ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 320 ร้านขายของชำ ร้านอาหารและร้านขายโลงศพ-4
บทที่ 320 ร้านขายของชำ ร้านอาหารและร้านขายโลงศพ-4
“ช้าก่อน!”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยขึ้น
“มีอะไรหรือ”
เถ้าแก่เนี้ยหันกลับมาถาม ขณะที่นางถือดาบอยู่
“ข้าอยากดูดาบเล่มนี้หน่อย”
หลิวรุ่ยอิ่งพูด
“ดาบที่ฆ่าเจ้าไม่ได้ย่อมไม่ใช่ดาบดี ดาบดีก็ใช่ว่าเจ้าจะดูได้”
เถ้าแก่เนี้ยหัวเราะเบาๆ
แต่ก็ยังยื่นดาบให้หลิวรุ่ยอิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งยกดาบขึ้นมาดูอย่างละเอียด
มันเป็นดาบที่ธรรมดามาก
ธรรมดาจนร้านตีเหล็กริมถนนก็สามารถตีออกมาได้
เหล็กที่ใช้ก็ไม่ใช่เหล็กดี
เนื้อดาบมีจุดด่างพร้อยอยู่ทั่ว
เหมือนยังตีได้ไม่ดีพอ
แต่หากเทียบกับดาบยาวอื่นๆ ด้ามดาบเล่มนี้กลับดูเล็กกะทัดรัดและวางแบบมาอย่างประณีต
เหมือนว่าจะถูกออกแบบเพื่อให้เข้ากับมือของผู้ถือเป็นพิเศษ
ดาบที่ธรรมดาขนาดนี้ เหตุใดต้องสั่งทำด้ามเป็นพิเศษเช่นนี้ด้วยเล่า
อีกอย่างเจ้าของดาบเล่มนี้ก็ไม่ชำนาญการใช้ดาบ
ด้ามดาบที่ถูกออกแบบเฉพาะอาจเพื่อความสะดวกสบายในการถือเท่านั้น
บนดาบเล่มนี้ หลิวรุ่ยอิ่งค้นพบเรื่องสำคัญบางอย่าง
นั่นคือ นักฆ่าที่ไม่ชำนาญการใช้ดาบคนก่อนหน้านี้ต้องหลงใหลในความสะดวกสบายอย่างยิ่ง
ถึงขนาดว่าแม้แต่ดาบที่เขาไม่ถนัดก็ยังต้องสั่งทำด้ามเฉพาะเพื่อให้จับถนัดมือ
เพียงแต่ทุกคนต่างชื่นชอบความสะดวกสบาย จึงไม่สามารถถือเป็นลักษณะเฉพาะได้
แต่คนผู้นี้กลับรู้วิธีทำให้ตัวเองรู้สึกสบาย
เรียกได้ว่ารู้จักเสพสุข
ความปรารถนาที่จะสบายและการรู้จักเสพสุขนั้นเป็นสองแนวคิดที่แตกต่างกัน
ก็เหมือนกับขอทานที่แต่ละวันฝันถึงอาหารรสเลิศ หูฉลามตุ๋นและรังนก
แต่เมื่อพวกเขามีโอกาสทานหูฉลามจริงๆ กลับรู้สึกว่ามันไม่ได้ต่างจากวุ้นเส้นเท่าไรนัก
ส่วนรังนกนั้น ก็ไม่สามารถเคี้ยวได้
มันนิ่มมาก แค่คำเดียวก็หายไปในปากแล้ว
คนจนที่เกิดร่ำรวยขึ้นมา เกือบทั้งหมดมักจะเป็นเช่นนี้
เพราะคนจนไม่เข้าใจว่าควรจะเสพสุขอย่างไร
แม้จะให้เงินที่พวกเขาใช้สิบภพชาติก็ไม่หมด เดินเข้าหอสุราแล้วมองรายการอาหารก็ยังไม่รู้จะสั่งสิ่งใด
แต่นักฆ่าคนนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ทว่าคนที่รู้จักเสพสุขและมีเงื่อนไขที่สามารถเสพสุขได้คนหนึ่ง เหตุใดถึงเป็นนักฆ่าได้
ทั้งยังต้องมาทำการลอบสังหารในเหมืองร้างที่ไร้ผู้คนเช่นนี้
หรือเป็นเพราะชีวิตด้านวัตถุมีความสุขเหลือล้นเกินไป ต้องการแสวงหาความตื่นเต้นทางจิตวิญญาณบ้าง?
ขณะอยู่ในเมืองหลวง หลิวรุ่ยอิ่งเคยได้ยินเรื่องราวของบุตรชายจากตระกูลใหญ่ที่ไปขโมยของจากร้านค้าเล็กๆ
หากโชคดีไม่ถูกจับได้ ทั้งยังแข่งกันว่าใครขโมยของที่ใหญ่กว่าและมีค่ามากกว่า
นี่ไม่ใช่วิตถารประเภทหนึ่งหรอกหรือ
หรือนักฆ่านี้ก็มีความพิศวงเช่นนั้นด้วย?
หลิวรุ่ยอิ่งคิดอยู่ในใจ แต่ก็ส่งดาบคืนให้เถ้าแก่เนี้ย
ในขณะที่กำลังจะส่งคืนนั้น หลิวรุ่ยอิ่งก็ได้กลิ่นหอมอีกครั้ง
ไม่ใช่กลิ่นหอมของเนื้อ หรือกลิ่นหอมของสุรา
แต่เป็นกลิ่นหอมจากเครื่องสำอางของสตรี
เขาไม่รู้ว่ากลิ่นนี้มาจากที่ใด
หาไปหามา ก็พบว่ากลิ่นหอมนั้นติดอยู่ที่มือของเขาเอง
“มือของเจ้ามีกลิ่นหอมเช่นใดหรือ”
เถ้าแก่เนี้ยมองท่าทางของหลิวรุ่ยอิ่งแล้วรู้สึกขบขัน
ราวกับสุนัขจรจัดที่เห็นกระดูก
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้ใส่ใจคำเหน็บแนมของเถ้าแก่เนี้ย
แต่เขากลับเอาหน้าเข้าไปใกล้เถ้าแก่เนี้ยและดมกลิ่นแทน
“ทนไม่ไหวแล้วหรือ ข้ายังไม่ทันได้ดื่มสุราเลย!”
เถ้าแก่เนี้ยยื่นมือมาผลักหน้าของหลิวรุ่ยอิ่งเบาๆ แล้วพูดขึ้น
การกระทำนี้กลับทำให้หลิวรุ่ยอิ่งได้กลิ่นในที่สุด
กลิ่นเครื่องสำอางบนมือของเขานั้นแตกต่างจากกลิ่นบนตัวเถ้าแก่เนี้ยอย่างสิ้นเชิง
เขานึกขึ้นได้ว่ามือของเขา นอกจากจะจับถ้วยสุราแล้ว ยังจับมือของนักฆ่าคนนั้นด้วย
มือของนักฆ่ามีกลิ่นเครื่องสำอาง หรือนักฆ่าคนนั้นจะเป็นสตรี?
แต่หลิวรุ่ยอิ่งก็ยังไม่แน่ใจ
เพราะแม้นักฆ่าคนนั้นจะไม่ชำนาญการใช้ดาบ แต่กลับพกดาบสามเล่มเพื่อปกปิด
ใครจะรับประกันได้ว่ากลิ่นเครื่องสำอางนี้ไม่ได้ตั้งใจทาไว้เพื่อปกปิดตัวตนจนทำให้เกิดความสับสน?
ผลลัพธ์ทั้งหมดจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อนักฆ่าคนนั้นปรากฏตัวอีกครั้ง
หลิวรุ่ยอิ่งกลับมานั่งที่โต๊ะสุรา
เขาไม่ต้องการดื่มสุราอีกต่อไป
ทว่าหลังจากที่เขาเมาหนักในงานเลี้ยงฉลองวันเกิดที่เมืองหยางเหวิน ดูเหมือนว่าความสามารถในการดื่มสุราของเขาสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
อย่างน้อยจนถึงตอนนี้ เขายังไม่รู้สึกมึนเมาเลยแม้แต่น้อย
เพียงแต่เนื้อจานนั้น คนอื่นๆ ที่เหลือกินจนเกลี้ยงแล้ว
“ใต้เท้านายกอง วันนี้เราจะพักค้างแรมที่นี่หรือไม่”
มีคนถามขึ้น
“เจ้าคิดจะพักที่ไหนล่ะ”
ในระหว่างการเดินทางหลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่จากอาคารกรมสอบสวนกลางแห่งเมืองหยางเหวินมากมายนัก
และเขาก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
แต่ตอนนี้ในที่สุดก็มีคนเริ่มเปิดประเด็นสนทนาเอง
“ไม่ขอรับ…ข้าน้อยแค่ถามเฉยๆ”
คนผู้นั้นรีบโบกมือปฏิเสธ
แต่การที่เขาเรียกหลิวรุ่ยอิ่งนั้น เถ้าแก่เนี้ยกลับได้ยินชัดเจน
ทว่านางก็ยังคงทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ รีบเร่งให้หลิวรุ่ยอิ่งดื่มสุรา
“ค่าสุราของข้าเหลืออยู่เท่าไร”
หลิวรุ่ยอิ่งพลันเอ่ยถาม
“สุรารอบแรก ใช้ไปหนึ่งตำลึงเงิน ตอนนี้เป็นรอบที่สอง ใช้ไปสองตำลึงเงิน รวมเป็นสามตำลึงเงิน”
เถ้าแก่เนี้ยตอบ
“เหตใดรอบที่สองถึงแพงกว่ารอบแรกเป็นเท่าตัว สุราเจ็ดกาเหมือนกันไม่ใช่หรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถามต่อ
“สุราเจ็ดกาจริงดังว่า แต่คนไม่ใช่คนในรอบแรก”
เถ้าแก่เนี้ยตอบ
“นี่มันเหตุผลอะไรกัน”
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เข้าใจ
“เมื่อดื่มสุราเข้ารอบที่สอง สภาพของการดื่มก็ต่างจากรอบแรก”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“ที่อื่นๆ เมื่อดื่มมากขึ้นก็จะถูกลง แต่ที่นี่ของเจ้ากลับตรงกันข้าม ยิ่งดื่มเยอะยิ่งแพงขึ้น”
หลิวรุ่ยอิ่งพูด
“เพราะลูกค้าที่มาดื่มที่ร้านข้าไม่ค่อยซื่อสัตย์ ยิ่งดื่มมากขึ้นยิ่งไม่ซื่อ บางครั้งก็ทำโต๊ะเก้าอี้ของข้าล้ม ทำจอกและกาสุราแตก ความเสียหายนี้ก็ต้องหามาจากค่าสุราสิ”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
ฟังจบ
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าเถ้าแก่เนี้ยตรงหน้าไม่เพียงแต่เป็นเจ้าของร้านที่ปล่อยตัวที่สุดเท่านั้น แต่ยังเป็นเจ้าของร้านที่แสนจะฉลาดหลักแหลมด้วย
สามารถรวบรวมคุณสมบัติสองอย่างที่ไม่เข้ากันมารวมไว้ในตัวนางได้ เถ้าแก่เนี้ยคนนี้ช่างเป็นคนน่าทึ่งจริงๆ
“คนข้างนอกนั่น ตอนนี้เขาดื่มถึงรอบที่เท่าไรแล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“พวกเขาหรือ จนถึงตอนนี้ยังไม่ถึงครึ่งรอบเลย!”
“เหตุใดยังไม่ถึงครึ่งรอบอีก แต่พวกเรากลับดื่มไปสองรอบแล้ว? ข้าเห็นพวกเขาดื่มหมดแล้วก็ไปเติมสุราจากถังสุราใหญ่อีก”
หลิวรุ่ยอิ่งพูด
“พวกเขาล้วนเป็นกลุ่มผีสุรา แม้จะดื่มทั้งคืนก็ไม่เมา นอกจากนี้พวกเขายังรู้กฎของที่นี่เป็นอย่างดี หากพวกเขาดื่มเยอะแล้วอยากก่อเรื่อง จะต้องไปอาละวาดที่ลานโล่งด้านนอกเท่านั้น ไม่มีใครกล้าก้าวเข้ามาในร้านนี้แม้แต่ก้าวเดียว”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
น้ำเสียงและท่าทางแสดงออกถึงความภาคภูมิใจ
“เช่นนั้นข้าจะจ่ายเงิน เลี้ยงพวกเขาสักรอบ!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
สถานที่แห่งนี้รวบรวมร้านขายของชำ ร้านอาหาร และร้านขายโลงศพเข้าด้วยกัน จึงทำให้ดูลึกลับและน่ากลัว
แม้พวกที่อยู่ด้านนอกจะมองเห็นแสงดาบและเงากระบี่ แต่ก็ยังคงหาความสุขในแบบของตนได้
ในเมื่อตัวเองอยู่ในที่แจ้ง แต่พวกคนงานในเหมือง รวมถึงนักฆ่าคนนั้น และเถ้าแก่เนี้ยที่ทั้งปล่อยตัวและฉลาดหลักแหลมที่สุดก็อยู่ในที่มืด ย่อมเป็นการดีที่จะทำให้น้ำขุ่นขึ้นอีก
“เจ้าแน่ใจหรือว่าจะเลี้ยงพวกเขาจริงๆ พวกเขาเริ่มดื่มขึ้นมาใช่ว่าแค่รอบเดียวก็จะพอ”
เถ้าแก่เนี้ยถาม
“ข้าจะเลี้ยงจริงๆ ถ้าหนึ่งรอบไม่พอ เช่นนั้นก็ให้ดื่มหมดทั้งหนึ่งร้อยตำลึงนั่นเลยก็แล้วกัน!”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
“ทุกคนที่มาที่นี่ในตอนแรก ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ใจกว้างและเอื้อเฟื้อเหมือนเจ้า แต่สุดท้ายไม่ไปนอนในโลงศพด้านหลัง ก็นั่งใต้เพิงด้านหน้า”
ขณะที่เถ้าแก่เนี้ยเรียกคนงานเข้ามาดื่มสุรา สวีเหล่าซื่อก็ปรากฏตัวขึ้น
“แต่ตอนนี้ข้ายังนั่งอยู่ตรงกลางห้องโถงนี่”
หลิวรุ่ยอิ่งพูด
“ข้าเองก็เคยนั่งอยู่ด้านบนนั่น”
สวีเหล่าซื่อเอ่ย
และชี้ไปที่ชั้นบนของร้านขายของชำ ร้านอาหาร และร้านขายโลงศพ
นั่นคือที่เดียวกับที่มีเงินแท่งห้าสิบตำลึงสองแท่งและศพสองศพที่ห่อด้วยผ้าขาวกลิ้งลงมา
………………………………………………