ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 307 ตะเกียงเหมันต์ ค่ำคืนเปล่าเปลี่ยว การเดินทางไกล-4
- Home
- ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา
- บทที่ 307 ตะเกียงเหมันต์ ค่ำคืนเปล่าเปลี่ยว การเดินทางไกล-4
บทที่ 307 ตะเกียงเหมันต์ ค่ำคืนเปล่าเปลี่ยว การเดินทางไกล-4
หลิวรุ่ยอิ่งถูกถามจนพูดไม่ออก
แต่เมื่อนึกย้อนกลับไป มันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ตั้งแต่เขารู้ตัวตนของเยว่ตี๋ เขาก็มีที่พึ่งอยู่ในใจไปโดยปริยาย
ทำให้เขาเริ่มเกียจคร้านมากขึ้น
ที่จริงแล้วไม่ว่าใครก็คงจะเป็นเช่นนี้
หากมีคนวางแผนให้ นำทางไปกรีธาทัพจากเหนือลงใต้ ใครจะยอมเหนื่อยใช้สมองเองเล่า
“ทุกคนคงได้ยินแล้วว่าการตายในวันนี้ถือเป็นเรื่องมงคล ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม”
จิ้นเผิงพูดกับห้าคนนั้นเสียงดังชัดเจน
“การสังหารคนในงานเลี้ยงฉลองวันเกิดเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย ยิ่งกระทำต่อหน้าเหล่าสหายของเขาเช่นนี้ด้วยแล้ว แต่ข้าไม่เห็นว่าจะมีสหายเจ้าคนใดอยากช่วยเจ้าเลยด้วยซ้ำ”
คนที่เป็นหัวหน้าพูดขึ้น
“เฮ้อ…ไม่มีใครช่วยเพราะพวกเขารู้จักข้าดีเกินไป ถ้ามีคนช่วย ปัญหาก็จะยิ่งวุ่นวายไปมากกว่านี้”
จิ้นเผิงกล่าว
ขณะที่ค่อยๆ ชักกระบี่สั้นออกจากชายเสื้อ
หลิวรุ่ยอิ่งจำได้ทันทีว่านี่คือกระบี่สั้นของตระกูลโอว
แท้จริงแล้ว ก่อนหน้านี้ในห้องอาบน้ำ จิ้นเผิงไม่ได้ไร้อาวุธ
กระบี่สั้นเล่มนี้ไม่เคยห่างตัวเขา
เช่นเดียวกับวิหคทมิฬ
เวลานี้ จัดเตรียมอาหารเย็นสำหรับงานเลี้ยงฉลองวันเกิดเรียบร้อยแล้ว
แต่ละโต๊ะมีแปดอย่าง
อาหารถูกยกเข้าไปในโรงเตี๊ยมไม่หยุดหย่อนจากทางด้านหลังของจิ้นเผิง
ขณะที่เสี่ยวเอ้อร์กำลังถือถาดอาหาร เพิ่งก้าวผ่านธรณีประตูของโรงเตี๊ยม
หัวหน้ากลุ่มของคนทั้งห้าที่ถือดาบด้ามยาวในมือชักดาบออกมาเป็นคนแรก
จิ้นเผิงได้รับพิษ
ไม่สามารถใช้แรงได้แม้แต่น้อย
แม้แต่การยืนทรงตัว สำหรับเขาตอนนี้ก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก
แต่เขายังคงใช้แรงทั้งหมดยกกระบี่ขึ้น
เขารู้ว่าต้านทานไม่ได้
แต่นี่ก็เป็นมารยาทอย่างหนึ่ง
เช่นเดียวกับเจ้าของโรงเตี๊ยมที่ยืนกรานจะไปร้านสุราด้วยตัวเอง ล้วนเป็นเพียงมารยาทเท่านั้น
มารยาทมีความแตกต่างกัน มีความสำคัญก่อนหลัง แต่ไม่ได้แตกต่างกันในเรื่องของความใหญ่เล็ก
ในตอนนี้ จิ้นเผิงสามารถถือกระบี่ขวางหน้าอกได้นั่นคือท่าทีสุดท้ายของเขา
แต่แสงดาบที่รุนแรงนั้นกลับวูบหายไปอย่างรวดเร็วในตำแหน่งที่ห่างจากจิ้นเผิงเพียงสามฉื่อ ไม่เห็นแม้แต่เงา
จิ้นเผิงวางกระบี่และนั่งลงกับพื้นอย่างหมดแรง
เขายืนหยัดไม่ไหวแล้ว
ตอนที่ยกกระบี่ขึ้นเมื่อครู่ได้ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดไปแล้ว
เขารู้สึกได้ว่าพิษแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย
ในขณะที่สายตาเริ่มพร่ามัว ลมหายใจของเขาเริ่มกระชั้นขึ้น
แต่เขากลับเห็นเงาของคนสองคนปรากฏบนพื้น
เงาร่างทั้งสองนั้นยาวมาก
บ่งบอกว่าทั้งสองยืนอยู่บนที่สูง
แต่จิ้นเผิงไม่มีแรงที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองที่มาของเงานั้นอีกต่อไปแล้ว
แต่เขายังมีแรงที่จะยิ้มได้
เขายิ้มเพราะเขารู้ว่าตัวเองจะไม่ตาย
แต่วันนี้มีคนต้องตายอย่างแน่นอน
เป็นการเติมเต็ม ‘ความมงคล’ ที่หนานเจิ้นพูดไว้
คนในโรงเตี๊ยมก็เห็นเงาร่างทั้งสองนั้น
และเริ่มเดินออกมาดู
พวกเขาเห็นคนสองคนยืนอยู่บนหลังคาของโรงเตี๊ยม
แม้ว่าในความมืดจะมองไม่เห็นใบหน้าที่ชัดเจนได้ แต่ก็สามารถบอกได้ว่าเป็นหนึ่งชายหนึ่งหญิง
หญิงสาวและชายชรา
คนทั้งห้ามองสองคนบนหลังคาโรงเตี๊ยมด้วยความขุ่นเคืองใจ
พวกเขาต่างคิดว่าสองคนนั้นเป็นสหายของจิ้นเผิง
สุดท้ายก็มีคนที่ไม่เข้าใจเขามากพอ ลงมือแทนเขาแล้ว
ในขณะที่พวกเขาตั้งท่าจะตะโกนเอ่ยถาม จู่ๆ มือของชายชราผู้นั้นกลับปรากฏตะเกียงน้ำมันแปลกตาดวงหนึ่ง
เขาเคลื่อนมือที่ถือตะเกียงน้ำมันไปทางหญิงสาวข้างกายช้าๆ
หญิงสาวเข้าใจความต้องการและจุดตะเกียงน้ำมันให้เขา
หลิวรุ่ยอิ่งมองเห็นว่าแสงตะเกียงนั้นเป็นสีน้ำเงิน
สีน้ำเงินนั้นไม่ใช่สีท้องฟ้ายามที่ฟ้าไร้เมฆ แต่เป็นสีน้ำเงินหม่นเหมือนท้องทะเลก่อนอาทิตย์อัสดง
แสงตะเกียงสีน้ำเงินไหวระริกไม่หยุด
ราวกับคลื่นทะเลซัดสาดไปมา ซัดเข้าหาแนวหินริมฝั่งอย่างต่อเนื่อง กำลังจู่โจมเข้าที่ทรวงอกของหลิวรุ่ยอิ่ง
เขารู้สึกถึงความกดดันจนหายใจไม่ทั่วท้อง อ้าปากกว้าง พยายามสูดอากาศเท่าที่จะทำได้
“อย่ามอง!”
เสียงของเยว่ตี๋ดังมา
หลิวรุ่ยอิ่งรีบก้มหน้าลงทันที
และพบว่าความรู้สึกที่เคยมีก่อนหน้านี้หายไปอย่างสิ้นเชิง
แต่ขณะที่แสงตะเกียงสีน้ำเงินไหวระริกเมื่อครู่ หลิวรุ่ยอิ่งกลับมองเห็นชัดเจนว่าหญิงสาวคนนั้นคือหยวนซาน
นางสามารถยืนอยู่ที่นี่ได้
ย่อมเดาได้ไม่ยากว่าสองคนที่ต้องการแก้แค้นนางนั้นจะมีชะตากรรมเช่นไร
ไม่รู้ว่าหนนี้พวกเขาทิ้งชีวิตไว้หรือเพียงแค่สูญเสียนิ้วอีกหนึ่งนิ้ว
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นวิหคทมิฬโค้งคำนับไปทางชายชราผู้นั้น
แม้แต่เยว่ตี๋ที่อยู่ข้างๆ ก็เช่นกัน
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นดังนั้นก็ทำตาม
สิ่งที่ยังไม่เข้าใจสามารถปล่อยไปก่อนได้
บางเรื่องเพียงไหลไปตามกระแสคลื่นก็ไม่เสียหายอะไร
ตะเกียงเหมันต์
ค่ำคืนเปล่าเปลี่ยว
การเดินทางไกล
สามคำนี้
เป็นคำที่ดูไม่เกี่ยวข้องกันเลย
แต่ในที่ลึกลับที่มองไม่เห็น มีเส้นบางๆ ที่ผูกคำเหล่านี้เข้าด้วยกันอย่างลึกซึ้ง
เส้นบางๆ นี้ไม่มีชื่อ และไม่สามารถอธิบายได้
มันเป็นตัวแทนของขอบเขตหนึ่ง
ยิ่งสูงสุดยิ่งหนาวเหน็บ
แสงสว่างนั้นควรจะอบอุ่น
แล้วเหตุใดแสงไฟถึงเหน็บหนาวได้
หากแสงสว่างไม่มีความอบอุ่น ตราบใดที่ส่องสว่างทั่วหล้าก็ยังสามารถประโลมใจคนได้
แต่แสงตะเกียงนั้นต้องอุ่นร้อน
ไม่เช่นนั้นผีเสื้อที่บินเข้าหาก็คงไม่กลายเป็นเถ้าถ่าน
หากแสงตะเกียงหนาวเหน็บ
นั่นย่อมมาจากจิตใจที่เยือกเย็นของผู้จุด
ทว่าคนที่จิตใจเยือกเย็นคนหนึ่ง เหตุใดจึงต้องจุดไฟด้วยเล่า
“เขาคือผู้ใดกัน”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถามเบาๆ
“เขาคือผู้จุดตะเกียงเหมันต์”
เยว่ตี๋ตอบ
ที่แท้คำว่า ‘ตะเกียงเหมันต์’ ไม่ได้หมายถึงวัตถุ
แต่หมายถึงคนเป็นๆ
คนที่จิตใจเยือกเย็นจุดไฟ ก็คือผู้จุดตะเกียงเหมันต์
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เคยได้ยินเรื่องผู้จุดตะเกียงเหมันต์มาก่อน
แต่จากความเลื่อมใสของทุกคน เขาเข้าใจได้ถึงความหมายที่ซ่อนอยู่
ในกรมสอบสวนกลาง เขาไม่เคยเห็นข้อความใดๆ เกี่ยวกับผู้จุดตะเกียงเหมันต์
อันที่จริงก็ใช่ว่าไม่มีเลย
แต่เพราะเขาไม่มีคุณสมบัติพอ
ทุกคนรู้ดีว่าในใต้หล้านี้วิถียุทธ์ที่สูงที่สุดคือเทพบริราชเก้าทวีป
แต่สรรพสิ่งในโลกนี้ก็เหมือนกับเวลาที่เคลื่อนคล้อย จะมีจุดสิ้นสุดได้อย่างไร
ฮั่ววั่งหลงใหลในการสะสมกระบี่ดารา เพื่อค้นหาโอกาสก้าวสู่เส้นทางเซียน
ทว่าผู้ที่สามารถครอบครองกระบี่ดาราได้นั้น สุดท้ายแล้วก็มีเพียงจำนวนน้อย
แต่ก็ยังมีผู้ที่สามารถเสาะหาทางเดินใหม่จนฝ่าฝันไปได้
ยิ่งสูงยิ่งเหน็บหนาว เฉกเช่นผู้จุดตะเกียงเหมันต์ผู้นี้ ผู้ที่เหนือกว่าขอบเขตเทพบริราชเก้าทวีป
ผู้จุดตะเกียงเหมันต์ ผู้อยู่ในค่ำคืนเปล่าเปลี่ยว ผู้เดินทางไกล
อยู่บนจุดสูงสุดของโลกมนุษย์ มีเพียงสามคนนี้เท่านั้น!
ตะเกียงเหมันต์ส่องสว่างทั่วหล้า มือเดียวกอบกู้มาตุภูมิ
ค่ำคืนเปล่าเปลี่ยวไม่สิ้น ปุถุชนพักผ่อนเร็ว
การเดินทางไกลหาใช่ทางผ่าน สุดขอบฟ้าเด็ดดาราและจันทรา
แม้แต่ห้าสุดยอดนักพรตอินหยางก็ไม่สามารถคำนวณตำแหน่งของพวกเขาได้
เพราะใต้ห้วงฟ้านี้ เทพบริราชเก้าทวีปเป็นขอบเขตสูงสุด
หากทะลวงขอบเขตนี้ก็เท่ากับว่าทะลวงห้วงฟ้า
ท้ายที่สุดการคำนวณของสุดยอดนักพรตอินหยางก็ยังคงเป็นกฎเกณฑ์สวรรค์
หากทะลวงห้วงฟ้าแล้ว พวกเขาก็จะเห็นเพียงความมืดมิด
ผู้จุดตะเกียงเหมันต์เบื้องหน้านี้ก็มีที่มาเช่นนี้
“อย่ารีบร้อน อย่าตื่นตระหนก”
ผู้จุดตะเกียงเหมันต์เอ่ยขึ้นช้าๆ
ทุกคนจึงค่อยๆ ยืดตัวตรง
“ข้ามาที่นี่เพื่อหาคู่ครองให้กับหลานสาวข้าเท่านั้น”
หลังจากที่เห็นว่าทุกคนกลับสู่สภาวะปกติ ผู้จุดตะเกียงเหมันต์จึงเอ่ยต่อ
เวลานี้หลิวรุ่ยอิ่งมองไปยังตะเกียงเหมันต์ในมือของเขาอีกครั้ง ก็ไม่รู้สึกเหมือนครั้งก่อนแล้ว
หลังจากที่พูดจบ หยวนซานที่อยู่ข้างๆ ก็ลอยลงมาจากหลังคาอย่างงดงาม และมาอยู่ข้างกายจิ้นเผิง
นางโยนยาเม็ดหนึ่งเข้าไปในปากเขา
พริบตานั้น จิ้นเผิงก็กลับมามีสติสัมปชัญญะชัดเจน
“คนที่เจ้าจะให้ข้าไปพบคือปู่ของเจ้า?”
จิ้นเผิงจับแขนของหยวนซานเพื่อพยุงตัวขึ้นยืนแล้วเอ่ยถาม
หยวนซานยิ้ม แต่ไม่ได้ตอบกลับ
เพียงใช้ปลายเท้าแตะเบาๆ ก็กลับไปอยู่ข้างๆ ผู้จุดตะเกียงเหมันต์ปู่ของนางอีกครั้ง
………………………………………………