ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 331 แสงจันทร์ไม่เอ่ยเรื่องผีสาง-9
บทที่ 331 แสงจันทร์ไม่เอ่ยเรื่องผีสาง-9
คนใช้ชีวิตอยู่บนโลกมักจะมีสิ่งยั่วยุต่างๆ
คนส่วนใหญ่คิดว่าการที่ตัวเองต้านทานสิ่งยั่วยุได้เป็นเรื่องน่าสรรเสริญ
ความจริงคนเหล่านี้อยู่อย่างทุกข์ระทมตลอดชีวิต
แต่คนที่อยู่อย่างทุกข์ระทมล้วนอายุสั้น
นี่ก็ถือเป็นความเมตตาเล็กน้อยที่สวรรค์มอบให้พวกเขา
อีกอย่าง เหตุใดต้องไปต้านทานสิ่งยั่วยุ
เดิมสิ่งยั่วยุก็เป็นเรื่องที่ตนอยากทำที่สุดจากส่วนลึกในจิตใจ
หากคนไม่ทำเรื่องที่ตนอยากทำที่สุด นอกจากไม่มีความสุข ยังจะอายุสั้นด้วย
ดังนั้นปล่อยกายใจไปตามสิ่งยั่วยุก็พอแล้ว
เช่นนี้นอกจากมีความสุขแล้วยังอายุยืนขึ้น
สำหรับนายท่านจิน เหยี่ยวกับสุราก็คือสิ่งยั่วยุของเขา
เงินทองก็ไม่ยกเว้น
แต่คนกลับไม่ใช่
เพราะใครก็ตายได้ทั้งนั้น
เพียงแต่การตายต่างกัน เวลาต่างกันเท่านั้น
หากครั้งนี้เขาไปฝึกเหยี่ยวด้วยตัวเอง คนที่ตายอาจจะเป็นเขา
ใช่ว่านายท่านจินเมินเฉยต่อการตายของบุตรบุญธรรมเขา
แต่เขาคิดเรื่องเหล่านี้จนเข้าใจแจ่มแจ้งนานแล้ว
ทว่าสิ่งยั่วยุที่รุนแรงที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่ใครฆ่าบุตรบุญธรรมของเขา และก็ไม่ใช่เหยี่ยวที่ฝึกไม่เสร็จสมบูรณ์เหล่านั้น แต่เป็นงานเลี้ยงที่ยังไม่ทันเริ่มก็ถูกหยุดครั้งนี้
นายท่านจินให้คนนั้นเตรียมออกคำสั่งใหม่
คนนั้นยกแขนขวาขึ้นสูงอีกครั้ง
“เริ่ม!”
คนนั้นกล่าวพลางโบกแขนอย่างแรง
นายท่านจินยกชามใหญ่เทลงท้องนำหน้าไปก่อน
เขายังติดนิสัยชอบดื่มเร็ว
ดื่มหมดแล้ว สองมือถือชามวางไว้บนโต๊ะ
จากนั้นเริ่มหัวเราะอย่างภาคภูมิใจ
เวลายังมี
หลิวรุ่ยอิ่งดื่มอย่างไม่รีบร้อน
แต่รอยยิ้มของนายท่านจินกลับถูกเสี่ยวจีหลิงทำลาย
เพราะเขาหัวเราะอยู่แต่กลับเห็นว่าชามของเสี่ยวจีหลิงว่างเปล่าไปนานแล้ว
เสี่ยวจีหลิงดื่มสุราเร็วกว่าเขาอีก!
“พวกเจ้าบอกมาเสียดีๆ เขาได้โกงหรือไม่”
นายท่านจินเอ่ยถามพลางชี้คนด้านหลังเสี่ยวจีหลิง
ทุกคนส่ายหน้ากันหมด
อยู่ในสายตาผู้คนมากมาย ต่อให้เสี่ยวจีหลิงฉลาดแค่ไหนก็ไม่มีทางใช้อุบายตบตาคนได้
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นชัดเจนยิ่ง
เสี่ยวจีหลิงดื่มลงไปแล้วจริงๆ
คอเขาประหลาดนัก
เหมือนประตูน้ำสายหนึ่ง
ต่อให้เป็นนายท่านจินก็ไม่เว้น
เขาดื่มไวเพราะเขาปากใหญ่
แต่เสี่ยวจีหลิงกลับไม่ต้องกลืน
สุราทั้งหมดไหลลื่นลงท้องเขาเหมือนแม่น้ำ
หลิวรุ่ยอิ่งเพิ่งเคยเห็นวิธีดื่มสุราแปลกประหลาดเช่นนี้เป็นครั้งแรก
แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาเหลือไปชื่นชมแล้ว
อย่างไรตรงหน้าตนยังมีสุราครึ่งชามใหญ่วางอยู่
ความจริงดื่มสุราชามนี้หมด เวลาหนึ่งถ้วยชากลับจะเหลือเฟือ
เพียงแต่เมื่อมีกฎเกณฑ์แล้ว
คนทำอะไรก็จะรู้สึกมือเท้าลนลานอย่างเลี่ยงไม่ได้
หลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่เว้น
การดื่มสุรานี้ก็ไม่เว้น
ดื่มสุราสี่ชามแล้ว ผ่านไปหนึ่งชั่วยามพอดี
นายท่านจินวางชามสุราลง ให้คนรับใช้หยิบผ้าขนหนูสีขาวหิมะมาผืนหนึ่ง
เขาเช็ดคราบสุราที่เลอะบนปากและหนวดเคราของตนจนหมด
“ดื่มเท่านี้ก่อน ตอนเย็นแข่งอีกรอบ!”
นายท่านจินกล่าว
เสี่ยวจีหลิงพยักหน้า
หลิวรุ่ยอิ่งย่อมไม่มีความเห็นใด
หากยังแข่งต่อไป เขาคงจะแพ้อย่างอนาถ
เหมือนงานเลี้ยงวันเกิดจิ้นเผิงที่เมืองหยางเหวินครั้งก่อน
นายท่านจินลุกขึ้นเดินตรงดิ่งไปนอกจวน
คนทั้งหลายก็ตามเขาอยู่ข้างหลังโดยเป็นที่รู้กัน
“ทำไมเจ้าบอกว่าข้าเป็นสหายของเจ้า”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถามเสี่ยวจีหลิง
“เจ้าจะไม่เป็นสหายของข้าก็ได้”
เสี่ยวจีหลิงยิ้มกล่าว
“หากข้าเป็นแค่คนธรรมดาหรือเป็นจอมยุทธ์เหมือนเจ้า ข้าเห็นว่าการเป็นสหายของเจ้าถือเป็นเกียรติเลยด้วยซ้ำ”
หลิวรุ่ยอิ่งถอนหายใจ กล่าวด้วยความหดหู่ยิ่ง
“แต่ตอนนี้เจ้าเป็นนายกองกรมสอบสวนจึงคลุกคลีสนิทสนมกับคนว่างเสเพลเช่นข้าไม่ได้?”
เสี่ยวจีหลิงกล่าวต่อคำพูดของหลิวรุ่ยอิ่ง
นี่ก็เป็นสิ่งที่หลิวรุ่ยอิ่งอยากพูด แต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน
ทั้งยังเป็นสาเหตุที่เขาทอดถอนใจ
“แต่ยังต้องขอบคุณเจ้า”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“สหายของข้าจะไม่พูดขอบคุณข้า”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“แล้วพวกเขาทำอย่างไรกัน”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“พวกเขาแค่เลี้ยงสุราข้า”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“มีโอกาสข้าเลี้ยงสุราเจ้าแน่นอน!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ไม่ ตอนข้าหลบอยู่ใต้เตียงเมื่อคืนวาน เจ้าเคยเลี้ยงสุราข้าแล้ว”
เสี่ยวจีหลิงส่ายหน้ากล่าว
“เจ้าจ่ายค่าสุราสิบตำลึง นับว่าข้าเลี้ยงไม่ได้หรอก”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“สหายของข้าเป็นเช่นนี้เสมอ พวกเขาเลี้ยง ข้าควักเงิน”
เสี่ยวจีหลิงยิ้มกล่าว
“ถึงจะคล้ายไล่เป็ดขึ้นคอนอยู่บง แต่ดูเหมือนข้าเป็นสหายของเจ้าแล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งก็ยิ้มกล่าว
“แม้ชื่อเสียงของข้าทำให้ข้ามีสุราดื่มเหลือเฟือ แต่ของอย่างชื่อเสียงเป็นเพียงหน้ากากให้คนอื่นมอง สำหรับสหายข้ากลับไม่มีราคาสักอีแปะ ไม่มีราคาย่อมแลกสุราไม่ได้ ข้าเลยได้แต่ควักเงินซื้อเอง”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า
บางครั้งมิตรภาพก็เกิดขึ้นกะทันหันและไร้เหตุผลเช่นนี้
ทว่าจริงแท้อย่างยิ่ง
เหมือนสุราบนโต๊ะถูกดื่มลงท้องทีละอึก
ความสัมพันธ์ระหว่างสหายก็ค่อยๆ ซึมซาบในเลือดและกระดูกเช่นนี้
แต่สิ่งที่ทำให้คนเศร้าใจคือวิถีทางโลกในตอนนี้ เพื่อนแท้น้อยเกินไป แต่อริแท้กลับเยอะเหลือเกิน
ระหว่างสหายจะสนิทสนมขึ้นเรื่อยๆ
แต่ยิ่งสนิทก็ยิ่งเกิดความขัดแย้ง
คนสองคนเป็นเพื่อนกันเร็วเท่าไรก็กลายเป็นศัตรูได้เร็วเท่านั้น
สองฝ่ายต้องเท่าเทียมกัน
ระหว่างคนสนิทมักจะไม่มีใครเล็กใครใหญ่
กระทั่งพี่ป้าน้าอาก็เอามาหยอกล้อเล่นสนุกได้
แต่ระหว่างศัตรูไม่เป็นเช่นนั้น
ยิ่งคนสองคนแค้นเคืองนานเท่าไรกลับจะยิ่งเคารพกันและกัน
แต่ยิ่งเป็นคนที่ไม่อาจเป็นเพื่อนกันได้ เมื่อเป็นเพื่อนแล้วกลับยาวนานกว่าคนที่ดูเหมือนปรองดองเหล่านั้นมาก
หลิวรุ่ยอิ่งเป็นเพื่อนกับเสี่ยวจีหลิงตอนตามหาเบี้ยหวัดสี่ล้านตำลึงที่หายไปในร้านของชำ ร้านอาหารและร้านโลงศพบนเหมืองแร่แห่งนี้
จุดนี้ใครจะคาดคิด
ว่าจะได้เป็นเพื่อนกับคนที่เหนือความคาดหมายที่สุดในเวลาที่แปลกที่สุด
มีเพียงคำว่า ‘ชะตาลิขิต’ ถึงจะอธิบายได้
…………………………………………