผ่านประตูอาคารกรมสอบสวน
เขาเห็นหญิงสาวผู้นั้นเพิ่งเก็บข้าวของ และเดินออกมาจากอาคาร
เมื่อนางเห็นจิ้นเผิง นางก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน
ดูเหมือนจะเขินอายเล็กน้อย
ไม่ใช่ครั้งแรกที่หญิงสาวผู้นี้นอนกับเขา
แต่เมื่อคืนที่ผ่านมาเป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสนาง
ครั้งก่อนๆ เขาเพียงแค่นอนกอดนางเท่านั้น
“งานเลี้ยงวันเกิดของท่านคืนนี้ ข้าไปได้หรือไม่”
หญิงสาวรีบเร่งฝีเท้า ตั้งใจจะเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวเช่นนี้ปกติจะไม่ชอบเปิดเผยใบหน้าต่อธารกำนัล
เพราะมักจะถูกคนอื่นพูดลับหลัง
“เจ้าอยากไปงานเลี้ยงวันเกิดของข้าหรือ”
จิ้นเผิงเอ่ยถาม
จะว่าไปแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพูดคุยกับหญิงสาวผู้นี้มากมายขนาดนี้
“ไม่…ไม่…ข้าแค่ถามเฉยๆ เจ้าค่ะ”
หญิงสาวโบกมือพัลวัน
ไม่ได้เจอกันมากว่าครึ่งปี
หญิงสาวผู้นี้ก็เปลี่ยนไปแล้ว
ทว่าจิ้นเผิงไม่รู้แม้แต่ชื่อของนาง
เมื่อนึกถึงว่าตนอาจจะต้องตายในอีกสามชั่วยามข้างหน้า
เขาจึงตัดสินใจว่าต้องถามชื่อของหญิงสาวที่เขาได้ใช้เวลาด้วยกันเมื่อคืนนี้ให้รู้แล้วรู้รอด
“เจ้าชื่ออะไร”
จิ้นเผิงถาม
“เนี่ยนเวย…”
หญิงสาวตอบอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ข้าถามชื่อจริงของเจ้า”
จิ้นเผิงพูด
สตรีในหอนางโลมมักจะมีนามแฝงที่ฟังดูไพเราะ
เพราะนอกจากจะฟังดูสง่างามแล้ว ยังสามารถกระตุ้นความปรารถนาของผู้คนได้
“หลี่ชุ่ย…”
หญิงสาวก้มหน้าต่ำพร้อมเอ่ย
แม้นางจะไม่ได้ตั้งใจมองไปรอบๆ
แต่นางรู้ว่าการสนทนาของนางกับใต้เท้าท่านนี้ได้ดึงดูดความสนใจจากผู้คนที่อยากรู้อยากเห็นจำนวนไม่น้อย
พวกเขาอาจจะไม่กล้าเข้ามาใกล้เกินไป
แต่หูของพวกเขานั้นยาวกว่าใครๆ
เมื่อเทียบกับชื่อ ‘เนี่ยนเวย’ แล้ว ‘หลี่ชุ่ย’ ก็ออกจะเรียบง่ายอยู่บ้าง
เช่นเดียวกับคำพูดที่ฟังแล้วเจ็บปวด แต่เป็นคำแนะนำที่ดีหรือยาดีมีรสขม
หากเติมแต่งมากเกินไปก็อาจจะดูเกินจริง
ท้ายที่สุดมันอาจจะซุกซ่อนความแท้จริงไว้
หลังจากฟังชื่อของนาง จิ้นเผิงก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
แต่เดินไปที่แผงลอยรับเขียนจดหมายแผงหนึ่งข้างถนน
เขาขอหมึกและพู่กันจากชายคนนั้นและเริ่มลงมือขีดเขียน
เขียนเสร็จเขาก็ใช้แสงแดดเป่าให้แห้งแล้วส่งให้หลี่ชุ่ย
“นี่คืออะไรหรือเจ้าคะ”
หลี่ชุ่ยเอ่ยถาม
“เจ้าไม่รู้หนังสือหรือ”
จิ้นเผิงถาม
หลี่ชุ่ยส่ายหัวอย่างเขินอาย
หากครอบครัวนางมีเงินให้นางได้เรียนหนังสือ นางก็คงไม่เป็นอย่างเช่นทุกวันนี้
“แม่นางหลี่ชุ่ยเปิดอ่านด้วยตัวเอง วันนี้ยามหมู่[1] ขอเชิญท่านมายังโรงเตี๊ยมในเมืองหยางเหวิน เพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของข้าน้อย ลงนาม จิ้นเผิง”
จิ้นเผิงอ่านให้นางฟังทีละคำ
ถึงแม้ว่าลีลาการเขียนเขาดีกว่าการอ่าน
แต่เพราะหญิงสาวผู้นี้ไม่สามารถอ่านหนังสือได้ เขาจึงพยายามใช้ภาษาทั่วไปอ่านให้นางฟัง
พออ่านเสร็จ เขาก็ยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้หลี่ชุ่ย
“ขออภัย แต่เวลามีจำกัด ข้าไม่สามารถเตรียมเทียบเชิญที่ประณีตเหมือนที่ให้คนอื่นได้”
จิ้นเผิงกล่าว
เห็นได้ชัดว่าหลี่ชุ่ยไม่ได้ยินคำพูดนี้
ตอนนี้นางกำลังจดจ่ออยู่กับเทียบเชิญง่ายๆ ที่ถืออยู่ในมือ
ถึงแม้นางจะไม่รู้หนังสือ
แต่ความจำของนางนั้นยอดเยี่ยมเหลือเกิน
ทุกคำที่จิ้นเผิงอ่านไปนั้น นางจำได้แม่นยำไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่คำเดียว
ตอนนี้นางกำลังเทียบตัวอักษรบนเทียบเชิญทีละคำ
“นี่คือชื่อของข้าหรือเจ้าคะ”
หลี่ชุ่ยชี้ไปที่อักษร ‘หลี่ชุ่ย’ สองตัวบนสุดของเทียบเชิญแล้วเอ่ยถาม
“ข้าไม่แน่ใจว่าเจ้าใช้อักษร ‘ชุ่ย’ ตัวไหน แต่ข้าคิดว่าสตรีส่วนใหญ่น่าจะใช้ตัวนี้”
จิ้นเผิงกล่าว
ดวงตาของหลี่ชุ่ยเริ่มเปียกชื้น
ใบหน้าของนางเริ่มอ่อนโยนและสงบเงียบ
“ข้าจะไปตามเวลานัดหมายเจ้าค่ะ”
หลี่ชุ่ยพับเทียบเชิญอย่างระมัดระวังแล้วเก็บไว้ในแขนเสื้อของนาง
“ช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร”
จิ้นเผิงบอกนาง
เพราะตอนกลางคืนมักเป็นเวลาที่เหล่าสตรีเหล่านี้ยุ่งที่สุด
“ไม่เจ้าค่ะ ข้าจะไม่มาสาย ข้าจะมาตรงเวลาแน่นอน”
หลี่ชุ่ยกล่าว
พูดจบนางก็รีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
จิ้นเผิงตั้งใจจะถามนางว่าชอบกินอาหารประเภทไหน
แต่นางเดินเร็วเกินไป
จิ้นเผิงจึงไม่ได้เอ่ยถามออกไป
เขาเพียงมองตามแผ่นหลังนาง
ในใจของจิ้นเผิงเริ่มมีความอ่อนโยนขึ้นมาเล็กน้อย
ใบไม้ร่วงหล่นกลับคืนสู่รากเหง้า
แม้ความถวิลหาจะเป็นการแสดงถึงความรักที่มั่นคง
สุดท้าย คนเราก็ต้องมีครอบครัว
ยิ่งอยู่นอกบ้านนาน
ความคิดนี้ก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
การใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีไม่ผูกมัด แม้จะสนุกสนาน
แต่จิ้นเผิงไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถต้านทานความโดดเดี่ยวที่ซ่อนอยู่ข้างหลังความสุขนี้ได้อีกนานเท่าไร
บทเพลงจบผู้คนก็เลิกรา สร่างเมาก็ปวดศีรษะ
แม้แต่ในงานเลี้ยงวันเกิดที่คึกคัก เมื่อเห็นเหล่าสหายแยกย้ายกันไปทีละคนหลังจากงานเลี้ยงจบลง ก็ทำให้เขารู้สึกหดหู่และเศร้าโศกไม่น้อย
จิ้นเผิงมองหลี่ชุ่ยเดินห่างออกไป
แล้วเขาก็เดินเข้าไปในร้านสุราที่อยู่ใกล้ๆ
เขาไม่ได้มาดื่มสุรา
แต่มาหาอะไรกิน
และนี่ก็เป็นแผนเดิมของเขาอยู่แล้ว
ร้านสุราแห่งนี้ก็คือที่ที่พวกหลิวรุ่ยอิ่งเข้าไปก่อนหน้านี้
เขามีห้องอาบน้ำส่วนตัวในโรงอาบน้ำ
และที่ร้านสุรานี้ เขาก็มีที่นั่งส่วนตัวเช่นกัน
ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถนั่งได้
ไม่ว่าเขาจะมาหรือไม่มา เถ้าแก่ก็เก็บที่นั่งไว้ให้เขาเสมอ
เขาตัดสินใจจะใช้เวลาหนึ่งชั่วยามที่นี่
ส่วนอีกสองชั่วยามที่เหลือเขายังไม่ได้คิดว่าจะทำอะไร
นี่เป็นร้านสุราที่ใหญ่มาก
สำหรับเมืองเล็กๆ ที่ห่างไกลเช่นนี้ การมีร้านสุราขนาดใหญ่เช่นนี้เป็นเรื่องที่หาได้ยาก
หลังจากที่จิ้นเผิงนั่งลงก็ไม่ได้พูดอะไร
เสี่ยวเอ้อร์รู้ดีว่าเขาต้องการทานสิ่งใด
พร้อมเพิ่มสุราอีกหนึ่งกาให้เขา
นี่เป็นของขวัญจากเถ้าแก่
เพราะทุกคนในเมืองหยางเหวินต่างรู้กันว่าวันนี้คือวันเกิดของจิ้นเผิง
“เถ้าแก่ให้สุราแค่กาเดียวจะไม่ดูใจแคบไปหน่อยหรือ!”
จิ้นเผิงกล่าวติดตลก
“ท่านใต้เท้า หากท่านอยากดื่ม วันนี้ท่านจะดื่มเท่าไรก็ได้ขอรับ!”
เถ้าแก่เดินมาพูด
ต้องรู้ว่าอาหารสำหรับงานเลี้ยงวันเกิดคืนนี้ล้วนสั่งจากร้านนี้ทั้งสิ้น
เพียงเท่านี้เถ้าแก่ก็ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ
แค่สุราไม่กี่กา หรือต่อให้เป็นคฤหัสถ์ลูกแป้งก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่
อีกทั้งเจ้าของโรงเตี๊ยมและร้านสุรานั้นเฉลียวฉลาดที่สุด
คนไหนที่ควรประจบสอพลอ คนไหนที่สามารถล่วงเกินได้
ล้วนมีบัญชีที่ชัดเจนเล่มหนึ่งอยู่ในใจ
แม้จิ้นเผิงจะเอ่ยออกไปเช่นนั้น แต่ใจจริงเขาก็ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะดื่มหรือไม่
ทว่าคิดไปคิดมา
เขาก็หยิบสุราขึ้นมาดื่มโดยไม่ได้ตั้งใจ
จอกแล้วจอกเล่า ไม่นานสุราหนึ่งกาก็หมดลง
เสี่ยวเอ้อร์เห็นดังนั้น
เขาเห็นว่ากาสุราของจิ้นเผิงหมดแล้ว ก็รีบเอากาใหม่มาเติมให้ทันที
จนกระทั่งสุรากาใหม่วางลงบนโต๊ะ
จิ้นเผิงถึงเพิ่งรู้ตัวว่าเขาเริ่มดื่มสุราแล้ว
ทั้งยังดื่มหมดไปแล้วกาหนึ่ง
ดูเหมือนว่าสองชั่วยามที่เหลือของเขาไม่จำเป็นต้องวางแผนอะไรแล้ว
การนั่งร่ำสุราอยู่ที่นี่ ก็ไม่ใช่ว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเช่นกันหรอกหรือ
…………………………………………
[1] ยามหมู่ หมายถึงช่วงเวลาประมาณ 19.00-21.00 น. ตามเวลาปัจจุบัน