ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 302 ชายพเนจรมักคิดถึงบ้าน-2
บทที่ 302 ชายพเนจรมักคิดถึงบ้าน-2
แต่ทุกคนกลับคิดไม่ถึง
ชายยากไร้ผู้นี้มีคุณสมบัติที่จะกลายเป็นเศรษฐีได้
มีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่มองเห็นจุดนี้
แม้ว่านางจะเป็นคนที่อยู่บนความเป็นจริง แต่ก็ต้องยอมรับว่านางมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล
นางเข้ามาดูแลทุกอย่างในชีวิตของหนานเจิ้น ตั้งแต่เครื่องแต่งกายจนถึงอาหารการกิน
ทำให้หนานเจิ้นเรียนรู้ที่จะเพลิดเพลินกับชีวิต
และเริ่มมีเนื้อหนังมังสาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ในที่สุดเขาก็เริ่มทำรถสี่ล้อใหม่ให้ตัวเอง
ไม่ใช่เพราะเขาต้องการหาเงิน
แต่เพราะรถสี่ล้อคันเดิมเล็กเกินไป
รับน้ำหนักร่างกายที่อ้วนขึ้นของเขาไม่ไหวแล้ว
พอเขาทำรถสี่ล้อใหม่เสร็จเรียบร้อย
สตรีนางนั้นกล่าวกับเขาสามคำ
“แต่งกับข้า”
หนานเจิ้นชะงัก
เขาก็รักสตรีผู้นี้เช่นกัน
แต่การแต่งงานนั้นต้องการเงินทุน
บ้านเขาว่างเปล่า
โต๊ะกินข้าวพอตกเย็นก็ต้องใช้เป็นที่นอน
แต่สตรีผู้นี้ช่างฉลาดหลักแหลม
นางชี้ไปที่รถสี่ล้อเก่าๆ ของหนานเจิ้น
“ขายมันเสีย ก็จะมีเงินใช้แล้วไม่ใช่หรือ”
สตรีเอ่ย
หนานเจิ้นตบหัวตัวเอง รู้แจ้งในทันที
วันรุ่งขึ้นเขาจึงขายรถสี่ล้อที่สามารถบินและวิ่งได้นั้น
ราคารวมถึงหนึ่งแสนตำลึงเงิน
อีกอย่างมันเป็นชิ้นเดียวในโลก
หลังจากนั้นได้ยินว่ามันถูกขายไปหลายมือ และสุดท้ายตกอยู่ในมือของผิงหนานอ๋องสวีหย่าซาน
ถูกเก็บสะสมไว้เป็นสมบัติในวังอ๋อง
ทุกครั้งที่มีแขกสำคัญมาเยือน เขาก็จะนำมันออกมาโอ้อวด
มีหนึ่งแสนตำลึงเงินแล้ว
เขาไม่เพียงสามารถแต่งภรรยาได้ แต่ยังเริ่มทำการค้าขายได้อีกด้วย
หลังจากซื้อคฤหาสน์หลังใหญ่หนึ่งหลังแล้ว หนานเจิ้นก็สู่ขอหญิงสาวผู้นั้นเข้ามาเป็นภรรยาอย่างภาคภูมิใจ
จิ้นเผิงกับเขานั้นรู้จักกันมานานแล้ว
เมื่อครั้งที่หนานเจิ้นยังเดินได้ พวกเขาทั้งคู่ก็รู้จักกันแล้ว
แม้ตอนนั้นหนานเจิ้นจะสามารถวิ่งและกระโดดได้
แต่การทำงานของเขาก็เฉกเช่นทุกวันนี้
ยังเอ่ยเฉื่อยเชื่องช้าเหมือนเดิม
แม้กระทั่งก่อนจะกินข้าว เขาก็ยังต้องคิดให้ดีก่อน
มือซ้ายและขวาของหนานเจิ้นนั้นคล่องแคล่วเท่ากัน
นั่นเป็นเหตุผลที่เขาสามารถสร้างสรรค์สิ่งมหัศจรรย์ที่ทำให้ใต้หล้าตะลึงได้
แต่ในคืนก่อนแต่งงาน…
จิ้นเผิงเดินทางจากกรมสอบสวนกลางเพื่อมาหาหนานเจิ้งโดยเฉพาะ
จุดประสงค์นั้นง่ายดายมาก
เพื่อบอกกับหนานเจิ้งว่าไม่ควรแต่งงานกับสตรีผู้นี้
ถ้าไม่แต่งกับนาง เขาอาจจะยากจนไปตลอดชีวิต
แต่อย่างน้อยเขาก็จะสุขสบายใจ
ถ้าแต่งงานกับนาง นั่นก็เท่ากับทำลายชีวิตตัวเองไปตลอดชีพ
แต่ในเวลานั้น หนานเจิ้งจะฟังคำพูดเช่นนั้นได้อย่างไร
เดิมทีเขาคิดว่าจิ้นเผิงมาหาเขาเพื่อดื่มสุรา
สุดท้ายเขากลับใช้จอกสุราและขวดสุราขว้างใส่จิ้นเผิง ไล่ออกไปจากบ้านไป
หนานเจิ้งสามารถยอมรับคำแนะนำจากจิ้นเผิงได้
แต่เขาทนไม่ได้ที่จิ้นเผิงดูหมิ่นภรรยาที่ยังไม่แต่งเข้ามาของเขาได้
เพราะจิ้นเผิงบอกกับหนานเจิ้งว่า
สตรีคนนั้นดูแลเขา ก็เพื่อให้เขาอ้วนขึ้น
และเมื่อเขาอ้วนขึ้น เขาก็ต้องทำรถเข็นสี่ล้อใหม่
เช่นนี้ก็จะสามารถขายรถเข็นสี่ล้อคันเก่าและได้รับเงินก้อนโต
แม้ว่าในอนาคตนางอาจจะไม่ได้ปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดี
แต่เจ้าจะต้องกลายเป็นเครื่องจักรทำเงินให้นางตลอดชีวิต
แม้ว่าหนานเจิ้นจะไม่ได้ตอบ
แต่เศษขวดสุราและจอกสุราที่แตกกระจายบนพื้นคือคำตอบที่ดีที่สุดแล้ว
ในคืนที่พวกเขาแต่งงานกัน
จิ้นเผิงก็มาเยี่ยมเยือนอีกครั้ง
หนานเจิ้นอิ่มเอมใจที่จะได้เข้าเรือนหอ
ไม่มีเวลาจะไปสนใจเขา
ตั้งแต่ซื้อคฤหาสน์หลังใหม่มา หนานเจิ้นได้ติดตั้งกลไกต่างๆ ที่เขาคิดค้นไว้ทั่วบ้าน ไม่ว่าจะด้านหน้าหรือด้านหลัง ด้านบนด้านล่าง
เพราะเขาไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์
ตอนนี้หนานเจิ้นร่ำรวยและมีภรรยาที่งดงาม
ดังนั้นเขาจึงใช้กลไกสังหารเหล่านี้เพื่อปกป้องสิ่งที่ได้มาอย่างยากลำบาก
พอเห็นจิ้นเผิง เขาก็เริ่มกลไกโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ทันใดนั้น ศรเหล็กแปดสิบเอ็ดดอกที่มีคมแหลมทะลุทะลวงล้วนพุ่งผ่านร่างของจิ้นเผิงไป
“เหตุใดเจ้าจึงไม่หลบ”
หนานเจิ้นเอ่ยถาม
“เพราะเจ้าไม่มีวันฆ่าข้า”
จิ้นเผิงส่ายหัวพูด
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะไม่ฆ่าเจ้า พูดไม่ดีเกี่ยวกับภรรยาข้าอยู่บ่อยๆ ข้าอยากจะฆ่าเจ้ามานานแล้ว!”
หนานเจิ้นพูดพลางชี้จิ้นเผิง
“แล้วเหตุใดศรเหล็กเหล่านี้ถึงไม่ทะลุอกไปเล่า”
จิ้นเผิงถาม
“นั่นเพราะว่า…เพราะว่ากลไกเหล่านี้เพิ่งติดตั้งเสร็จไม่นาน ยังไม่ทันได้ปรับให้เข้าที่!”
หนานเจิ้นตอบ
“หนานเจิ้นจะมีวันที่ทำพลาดเช่นนี้ได้หรือ ใช่ว่าข้าไม่เชื่อ ผู้คนในใต้หล้าเองก็คงไม่มีใครเชื่อ”
จิ้นเผิงกล่าว
หนานเจิ้นไม่ได้พูดอะไร
ศรเหล็กไม่ได้พุ่งทะลุอกเป็นเพราะเขาตั้งใจทำเช่นนั้นจริงๆ
หากเขาต้องการ
ศรเหล็กทั้งแปดสิบเอ็ดดอกนั้นจะทะลุหัวใจและคอหอยของจิ้นเผิงได้ทุกดอก
ไม่มีข้อยกเว้น
และสิ่งที่เขาประดิษฐ์ขึ้นมานั้น ไม่จำเป็นต้องปรับให้เข้าที่มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ครั้งหนึ่ง กุญแจห้องลับของฉิงจงอ๋องหลิวจิ่งเฮ่าพังโดยไม่ทราบสาเหตุ
หากไม่มีกุญแจ แม้กระทั่งตัวหลิวจิ่งเฮ่าเองก็ไม่สามารถเปิดได้
ยกเว้นใช้พลังฝ่ามือที่แข็งแกร่งฟาดให้แตก
แต่การทำเช่นนั้นอาจทำให้สิ่งของสำคัญภายในห้องลับได้รับความเสียหาย ดังนั้นจึงได้ส่งคนไปหาหนานเจิ้น
หนานเจิ้นเพียงแค่ฟังคนนั้นอธิบายเกี่ยวกับรูปทรงของกุญแจและวิธีการเปิดรอบหนึ่ง จากนั้นก็ทำกุญแจขึ้นมาดอกหนึ่ง
เพียงแต่คนจากวังอ๋องผู้นั้นไม่กล้ารับกุญแจ
เพราะว่าเขาได้รับคำสั่งให้เชิญหนานเจิ้นไปยังวังฉิงจงอ๋องในเมืองหลวง
หากเพียงแค่นำกุญแจกลับไป
ถ้าสามารถเปิดได้ก็ดีไป
แต่ถ้าเปิดไม่ได้ เกรงว่าหัวของเขาจะหลุดจากบ่าเพื่อชดใช้
“ถ้ากุญแจดอกนี้เปิดไม่ได้ ก็ให้ฉิงจงอ๋องมาตัดหัวข้าด้วยตัวเอง แล้วใช้มันเป็นที่คล้องกุญแจเสีย!”
คนจากวังอ๋องผู้นั้นไม่มีทางเลือก
ทำได้เพียงหยิบกุญแจดอกนี้กลับไปรายงานผล
คาดไม่ถึง
กุญแจที่หนานเจิ้นทำขึ้นนี้สามารถเปิดประตูห้องลับได้อย่างง่ายดาย
นอกจากทำให้ฉิงจงอ๋องหลิวจิ่งเฮ่ารู้สึกทึ่งและประหลาดใจแล้ว ยังเกิดจิตสังหารขึ้นมาเช่นกัน
หากใต้หล้านี้ไม่มีแม่กุญแจไหนที่หนานเจิ้นเปิดไม่ได้
แสดงว่าไม่มีความลับใดในใต้หล้าที่หนานเจิ้นมองไม่เห็น
คนเช่นนี้หากไม่อยู่ในสายตาของตน คอยจับตามองทุกวัน
ก็ต้องหายไปจากโลกนี้เพื่อไม่ให้กลายเป็นปัญหาในภายหลัง
ฉิงจงอ๋องหลิวจิ่งเฮ่าส่งมือสังหารออกไปทั้งหมดสามระลอก
แต่ละคนล้วนแต่สิ้นชีพลงใต้กลไกของหนานเจิ้นทั้งสิ้น
ดังนั้นหากเขาอยากให้เจิ้นเผิงตาย ก็เพียงแค่ขยับนิ้วเท่านั้น
“เมื่อรู้แล้วว่าข้าไว้ชีวิตเจ้า ก็รีบไสหัวไปให้พ้น!”
หนานเจิ้นพูดกับจิ้นเผิง
“ในฐานะสหายที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก อย่าพูดว่าไปให้พ้น! แม้เจ้าต้องการให้ข้าช่วยเจ้าบังศรก็ยังได้ ข้าแค่ทนไม่ได้ที่เจ้าตกเป็นเครื่องมือของคนอื่น”
จิ้นเผิงตอบ
แต่หนานเจิ้นตัดสินใจแน่วแน่แล้ว
เขาไม่ฟังคำพูดของจิ้นเผิงแม้แต่คำเดียว
ในที่สุดจิ้นเผิงก็เดิมพันกับเขา
ว่าถ้าหนานเจิ้นล้มเลิกงานฝีมือของตัวเอง และเงินออมทั้งหมดหายไปอย่างไร้ร่องรอย สตรีคนนั้นจะต้องทิ้งเขาไปแน่นอน
แม้หนานเจิ้นจะดูถูกคำพูดเหล่านั้น แต่ก็ยังตกลงเดิมพันกับเขา
ทั้งยังบอกว่าหากจิ้นเผิงชนะ เขาจะมอบสุราชั้นดีสามร้อยไหให้เขา และเตรียมโต๊ะอาหารชั้นเลิศเป็นเวลาหนึ่งเดือนติดต่อกัน
ไม่ว่าจะเป็นหูฉลามตุ๋นจากทะเลบูรพา รังนกจากเขาซีชาน หรืออุ้งตีนหมีจากตำบลเหมันต์
ขอเพียงเป็นอาหารชั้นเลิศในใต้หล้า เขาไม่เพียงแต่จะทำให้ แต่ยังต้องต่อเนื่องนานถึงหนึ่งเดือน
หลังจากตัดสินใจเดิมพันแล้ว จิ้นเผิงจึงล้มลงกับพื้น
และกลิ้งตัวออกไป[1]
เหมือนที่หนานเจิ้นกล่าวไว้ก่อนหน้านี้
หนานเจิ้นมองดูสหายสนิทของตนทำเช่นนี้ ในใจเต็มไปด้วยความเสียใจอย่างยิ่ง
ทว่าคนที่ลุ่มหลงในกามตัณหาย่อมนำพาชีวิตสู่หายนะได้โดยง่าย
ไม่นานนัก ความเศร้าเสียใจนั้นก็คลี่คลายลงด้วยความอ่อนโยนจากภรรยาจนเหลือเพียงน้อยนิด
ความเข้าใจของจิ้นเผิงที่มีต่อหนานเจิ้นไม่ได้มาจากความรู้จักมักคุ้นที่มีกันมาเนิ่นนาน
แต่เป็นเพราะว่าพวกเขาทั้งสองคือผู้พเนจร
หากพูดถึงการรู้จักกันมานาน
ยังมีใครรู้จักเราได้เร็วกว่าบิดามารดาอีกหรือ
แต่บิดามารดาก็ใช่ว่าจะเป็นคนที่เข้าใจเราที่สุดเสมอไป
ดังนั้นระดับความเข้าใจนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ารู้จักกันมานานแค่ไหน
บางครั้งมิตรภาพที่สั่งสมกันมานานนับสิบปี อาจไม่เท่ากับคนที่พบเจอเพียงครั้งเดียว หรือคนที่ร่ำสุรากันเพียงแค่คืนเดียว
ส่วนผู้พเนจรนั้นพเนจรไปมาอยู่นาน ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
ถึงแม้หนานเจิ้นจะมีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว
แต่ความคิดของเขากระตือรือร้นกว่าคนส่วนใหญ่มาก
อีกทั้งมุทะลุเกินกว่าผู้พเนจร
ชีวิตของผู้พเนจรล่องลอยอิสระ ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ทำตามสิ่งที่ต้องการ
ตอนที่ไม่มีเงิน ก็ต้องไปขุดหนอนในดินกินจริงๆ
แต่เมื่อมีเงินขึ้นมา การหาเรื่องสนุกสนานและรื่นเริงทุกคืนก็เป็นเรื่องปกติ
โศกเศร้าแต่ก็อิสรเสรี ไม่มีโซ่ตรวนใดพันธนาการไว้ได้
ทว่าพวกเขาทุกคนล้วนโดดเดี่ยว
ผู้พเนจรเป็นผู้ที่ปรารถนาจะกลับบ้านมากที่สุด
ถึงแม้พวกเขาจะไม่มีบ้าน
หรือไม่รู้แล้วว่าบ้านของพวกเขาอยู่หนใด
แม้ชีวิตระหว่างทางอาจเต็มไปด้วยความสนุกและเป็นอิสระ
แต่เมื่อเดินทางไปเรื่อยๆ ยามมองเห็นดวงจันทร์ที่สว่างไสวอยู่เบื้องหน้าก็มักจะรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่เสมอ
แสงจันทร์ส่องสว่างในหัวใจ
แต่กลับเดินอยู่บนเส้นทางสู่สุดขอบฟ้า
รู้สึกเศร้าก็ร่ำสุรา
เมื่อเมามายก็ร้องเพลง
วันแล้ววันเล่าก็ผ่านไปเช่นนี้
เพียงแต่เมื่อเทียบกับความปรารถนาที่จะกลับบ้าน สิ่งที่ผู้พเนจรเกลียดชังที่สุดคือการถูกจองจำ
เสื้อผ้าต้องใส่หลวมๆ ไม่ว่าจะเป็นแบบทันสมัยหรือล้าสมัย
ม้าต้องขี่ด้วยความเร็วและความสูงที่พอดี ไม่ว่าสีขนของม้าจะบริสุทธิ์หรือไม่
หากมีใครพยายามจะจองจำพวกเขา
สิ่งที่จะได้รับ หากไม่ใช่คมดาบก็เป็นปลายกระบี่
ผู้พเนจรคือกลุ่มคนที่กล้าปกป้องอิสระด้วยชีวิต
แม้พวกเขาอาจปรารถนาความอบอุ่นของบ้าน
แต่พวกเขาไม่ยอมให้ชีวิตถูกควบคุมด้วยสิ่งที่อยู่รอบตัว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการไปทำงานเข้าเช้าเลิกค่ำเถือกนั้น
สำหรับนิสัยของผู้พเนจรนั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาทำไม่ได้
ความรักของครอบครัวได้หายไปจากชีวิตแล้ว
สิ่งที่ผู้พเนจรให้ความสำคัญมากที่สุดคือมิตรภาพที่พวกเขามี
พวกเขาพร้อมที่จะปกป้องอิสรภาพของตัวเองด้วยชีวิต และยังพร้อมปกป้องมิตรภาพระหว่างสหายด้วยชีวิตเช่นกัน
เช่นเดียวกับที่จิ้นเผิงทำเพื่อหนานเจิ้น
เขารู้ดีว่าหนานเจิ้นจะไม่ใช้กลไกศรลับเพื่อปลิดชีพเขา
แต่หนานเจิ้นเองก็ไม่คาดคิดเลยว่าจอมยุทธ์พเนจรผู้หนึ่งกลับก้าวเข้าประตูกรมสอบสวนกลางเพื่อช่วยเขา
นั่นถือเป็นสถานที่ที่มีข้อจำกัดมากที่สุดและใหญ่โตที่สุดในใต้หล้า
ให้ผู้พเนจรไปรับราชการที่กรมสอบสวนย่อมทุกข์ทรมานยิ่งกว่าความตาย
แต่จิ้นเผิงกลับยังคงยืนหยัดมาได้
ไม่เพียงยืนหยัดได้ แต่เขายังก้าวหน้าอย่างยิ่ง กระทั่งก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บังคับบัญชา
………………………
คืนพระจันทร์เต็มดวง
ลมเย็นพัดผ่าน
จิ้นเผิงพามือดีของกรมสอบสวนสองสามคนลอบเข้าไปในบ้านของหนานเจิ้น
ด้วยความเข้าใจที่เขามีต่อหนานเจิ้น เขาจึงสามารถหลบหลีกกลไกทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย
หนานเจิ้นไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์
ภรรยาของเขาก็เช่นกัน
ตราบใดที่ไม่ไปกระตุ้นกลไกใดๆ พวกเขาทั้งคู่ก็ไม่ได้ยินเสียงจากภายนอก
จิ้นเผิงลอบเข้าไปในบ้านของหนานเจิ้นด้วยเหตุผลเดียวเท่านั้น
เขาต้องการขโมยเงินออมทั้งหมดของหนานเจิ้น
และต้องการหักแขนของเขาด้วย
เงินที่เก็บไว้สามารถหาใหม่ได้
แม้ว่าแขนที่หักสามารถหายเป็นปกติได้
แต่ภรรยาของเขาจะยังอยู่ข้างกายเขาหรือไม่ เรื่องนี้ก็พูดยาก
หลังจากที่ค้นหาทรัพย์สมบัติทั้งหมด จิ้นเผิงพบว่าหนานเจิ้นมีเงินออมไม่ถึงสามพันตำลึง
เมื่อเทียบกับสิ่งที่สายลับที่เขาส่งไปก่อนหน้านี้บอกมาว่าหนานเจิ้นทำงานหนักอย่างน้อยห้าชั่วยามต่อวัน
แต่จำนวนเงินเก็บที่พบกลับไม่สอดคล้องกับงานที่เขาทำแม้แต่น้อย
………………………………………………………
[1] คำว่าไปให้พ้นในภาษาจีนมีอีกความหมายคือกลิ้ง
ข้อความถึงนักอ่าน
@ProjectZyphon
สวัสดีค่ะ
.
ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2567 เป็นต้นไป นิยายเรื่อง ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา จะเปิดใช้ฟีเจอร์ “อ่านตอนที่ติดเหรียญได้เฉพาะบนแอปฯ” เนื่องจากผลงานเรื่องนี้ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ตอนที่ติดเหรียญบนแอปฯ เท่านั้น จึงส่งผลให้ไม่สามารถอ่านตอนที่ติดเหรียญบนเว็บไซต์ได้
.
ทั้งนี้ ทุกท่านสามารถซื้อนิยายเรื่อง ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา ทั้งบนเว็บไซต์และแอปฯ Fictionlog ได้ตามปกติ
.
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านสำหรับการสนับสนุนอย่างดีเสมอมา