ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 306 ตะเกียงเหมันต์ ค่ำคืนเปล่าเปลี่ยว การเดินทางไกล-3
- Home
- ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา
- บทที่ 306 ตะเกียงเหมันต์ ค่ำคืนเปล่าเปลี่ยว การเดินทางไกล-3
บทที่ 306 ตะเกียงเหมันต์ ค่ำคืนเปล่าเปลี่ยว การเดินทางไกล-3
หลิวรุ่ยอิ่งพาหวาหนงเดินตามจิ้นเผิงไปข้างหน้า
ถนนสายนี้เขาเดินผ่านเป็นครั้งที่สามแล้ว
เพียงแต่ครั้งนี้จิ้นเผิงเดินช้ามาก
ช้าจนหลิวรุ่ยอิ่งมีเวลาพอที่จะเห็นสิ่งที่เขาพลาดไปในความเร่งรีบครั้งก่อน
ตามจังหวะฝีเท้าของจิ้นเผิงก็เดินมาถึงหน้าโรงเตี๊ยมโดยไม่รู้ตัว
ยังไม่ถึงสองชั่วยามดี
แต่ท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว
ในหุบเขา ท้องฟ้ามักจะมืดเร็วกว่าปกติ
แม้แต่คิมหันต์ฤดูก็เช่นกัน
แม้ว่าท้องฟ้าของอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องจะมืดช้ากว่าในแผ่นดินกลางและทางใต้
แต่ภูเขาบดบังอาทิตย์อัสดงกลับไม่มีแสงสว่างใดสามารถลอดผ่านเข้ามาได้
ร้านค้า โรงน้ำชา และโรงเตี๊ยมริมทางต่างเริ่มจุดตะเกียงกันแล้ว
จุดตะเกียงต้องทำก่อนที่ท้องฟ้าจะมืดสนิท เพื่อต่อเวลาของแสงสว่าง ทำให้กลางวันยาวนานขึ้น
แต่คนในหุบเขานั้น ไม่สามารถมองเห็นอาทิตย์อัสดงหรือแสงอรุณได้เลย
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง
สองช่วงเวลาที่ดีที่สุดในหนึ่งวันกลับพลาดไปทั้งคู่
เมื่อพวกเขาเดินถึงประตูโรงเตี๊ยม ทั้งเมืองหยางเหวินก็มืดสนิทแล้ว
เพียงแต่ไฟประดับที่เพิ่งจุดส่องสว่างเป็นย่อมๆ บ่งบอกว่าที่นี่คือสถานที่ใด
เมื่อพวกเขาเห็นจิ้นเผิงก็พยักหน้าเล็กน้อย
จิ้นเผิงยิ้มให้พวกเขาและโบกมือทักทาย
แต่ระหว่างเขากับห้าคนนี้ ยังมีอีกคนหนึ่งขวางกั้นอยู่
วิหคทมิฬ
วิหคทมิฬกอดกระบี่ยาวสีดำเงางามของตัวเองยืนอยู่อย่างเงียบงันตรงข้ามกับห้าคนนั้น
“เจ้ามาแล้วหรือ”
วิหคทมิฬถามโดยไม่หันกลับมา
“เหตุใดไม่เข้าไปนั่งเล่า”
จิ้นเผิงถาม
“เพราะมีสุนัขอยู่หน้าประตู”
วิหคทมิฬตอบ
“สุนัข? อยู่ที่ไหน”
จิ้นเผิงถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ
เขารู้ดีว่าวิหคทมิฬหมายถึงห้าคนที่มาแก้แค้นนั่น
“สุนัขแก่ห้าตัว โชคดีที่รอดตาย แต่ก็ยังไม่พอใจ”
วิหคทมิฬกล่าวต่อ
“อ้อ…”
จิ้นเผิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงลากยาว
จากนั้นเขาเหลือบไปมองภายในโรงเตี๊ยม
และเห็นเยว่ตี๋ที่กำลังดื่มอยู่คนเดียว
วิธีการดื่มชาและสุราผสมกันในปากก่อนกลืนลงไปพร้อมกันนั้น จิ้นเผิงฝึกฝนมาพอควร
แม้ไม่สามารถบอกได้ว่าชำนาญ แต่อย่างน้อยก็ถือว่าทำได้แล้ว
แต่เขายังไม่สามารถเข้าไปในโรงเตี๊ยมได้ในตอนนี้
เพราะปัญหาที่อยู่ตรงหน้ายังไม่ได้จัดการให้เรียบร้อย
แม้ว่าเพียงแค่พยักหน้า วิหคทมิฬก็ไม่ถือสาที่จะลงมือแทนเขา
แต่นั่นไม่ใช่นิสัยของจิ้นเผิง
ในเมื่อเขาไม่ได้หนี ก็จะไม่ยอมให้คนอื่นมาลงมือแทน
แม้สหายจะเป็นที่พึ่งของเขา แต่เขาไม่ใช่คนที่พึ่งพาสหายในทุกเรื่อง
“มีสุนัขขวางทาง ไม่เพียงสหายที่เข้าไม่ได้ แม้แต่เจ้าก็เข้าไม่ได้”
วิหคทมิฬกล่าว
แต่นั่นเป็นการบอกใบ้ให้จิ้นเผิงให้คำตอบที่ชัดเจน
จิ้นเผิงไม่ได้พูดอะไร
แต่เขาพาหลิวรุ่ยอิ่งและหวาหนงเดินไปหาวิหคทมิฬ
“พวกเรารู้จักกันแล้ว”
ในขณะที่จิ้นเผิงกำลังจะแนะนำทั้งสอง วิหคทมิฬก็แย่งเอ่ยขึ้นมาก่อน
“รู้จักกันแล้ว?”
จิ้นเผิงรู้สึกเหลือเชื่อ
“ใช่ พวกเรารู้จักกันแล้วจริงๆ”
หวาหนงกล่าว
มือเคลื่อนไปทางด้ามกระบี่โดยไม่รู้ตัว
การเคลื่อนไหวเล็กๆ นี้แน่นอนว่าไม่อาจลอดพ้นสายตาของวิหคทมิฬได้
“ในเมื่อพวกเจ้าเป็นสหายของจิ้นเผิง เช่นนั้นก็เป็นสหายของข้าด้วย ยังจำสิ่งที่ข้าบอกเจ้าได้หรือไม่”
วิหคทมิฬกล่าว
หวาหนงส่ายศีรษะ
“ข้าบอกว่าหากเป็นสหายของข้า แม้จะเรียกข้าว่าอีกาก็ย่อมได้”
วิหคทมิฬกล่าว
หวาหนงยิ้ม
ดวงตาของวิหคทมิฬโค้งเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว
เขาก็ยิ้มเช่นกัน
“ในเมื่อทุกคนก็รู้จักกันแล้ว เหตุใดไม่เข้าไปด้วยกันเลยเล่า”
จิ้นเผิงเอ่ยขึ้น
วิหคทมิฬมองตาจิ้นเผิง แล้วหันหลังเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเผชิญกับสถานการณ์เช่นใด จึงตัดสินใจเดินตามจิ้นเผิงและวิหคทมิฬเข้าไปด้วย
ทันทีที่วิหคทมิฬเข้าไป บรรยากาศในห้องโถงก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง
แต่เมื่อเห็นหลิวรุ่ยอิ่งและหวาหนงเดินตรงไปนั่งที่โต๊ะของเยว่ตี๋ ทั้งห้องโถงก็เงียบลงกะทันหัน
“เถ้าแก่ นำสุราอาหารมาได้เลย!”
วิหคทมิฬพูดขึ้น
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมตอบรับเสียงหนึ่ง แล้วเดินออกจากประตูไป
ร้านสุราที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกำลังรอสัญญาณอยู่
พอทางนี้เรียก ทางนั้นก็เริ่มจัดการทันที
ไม่จำเป็นต้องให้เถ้าแก่โรงเตี๊ยมต้องวิ่งไปเอง
เสี่ยวเอ้อรในร้านสุราที่หูไวนั้น ได้ยินเสียงเรียกของวิหคทมิฬในโรงเตี๊ยมตั้งแต่เนิ่นๆ
ตอนนี้เขาวิ่งไปที่ห้องครัวเพื่อสั่งให้พ่อครัวเตรียมอาหารแล้ว
แม้เจ้าของร้านเห็นว่าเสี่ยวเอ้อร์น่าจะได้ยินแล้ว
แต่เขาก็ยังต้องไปเองสักรอบ
ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นใด
เป็นเพียงมารยาท
แสดงให้เห็นถึงความจริงใจและความซื่อสัตย์ของตน
เพียงแต่เขาที่รีบร้อนอยู่นั้นได้ชนเข้ากับคนผู้หนึ่ง
คนผู้นั้นตัวเตี้ยกว่าคนปกติ ไม่แปลกใจที่เจ้าของร้านจะไม่เห็น
ทว่าคนผู้นี้ไม่ได้เตี้ยมาแต่กำเนิด
แต่เพราะเขานั่งอยู่บนรถเข็นสี่ล้อและไม่สามารถยืนขึ้นได้ จึงทำให้ดูเตี้ยกว่าคนอื่น
“เจ้ามาแล้ว”
จิ้นเผิงได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดจากด้านหลังก็รู้ทันทีว่าเป็นหนานเจิ้น
“ถ้าข้าไม่มา เจ้าก็จะเผาร้านข้า การเผาร้านในงานเลี้ยงฉลองวันเกิดเป็นสิ่งที่ไม่มงคลที่สุด!”
หนานเจิ้นกล่าว
“หรือเจ้ามาเพื่อความเป็นสิริมงคล?”
จิ้นเผิงถาม
“ใช่”
หนานเจิ้นพยักหน้า
“เช่นนั้นเจ้าว่างานเลี้ยงฉลองวันเกิดคนตายเป็นมงคลหรือไม่”
จิ้นเผิงถามต่อ
“ขึ้นอยู่กับว่าใครตาย”
หนานเจิ้นตอบ
“ถ้าคนที่จะต้องตายคือข้าล่ะ”
จิ้นเผิงชี้ตัวเองแล้วเอ่ยถาม
“แน่นอนว่าเป็นอภิมหามงคล อภิมหาโชค!”
หนานเจิ้นกล่าวพลางปรบมืออย่างแรง
“หากคนที่ตายคือพวกเขาล่ะ”
จิ้นเผิงชี้ไปที่คนห้าคนด้านหน้าแล้วเอ่ยถาม
“อืม…ก็เป็นสิริมงคลเช่นกัน!”
หนานเจิ้นพูดหลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ
“หากกล่าวเช่นนี้ แค่มีคนตายก็มงคลแล้วหรือ”
จิ้นเผิงรู้สึกขบขัน
เพียงแต่เขาได้รับพิษ ทั้งยังอยู่ที่ลิ้นอีกต่างหาก
ตอนนี้ยามกล่าววาจา เสียงจึงไม่ชัดเจน
“ใช่แล้ว คนเราเมื่อตายจะมีเลือดไหล และเลือดนั้นก็เป็นสีแดงสด! เหมือนกับผ้าคลุมศีรษะของเจ้าสาว! สิ่งของที่แดงสดเช่นนั้น หากถูกสาดกระจายไปทั่ว ก็นับว่าเป็นสิ่งที่นำโชคลาภไปทุกที่ไม่ใช่หรอกหรือ”
หนานเจิ้นกล่าว
จิ้นเผิงพยักหน้าเห็นด้วย
แม้จะเป็นเหตุผลผิดๆ
แต่หนานเจิ้นก็ยังกล่าวได้อย่างมีเหตุผล
ในโลกนี้มีแนวคิดที่ผิดแผกมากมาย
แนวคิดเหล่านั้นที่เรียกว่าผิดแผก ส่วนใหญ่มักจะขัดกับกฎเกณฑ์ปกติที่ผู้คนยึดถือ
แต่เหตุใดถึงไม่สามารถขจัดแนวคิดเหล่านี้ออกไปได้เสียทีเล่า
ก็เพราะมันมีพื้นที่ให้ยืนหยัดได้
พื้นที่นั้นก็คือเหตุผล
ทุกการกล่าวอ้างย่อมมีด้านที่สมเหตุสมผลอยู่เสมอ
ข้อแตกต่างอยู่ที่ว่าเหตุผลนั้นมีน้ำหนักพอหรือไม่
หนานเจิ้นไม่มีแก่ใจจะพูดกับเขาให้มากความ
ควบคุมรถเข็นสี่ล้อของตัวเองเข้าไปในโรงเตี๊ยมอย่างเอื่อยเฉื่อย
ประตูของโรงเตี๊ยมมีธรณีประตูที่ค่อนข้างสูง
รถเข็นสี่ล้อของหนานเจิ้นมาถึงหน้าประตูก็ลอยขึ้นเบาๆ แล้วก้าวข้ามธรณีประตูไปอย่างมั่นคง
หลิวรุ่ยอิ่งอดชื่นชมงานฝีมืออันชาญฉลาดของหนานเจิ้นไม่ได้
คนผู้หนึ่งอาศัยเพียงสิ่งของธรรมดาสามัญก็สามารถทำได้ถึงขนาดนี้ ไม่แปลกที่เขาไม่สามารถยืนขึ้นได้ตลอดชีวิต
ไม่มีผนังสีขาวที่สมบูรณ์ไร้ที่ติ
เมื่อเทียบกับงานฝีมือของหนานเจิ้นแล้ว การไม่สามารถเดินได้นี้เป็นเพียงจุดสีดำเล็กๆ บนผนังสีขาวเท่านั้น
“พี่เยว่ พวกเราควรทำอย่างไรดี”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าหัวหน้าอาคารผู้นี้เป็นใคร”
เยว่ตี๋ถามกลับอย่างไม่ใส่ใจ
“รู้ขอรับ”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเขา คิดเรื่องตัวเองให้เยอะๆ ดีกว่า อีกอย่าง ถึงข้าจะบอกว่าจะช่วยเจ้า แต่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าควรถามข้าทุกเรื่อง! เจ้าสามารถเข้าออกเขตอาณาจักรติ้งซีอ๋องและหอทรงปัญญาได้อย่างปลอดภัยแท้ๆ แล้วทำไมตอนนี้กลับทำอะไรไม่ถูกเล่า”
เยว่ตี๋กล่าว
…………………………………………………