ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 334 ถูกบังคับโดยไม่รู้ตัว-2
บทที่ 334 ถูกบังคับโดยไม่รู้ตัว-2
แร่เหล็กต่างกับคน
บางคนดูสูงใหญ่กำยำ ที่จริงไร้ความสามารถ
เพิ่งยกหมัดขึ้นก็อาจตกใจจนล้มไปกองกับพื้น…
แต่ขนาดของเหมืองแร่เทียบเท่ากับปริมาณการผลิต
ยิ่งเหมืองแร่ใหญ่ คนงานกับปริมาณการผลิตก็ยิ่งมาก
ไม่อย่างนั้นนายท่านจินคงไม่ได้อยู่จวนหรูหราและเลี้ยงอาชญากรแห่งยุทธภพไว้เยอะขนาดนี้
“นายท่านจินไม่ได้ยินข่าวลืออะไรเลยใช่หรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่มีใครมาซื้อแร่เหล็กเยอะขนาดนั้น ยังเป็นลูกค้าเก่าที่ค้าขายร่วมกันมาสิบกว่าปี แต่จำนวนที่พวกเขาต้องการก็ไม่หนีที่ผ่านมาเท่าไร แล้วก็ไม่เคยมาซื้อแทนคนอื่น”
นายท่านจินกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งมาถึงที่นี่เป็นวันที่สอง
หากนับจากวันที่จิ้งเหยากลับไปก็ห้าวันเต็มๆ ได้แล้ว
ด้วยนิสัยรีบร้อนของเขา ห้าวันจะยังไม่ถึงเหมืองแร่ได้อย่างไร
หลิวรุ่ยอิ่งอดสงสัยไม่ได้ว่าความคิดของตัวเองถูกต้องหรือไม่
แต่เรื่องซื้อศรธนูเขาไม่ได้เป็นคนคิดเอง
นั่นเป็นสิ่งที่เกาเหรินบอกเขาในศาลเจ้าคืนฝนตก
เมื่อนึกทบทวนเช่นนี้ หลิวรุ่ยอิ่งก็เริ่มคิดว่าหรือเกาเหรินจะโกหก
แต่เกาเหรินเป็นคนบ้า
ปากคนบ้าพูดได้แค่สองอย่าง
เรื่องเหลวไหลกับความจริง
เรื่องเหลวไหลทำให้คนยากเข้าใจ ได้แต่ทำเป็นเคารพและเอาตัวออกห่าง
แต่ความจริงที่คนบ้าพูดก็มักถูกมองเป็นเรื่องเหลวไหลและมองข้ามไป
ดังนั้นสรุปว่าเรื่องซื้อศรธนูเป็นเรื่องเหลวไหลที่เกาเหรินจินตนาการออกมาหรือเป็นความจริงที่จิ้งเหยาจะทำ หลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่แน่ใจแล้ว…
หลิวรุ่ยอิ่งล้วงแผนที่ฉบับหนึ่งออกจากในอก
นี่เป็นสิ่งที่จิ้นเผิงตั้งใจเตรียมให้เขาก่อนเดินทาง
หลิวรุ่ยอิ่งใช้มือวาดบนแผนที่ครั้งหนึ่ง
นายท่านจินมองเห็นเข้า
“เจ้ามาจากที่ไหน เมืองหลวงหรือ”
นายท่านจินเอ่ยถาม
“ไม่ขอรับ ข้ามาจากเมืองหยางเหวิน ที่นั่นมีอาคารกรมสอบสวนอยู่แห่งหนึ่ง”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวพลางชี้เมืองหยางเหวินบนแผนที่
“ตำแหน่งที่เจ้าทำสัญลักษณ์เป็นทางเดินสายแร่ไม่ผิดแน่ แต่ที่เจ้าถามเมื่อครู่ข้าไม่ได้ยินข่าวใดเลยจริงๆ”
นายท่านจินกล่าว
การสร้างศรธนูนอกจากต้องใช้แร่เหล็กแล้วยังต้องใช้ช่างฝีมือด้วย
หลิวรุ่ยอิ่งสงสัยว่าจิ้งเหยาใช้เงินไปจ้างช่างฝีมือก่อนแล้วค่อยมาซื้อแร่เหล็กหรือไม่
“นายท่านจินรู้หรือไม่ขอรับว่าแถวนี้มีเมืองใหญ่อะไรบ้าง”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ไม่รู้ใหญ่ที่เจ้าพูดหมายถึงคนเยอะหรือพื้นที่ใหญ่ เขตเจิ้นเป่ยอ๋องไม่เหมือนเมืองหลวง หัวเมืองบางรัฐยิ่งใหญ่มาก ความจริงกลับมีคนแค่นิดเดียว อาจไม่เยอะเท่าคนงานในเหมืองแร่สองสามแห่งแถวนี้รวมกันด้วยซ้ำ”
นายท่านจินกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เขาระมัดระวัง
ไม่ได้พูดถึงใคร
หากถามถึงช่างตีเหล็กตรงๆ ด้วยสมองของนายท่านจินคิดว่าต้องเดาออกได้ทันทีว่าคนที่ปล้นเบี้ยหวัดเหล่านั้นต้องการซื้อแร่เหล็กมาสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์
“ที่ที่คนเยอะก็คือเมืองหยางเหวินที่เจ้ามา”
นายท่านจินกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินประโยคนี้แล้วจนใจยิ่ง
ก่อนปล้นเบี้ยหวัดจิ้งเหยาต้องตรวจสอบสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ในพื้นที่เขตเจิ้นเป่ยอ๋องถึงรากฐานแล้วแน่นอน
เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเมืองหยางเหวินมีอาคารกรมสอบสวน
หนำซ้ำเขาฆ่าผู้สั่งการกองคนหนึ่งแล้วยังมาประมือกับหลิวรุ่ยอิ่ง
อย่างไรก็ไม่น่าไปเมืองหยางเหวินเพื่อเพิ่มความยุ่งยากให้ตัวเองถึงจะถูก
เขาจำเป็นต้องฆ่าผู้สั่งการกองคนนั้น
เพราะจิ้งเหยาต้องการยืมฐานะและเครื่องแบบบนกายเขา
แม้การลักขื่อเปลี่ยนเสานี้เป็นอุบายเก่าๆ แต่กลับใช้ได้ผลอย่างยิ่ง
ตอนแรกหลิวรุ่ยอิ่งก็ถูกหลอกเหมือนกัน
แต่การประมือกับหลิวรุ่ยอิ่งต้องอยู่เหนือความคาดหมายของเขาแน่นอน
เขาจะรู้ได้อย่างไรว่านายกองกรมสอบสวนคนหนึ่งที่ออกจากหอทรงปัญญาและเตรียมกลับไปรายงานผลที่เมืองหลวงจะมากินข้าวที่นี่
นอกจากเกาเหรินบอกเขา
หากเกาเหรินเป็นศิษย์พี่ของเซียวจิ่นข่านจริง
คิดว่าการคำนวณร่องรอยการเดินทางของคนตัวเล็กๆ อย่างหลิวรุ่ยอิ่งคงไม่ใช่เรื่องยากอะไร
หลิวรุ่ยอิ่งกลับรู้สึกโชคดีเล็กร้อย
หากจิ้งเหยาไปเมืองหยางเหวินจริง
กลับจะลดความยุ่งยากให้หลิวรุ่ยอิ่งไม่น้อย
เพราะเยว่ตี๋กับจิ้นเผิงยังอยู่เมืองหยางเหวิน
หากจิ้งเหยาไปจริง เขาต้องไม่รอดออกมาแน่
เพียงแต่ว่าคนในอาคารกรมสอบสวนเมืองหยางเหวินสองคนนั้นก็ตายเปล่าเสียแล้ว…
คิดไปคิดมาหลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่านี่ก็ไม่ถูก
หากเขาไม่มาที่นี่
จะเจอนายท่านจินได้อย่างไร
มีเพียงได้เจอนายท่านจิน เขาถึงจะรู้ลึกเรื่องการซื้อขายแร่เหล็กต่างๆ เช่นนี้
แม้จิ้นเผิงมอบสมุดที่เกี่ยวกับคลังสินค้าและปริมาณการผลิตแร่เหล็กในเขตเจิ้นเป่ยอ๋องให้เขาเล่มหนึ่ง
แต่ตำราเป็นสิ่งตายตัว
บันทึกแค่สิ่งที่เอามาวางบนโต๊ะได้เท่านั้น
ส่วนสิ่งที่อยู่ใต้โต๊ะ หากเจ้าไม่ยอบกายลงไปดู เช่นนั้นก็ไม่มีทางพบเจอเบาะแสใด
“ที่จริงไม่ใช่คนทั่วไป แต่เป็นช่างตีเหล็ก”
หลิวรุ่ยอิ่งครุ่นคิดและพูดประโยคเดียวจนทุกสิ่งชัดเจน
นายท่านจินฟังแล้วสูดหายใจลึกยาว
คนปล้นเบี้ยหวัดสี่ล้านตำลึงคนหนึ่ง นอกจากซื้อแร่เหล็กแล้วยังต้องจ้างช่างตีเหล็ก
ต่อให้เป็นคนทึ่มก็เข้าใจได้ว่าเขาจะทำอะไร
“ที่ที่มีช่างตีเหล็กเยอะที่สุดไม่ใช่ที่ไหน ที่นี่นี่แหละ!”
นายท่านจินชี้พื้นกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งไม่นึกว่านอกจากเจ้าของเหมืองอย่างนายท่านจินจะขายแร่เหล็กแล้ว ยังจ้างช่างตีเหล็กกลุ่มใหญ่เข้ามาทำงานด้วย
“ในจวนนายท่านจินมีช่างตีเหล็กกี่คนหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
เดิมไม่ควรถามความลับเหล่านี้
ต่อให้เป็นเพื่อนสนิทหรือแม้กระทั่งคนรัก ต่างฝ่ายก็ควรมีพื้นที่ส่วนตัวถึงจะถูก
หลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่รู้หลายๆ เรื่องของเซียวจิ่นข่าน
แต่นี่ไม่เป็นอุปสรรคต่อมิตรภาพของเขาสองคน
“ช่างตีเหล็กของข้ามากพอให้หลอมแร่เหล็กที่ซื้อมาด้วยเบี้ยหวัดสี่ล้านตำลึงสร้างเป็นอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหมดภายในหนึ่งเดือน”
นายท่านจินกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกนายท่านจินช่างเป็นคนสบายๆ เสียจริง
ว่าตามหลัก แม้มีเดิมพันอยู่กับตัว
แต่ก็ยังต้องแบ่งว่าเรื่องไหนบอกได้เรื่องไหนบอกไม่ได้
นายท่านจินกลับบอกหลิวรุ่ยอิ่งโต้งๆ เช่นนี้
การลักลอบสร้างอาวุธเองเป็นความผิดร้ายแรง
นายท่านจินจ้างช่างตีเหล็กเยอะขนาดนี้ ดูท่าคงร่ำรวยจากการเสี่ยงหัวหลุดจากบ่าเช่นนี้ไม่น้อย
เพียงแต่เวลาหนึ่งเดือนสำหรับจิ้งเหยายังถือว่านาน
เขาไม่มีทางปล้นเบี้ยหวัดแล้วอยู่เขตเจิ้นเป่ยอ๋องต่ออีกเดือนหนึ่งแน่
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองเดินเข้าทางตัน
ถึงขั้นยิ่งกว่าทางตันเสียด้วยซ้ำ
หากเดินสุดถนนแล้วไม่มีทางไปต่อยังเดินย้อนกลับได้
แต่หลิวรุ่ยอิ่งไม่มีทางให้ย้อนกลับแล้ว
ข้างหลังอาจยังมีประตูบานแคบ
แต่ถ้าคิดจะข้ามไปเป็นต้องตัดแขนสองข้างทิ้งแน่นอน
ตรงหน้าเป็นกำแพงสูงเทียมเมฆด้านหนึ่ง
ต่อให้ใช้ท่าร่างของเสี่ยวจีหลิงก็ข้ามไปไม่ได้
หลังกำแพงด้านนี้ก็คือความคิดที่แท้จริงของจิ้งเหยา
ตอนนี้หลิวรุ่ยอิ่งสับสนขึ้นทุกที
จิตใจที่ฮึกเหิมเช่นตอนออกมาจากอาคารกรมสอบสวนเมืองหยางเหวินก็หายหมดสิ้นไปนานแล้ว
“สหายหลิวมีเรื่องในใจอะไรหรือ
นายท่านจินเอ่ยถาม
จากนั้นยกจอกชาขึ้น
ใช้ชาชนกับชามสุราตรงหน้าหลิวรุ่ยอิ่งแทนสุรา
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้ยินเลยว่าเมื่อครู่นายท่านจินพูดอะไร
เพียงเห็นว่ามีคนชนจอกกับตัวเอง เขาจึงยกชามสุราขึ้นดื่มอึกใหญ่อย่างเหม่อลอย
แล้วก็จมสู่ความคิดอีกครั้ง
“ข้าคิดว่ามีดเล่มนี้ต้องมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับเรื่องที่เจ้าถาม”
เสี่ยวจีหลิงเอ่ยปากกะทันหัน
“มีดเล่มนี้…เป็นเทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง ทะเลทรายโกบีรกร้างกว้างใหญ่ มีแต่เขามาหาพวกเรา พวกเรากลับหาเขาไม่เจอ!”
หลิวรุ่ยอิ่งถอนหายใจกล่าวเสียงอ่อน
“นายท่านจินดูออกหรือไม่ว่ามีดเล่มนี้มีจุดเด่นอะไร”
หลิวรุ่ยอิ่งหยิบมีดเล่มนั้นออกมาอีกครั้ง เอ่ยถามพลางยื่นให้นายท่านจิน
“ตอนข้าดึงออกจากหัวซื่ออวี่ก่อนหน้านี้ก็เห็นแล้ว ถึงข้าไม่ใช่ช่างตีเหล็ก แต่ก็พอรู้จากการได้เห็นได้ยินเป็นเวลานาน งานมีดเล่มนี้เรียกได้ว่าต่ำกว่ามาตรฐานนัก…โบราณวัตถุที่ถูกค้นพบร้อยปีก่อนอาจจะหลอมได้ดีกว่ามีดเล่มนี้ด้วยซ้ำ หากพูดถึงจุดเด่น นั่นก็คือมันไม่ได้ลับคม และด้ามมีดกับใบมีดไม่ได้สัดส่วน”
นายท่านจินกล่าว
ประโยคนี้ดึงสติหลิวรุ่ยอิ่ง
เพราะเขาก็เคยเห็นมีดที่ด้ามมีดกับใบมีดไม่ได้สัดส่วนนี้ในร้านของชำ ร้านอาหารและร้านโลงศพแห่งนั้นเหมือนกัน
ก็คือนักฆ่าที่ใช้มีดไม่เป็นแต่สามารถเปลี่ยนพลังปราณเป็นอาวุธลับผู้นั้น
มีดที่เขาใช้ก็คือมีดที่ใบมีดกับด้ามมีดไม่ได้สัดส่วนเหมือนกัน
ด้ามมีดสั้นเล็กเรียวบางเกินไป
ถือในมือยากส่งแรง
แต่เมื่อครู่นายท่านจินบอกว่ามีดสั้นเล่มนี้มีจุดด้อยเช่นนี้เหมือนกัน หลิวรุ่ยอิ่งจึงเริ่มเชื่อมโยงกับนักฆ่าคนก่อนหน้านั้น
ที่น่าเสียดายคือเถ้าแก่เนี้ยเอามีดเล่มนั้นไปแล้ว
ใช้ชดเชยหนี้ที่เขาทำหลังคาห้องพัง
ไม่อย่างนั้นเอาให้นายท่านจินดูอาจพบจุดที่คิดอะไรออกอีกเยอะก็ได้
“แต่บางคนก็ชอบของประหลาดเช่นนี้ เมื่อก่อนข้าก็เคยเจอลูกค้าบางคนให้ข้าตีอาวุธที่ใช้งานไม่ได้แน่ๆ ให้เขาเป็นจำนวนมาก”
นายท่านจินกล่าว
“อาวุธแบบใดกันที่ตีออกมาแล้วใช้งานไม่ได้”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“อย่างเช่น กระบี่ที่กว้างเหมือนบานประตูเล่มหนึ่ง แส้เหล็กที่ยาวพอๆ กับตรงนี้ไปถึงหน้าประตู”
นายท่านจินกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งฟังแล้วหลุดขำพรืด
นี่เป็นลูกค้าเงินเยอะปัญญาทึบแบบใดกัน!
แม้กระบี่กว้าง กระบี่หนักล้วนมีอยู่จริง
แต่ถ้ากระบี่นี้กว้างและหนาเหมือนบานประตูก็คงได้แต่ใช้เป็นบานประตูเท่านั้นแหละ
ไม่อาจเรียกมันว่ากระบี่โดยสิ้นเชิง
จากโถงใหญ่ดื่มสุราตรงนี้ถึงบริเวณหน้าประตู
เป็นส่วนที่สามแล้ว
อย่างน้อยก็ยาวเกือบร้อยจั้ง
แส้เหล็กเช่นนี้คงได้แต่วางเป็นของตกแต่งไว้ในบ้าน
“ในเมื่อคนผู้นี้แปลกนัก นายท่านจินมีภาพจำว่าเขามาขอให้ท่านตีมีดเช่นนี้บ้างหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งหยุดหัวเราะแล้วเอ่ยถาม
“ไม่มี ถ้าเป็นคนอื่นข้าอาจยังจำผิดหรือหลงลืม แต่ของเขาล้วนเป็นของเหนือจินตนาการทุกครั้ง ข้าไม่มีทางพลาด แต่เดิมข้าก็เป็นคนหากินกับอาชีพนี้ ขอเพียงเขาจ่ายไหว ต่อให้อยากสร้างกรงเหล็กไว้ขังตัวเองข้าก็จะตีให้เขา”
นายท่านจินกล่าว
ในยามนี้เอง ผู้ดูแลจวนของนายท่านจินเดินเข้ามาอีกครั้ง
“เจ้าห้ามพูดว่ามีคนตายอีกเด็ดขาด…ข้าเพิ่งจะมีกะจิตกะใจดื่มสุรา กำลังเตรียมดื่มกับสหายหลิวให้เต็มที่สักหน่อย”
นายท่านจินมองผู้ดูแลจวนและกล่าวอย่างเฉยชา
“นายท่านจิน เขามาแล้วขอรับ”
ผู้ดูแลจวนกล่าว
นายท่านจินได้ยินว่า ‘เขา’ บนหน้าเริ่มมีรอยยิ้มขึ้นมา
“ยิ่งเป็นที่โล่งกว้างยิ่งต้องระวังคำพูดจริงๆ…ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ไม่รู้ว่าคำที่ตัวเองพูดเมื่อครู่จะถูกลมพัดไปที่ใด!”
นายท่านจินกล่าว
“ขอถาม ‘เขา’ คือใครหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ก็คือคนที่มีกระบี่บานประตูกับแส้ร้อยจั้งคนนั้น”
นายท่านจินกล่าว
…………………………………………