ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 30 พบกันอีกครานามว่าผู้ตัดสัมพันธ์-1
บทที่ 30 พบกันอีกครานามว่าผู้ตัดสัมพันธ์-1
ภายในอาคารกรมสอบสวน หัวเมืองรัฐติง
หลิวรุ่ยอิ่งเพิ่งอาบน้ำเสร็จและเดินออกจากห้องอาบน้ำ
เขามองผิวพรรณเรียบเนียนกระจ่างใส นิ้วเรียวยาวและเล็บสะอาดสะอ้านของตัวเองจนอดส่ายหัวพลางถอนหายใจไม่ได้
“ว่ากันว่ายินยอมเป็นผู้บัญชาการย่อมดีกว่าบัณฑิต ทว่ามองอย่างไรสองมือของข้าหาได้เหมือนผู้รำกระบี่ระบำดาบไม่”
ทันใดนั้นเขารู้สึกว่าผิวเนียนนุ่มบอบบางของตัวเองช่างละม้ายคล้ายสตรีจนเกินไป พลันกระดากอายขึ้นมาเล็กน้อยแล้วหันกลับไปส่องกระจกอีกครั้งพลางแตะปลายคางอย่างครุ่นคิด
หลังจากสวมเครื่องแบบกลับไปใหม่อีกครั้ง หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าผ้าปักลายนกกระเรียนบนเครื่องแบบทางการดูเสมือนจริงราวกับมีชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ
“คารวะท่านนายกอง!”
เมื่อเปิดประตู ผู้รับใช้กองจำนวนสามสิบหกนายและผู้สั่งการกองจำนวนเจ็ดสิบสองนายของอาคารกรมสอบสวนหัวเมืองรัฐติงเรียงแถวออกเป็นสองฝั่งโค้งคำนับพร้อมเพรียงกัน ภายใต้การนำของหัวหน้าอาคารนายกอง
ผู้สั่งการกองเจ็ดสิบสองนายสวมเสื้อคลุมปักลายนกกระเรียนสีเขียวอ่อนพกดาบเพลิงรุ้งสะท้อนเงาที่เอว
ผู้รับใช้กองสามสิบหกนายสวมเสื้อคลุมปักลายนกกระเรียนสีฟ้าเงาแวววาว ในมือถือดาบพลังรุ้งพิฆาต
ทุกคนล้วนมีจิตใจมุ่งมั่นฮึกเหิม
อาคารกรมสอบสวนแห่งนี้ ถูกละเลยและเบียดเบียนมาโดยตลอด
สืบเนื่องจากอดีตหัวหน้าอาคารคนก่อนล่วงเกินผู้มีตำแหน่งสูงสังกัดกรมสอบสวนกลางผู้หนึ่ง ด้วยเหตุนี้อาคารกรมสอบสวนในหัวเมืองรัฐติงแห่งนี้จึงถูกใช้อำนาจข่มเหงไม่น้อย
ในทางกลับกัน รัฐติงตั้งอยู่เขตชายแดน
สามลัทธิเก้าสำนักตกอยู่ในความอลหม่าน ความขัดแย้งระหว่างพลเรือนและทหารมีไม่ขาดสาย
ในฐานะที่กรมสอบสวนเป็นหน่วยตรวจข่าวกรอง อีกทั้งในนามผู้ใต้บังคับบัญชาฉิงจงอ๋องได้สร้างรากฐานให้เขาต้องทนทุกข์กับชะตากรรมที่ถูกบีบคั้นในดินแดนแห่งนี้
จึงมีชีวิตที่บิดามารดาไม่รักใคร่เอ็นดูมานานหลายปี
หัวหน้าอาคารคนปัจจุบันเห็นว่าเขาไร้ความหวังเลื่อนตำแหน่งในหน่วยงานจึงเสนอให้มารับตำแหน่งที่อาคารกรมสอบสวนของที่นี่ เพื่อดูว่าสามารถรอและได้รับโอกาสในอนาคตหรือไม่
คาดไม่ถึงว่าขณะที่เขารู้สึกท้อแท้หมดหวังต้องอดทนผ่านพ้นคืนวัน หลิวรุ่ยอิ่งก็ปรากฏตัวขึ้น ดาวดวงใหม่กรมสอบสวนได้รับความโปรดปรานจากใต้เท้าผู้ตรวจการกองสัคคะเนตรค่อยๆ ขึ้นมาอยู่ตรงหน้าเขา โอกาสเช่นนี้จะไม่ไขว่คว้ามาอยู่ในอ้อมอกได้อย่างไร
“สหายทุกท่านไม่ต้องมากพิธี เดาว่าทุกท่านคงทราบกันว่าครั้งนี้กรมสอบสวนหัวเมืองรัฐติงข้ากรูออกมาเพราะเหตุใด”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดถึงตรงนี้ก็เว้นหยุดครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าเหล่าคนตรงหน้ายังรักษาท่าทีกระตือรือร้นจึงพูดต่อ
“ทัพอีกาดำรวมพล แสดงให้เห็นว่าฮั่ววั่งติ้งซีอ๋องจะเคลื่อนไหวทางทหารครั้งใหญ่ที่ชายแดน กองข้าได้รับคำสั่งจากเจี่ยงชางฉงใต้เท้าผู้ตรวจการกองสัคคะเนตรให้เป็นผู้แทนการตรวจสอบพิเศษสืบสวนคดีใหญ่ประจำตะวันตกเฉียงเหนือ
แต่ไรมาความสงบสุขชายแดนเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด ไม่กี่วันก่อน กองข้าได้รับสารลับจากคุกหลวงกล่าวว่าเฮ่อโหย่วเจี้ยนผู้ว่าการรัฐติงรับสินบนปฏิบัติตนผิดกฎหมาย สมคบคิดอย่างลับๆ กับราชสำนักทุ่งหญ้าขายผลประโยชน์ของชาติบ้านเมือง ช่วยไม่ได้ที่ติ้งซีอ๋องขอร้องด้วยตนเอง กองข้าก็เข้าใจว่าสงครามชายแดนปัจจุบันเป็นเรื่องเร่งด่วน หากจะเปลี่ยนแม่ทัพในทันทีไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยเหตุนี้จึงต้องยอมให้ชั่วคราว
แต่ครั้งนี้กองข้าจำเป็นต้องนำกรมสอบสวนอาวุธครบมือของข้าไปตรวจสอบคดีเฮ่อโหย่วเจี้ยนโดยละเอียดพร้อมทัพอีกาดำที่ชายแดนเอง หากบริสุทธิ์ กองข้าจะรายงานใต้เท้าผู้ตรวจการกองและจะส่งต่อไปยังคุกหลวง หากโทษกล่าวหาพิสูจน์ว่าจริง เช่นนั้นจะสังหารทันที ไม่สนว่าเป็นหรือตาย!”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยน้ำเสียงเฉียบขาด พร้อมท่าทางเด็ดเดี่ยว
ครั้นได้ยินว่าจะจัดการเฮ่อโหย่วเจี้ยนเช่นนี้ แม้แต่นายกองที่ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าอาคารก่อนเขาหลายปียังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัวไปทั้งตัว
แต่ก่อนที่ความตกใจจะผ่านพ้นไปพลันรู้สึกว่าหัวใจดวงนี้นิ่งงันไปเนิ่นนานจนมันเริ่มเต้นอีกครั้ง
ความรู้สึกนี้ไม่อาจถือได้ว่ายิ่งแก่เฒ่าก็ยิ่งแข็งแรง อย่างไรเสียเขาหัวหน้าอาคารก็ยังไม่นับว่าแก่เกินไป
หากต้องบรรยายละก็ อาจจะเป็นความทะเยอทะยานกระมัง
เดิมทีเหลือเพียงประกายไฟไม่กี่ดวงใกล้มอดดับ กลับถูกหลิวรุ่ยอิ่งราดด้วยสุราแรงหนึ่งไห จะไม่ให้เดือดเป็นฟืนเป็นไฟได้อย่างไร
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวจบพร้อมเดินไปข้างหน้า
ทุกคนที่อยู่ข้างหลังก็ไม่พูดอะไรอีก เพียงแค่เดินเรียงแถวตามไปทีละคน
ทันใดนั้นคนกลุ่มใหญ่พากันเดินออกมาจากอาคารกรมสอบสวนซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำเอาคนทั้งละแวกตกอกตกใจ
“เฮ้! เจ้าดูสิ เหตุใดวันนี้พวกข้าราชการถึงได้เปลี่ยนชุดกันหมด”
“ไม่รู้สิ…เจ้าทำเป็นพูดไป ชุดนี้ช่างดูมีชีวิตชีวา! สวมใส่แล้วรู้สึกเหมือนสั่นสะท้านไปทั้งตัว!”
“พวกเจ้าเบาเสียงลงหน่อย! หยุดพูดเหลวไหล…นั่นเป็นคนของกรมสอบสวน! ไม่ใช่ข้าราชการรัฐติงของเรา”
“กรมสอบสวนหรือ นั่นคือสิ่งใดกัน…เหตุใดจึงไม่เคยได้ยินมาก่อน”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากทุกทิศทุกทางดังไปถึงหูหลิ่วรุ่ยอิ่ง ทำเอาหัวหน้าอาคารข้างกายเขารู้สึกอับอายขายหน้าฉับพลัน
หลิวรุ่ยอิ่งเอี้ยวคอเล็กน้อยพลางเหลือบมองผู้คนข้างหลัง ในใจคิดคำนวณอยู่หลายอย่าง
ในเวลานี้บังเอิญพบคนชอบแส่เรื่องชาวบ้านเดินทะเล่อทะล่าเข้ามาถามไถ่ความถูกผิด
“พวกเจ้าคือผู้ใดกัน! แต่งกายเสแสร้ง…ดูแปลกตาถึงเพียงนี้ เกรงว่าไม่ได้มาจากคณะละครที่ใดสักแห่งกระมัง! แต่เหตุใดคณะละครของพวกเจ้ามีแต่พวกแก่หงำเหงือกเล่า ไม่มีแม้แต่ตัวละครหญิงสาว ห่วยแตกเสียจริง…ถุย!”
คนพาลท่าทางเซ่อซ่าแทะเมล็ดแตงเดินเข้ามาว่ากล่าว
เขาทำให้กรมสอบสวนทุกคนหงุดหงิดไม่ว่า ทิ้งทวนประโยคสุดท้ายพร้อมถุยเปลือกเมล็ดแตงผสมน้ำลายใส่หน้าผู้รับใช้กองนายหนึ่ง
“อ๊าก!”
ก่อนที่ผู้รับใช้กองคนนั้นจะเช็ดสิ่งสกปรกบนหน้าจนสะอาด พลันเห็นคนพาลที่เพิ่งถ่มน้ำลายใส่เขาถูกกระบี่แทงทะลุ ขณะล้มลงกับพื้นร่างกายยังมิวายกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้
เลือดไหลย้อยปลายกระบี่หลิวรุ่ยอิ่งชี้ไปทางผู้ชมโดยรอบ
“กรมสืบสวนกำลังปฏิบัติหน้าที่ คนว่างงานหลบไปเสีย! ผู้ฝ่าฝืนจะถูกสังหารไร้ความปราณี!”
เงียบสงัด
เย็นเยือกยิ่งกว่าหิมะน้ำแข็ง
เวิ้งว้างยิ่งกว่าความว่างเปล่า
เวลาของทุกคนราวกับถูกปิดกั้นไว้
พี่สะใภ้ที่กำลังซื้อผัก ขณะเอื้อมมือลงไปหยิบหัวไชเท้าหล่นบนพื้นยังมิวายหันหน้ามาทางนี้
ปู่เฒ่าที่กำลังอุ้มหลาน เด็กน้อยในอ้อมแขนร้องไห้ไปได้ครึ่งทางไม่สังเกตเห็นน้ำมูกไหลเข้าปากแม้แต่น้อย
ตามด้วย ฝูงชนที่เฝ้าดูความตื่นเต้นส่งเสียงร้อง หนีแตกกระเจิงไปทั่วทุกทิศราวกับคนบ้า หัวไชเท้าก็ถูกเหยียบย่ำจนเละเทะ
หลิวรุ่ยอิ่งเก็บกระบี่เข้าฝัก ตบไหล่ผู้รับใช้กองผู้นั้นและไม่พูดอะไรให้มากความ
กรมสอบสวนทุกคนชื่นชมวิธีการรวดเร็วดังสายฟ้าฟาดของหลิวรุ่ยอิ่งมาก พวกเขาอดรนยอมทนกันมาเนิ่นนาน นานจนผู้คนรัฐติงไม่ทราบถึงการดำรงอยู่ของกรมสืบสวนด้วยซ้ำ
สร้างบารมี
หลิวรุ่ยอิ่งทำได้ดีในขั้นตอนนี้
ไม่เพียงแต่ปลุกจิตวิญญาณกรมสอบสวนเท่านั้น ทั้งยังสร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเองผ่านการสัมผัสรับรู้ในหมู่ฝูงชนอีกด้วย
ติดตามข้าราชการระดับสูงที่สังหารเด็ดขาดเช่นนี้ ยังต้องเกรงกลัวว่าตนเองจะถูกรังแกหรือความกังวลในวันข้างหน้าอีกหรือ
หลิ่วรุ่ยอิ่งมองผู้คนหลบหนีกระจายไปทุกทิศทุกทาง ไม่รู้เพราะเหตุใดกลับรู้สึกภูมิใจและมีความสุขเล็กๆ ในใจ
“ไปจวนผู้ควบคุมรัฐติง!”
หลิวรุ่ยอิ่งพลิกตัวควบม้า เมินศพร่างนั้นบนพื้นโดยสิ้นเชิง
“ให้เจ้าเป็นฐานก้าวแรกสู่หนทางผู้บังคับการกรมของข้าเสียเถอะ!”
………………………………………………………….