ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 337 พายุต้อนรับชายประหลาด-3
บทที่ 337 พายุต้อนรับชายประหลาด-3
“คราวนี้อยากทำสิ่งใดหรือ”
นายท่านจินพาเขามายังโถงงานเลี้ยงก่อนหน้านี้และเอ่ยถาม
เสี่ยวจีหลิงเป็นฝ่ายยกที่ของตัวเองให้และถอยไปด้านข้างช่องหนึ่ง
ในใจเขา
ขอแค่ได้ยินคนอื่นคุยกันหรือให้คนอื่นได้ยินเขาพูดก็พอแล้ว
นั่งตรงไหนล้วนไม่มีปัญหา
“ไม่มีของหรอก…ช่วงนี้ดื่มสุราหนักหลายหน อาเจียนจนสมองโล่งหมดแล้ว”
ชายประหลาดกล่าว
“ดื่มสุราพอเหมาะเป็นดี”
นายท่านจินกล่าว
อาชญากรแห่งยุทธภพคนอื่นๆ ในจวนนายท่านจินที่นั่งอยู่พากันหัวเราะขึ้นมา
เพราะพวกเขานึกไม่ถึงว่าประโยคนี้จะออกมาจากปากนายท่านจิน
นายท่านจินเจอสุราเมื่อใดเป็นต้องเมา ต้องโดนคนสี่คนหามออกไปทุกครั้ง
“พอเหมาะนับอย่างไร”
ชายประหลาดเอ่ยถาม
“ตราบใดที่ไม่ดื่มจนอาเจียนก็ถือว่าพอเหมาะ ทุกครั้งที่ข้าดื่มสุราจะต้องให้คนยกกลับไปนอน แต่ข้าไม่เคยอาเจียนมาก่อน”
นายท่านจินกล่าว
พวกคนที่หัวเราะเยาะก่อนหน้านี้พากันหุบปาก
เหมือนที่ก่อนหน้านี้พวกเขารู้สึกนายท่านจินพูดว่า ‘ดื่มสุราต้องพอเหมาะ’ น่าขันนัก ตอนนี้รู้สึกบรรทัดฐานความพอเหมาะของนายท่านจินออกจะเหลือเชื่อโดยแท้
แต่ในเมื่อคนผู้หนึ่งมีบรรทัดฐานและเงื่อนไขให้ตัวเอง เขาก็ต้องเป็นคนไม่เลวคนหนึ่งแน่นอน
แม้บรรทัดฐานและเงื่อนไขนี้จะหละหลวมยิ่งก็ตาม
หละหลวมจนขอแค่ดื่มสุราแล้วไม่อาเจียน เช่นนั้นต่อให้เมาเละเป็นโคลนก็ถือว่าพอเหมาะได้เหมือนกัน
อย่างน้อยนายท่านจินยังมีบรรทัดฐาน
แต่ทำไมตอนนี้เหล่าอาชญากรแห่งใต้หล้าที่ก่อเรื่องมาอาศัยนายท่านจินต้องพึ่งพิงคนอื่นและใช้ชีวิตอดสูเช่นนี้
เพราะพวกเขาไม่มีบรรทัดฐานและเงื่อนไขใดให้ตนเอง
ไม่มีกระทั่งบรรทัดฐานที่ ‘พอเหมาะ’ อย่างนายท่านจิน
หากต้องพูดละก็ บรรทัดฐานและเงื่อนไขของพวกเขาก็คือคำว่า ‘โลภ’
โลภเงินทอง ใคร่ได้ชื่อเสียง มักมากในกาม
สุดท้ายยังไม่รู้จักพอถึงได้นำมาสู่จุดจบในวันนี้
“ทุกครั้งที่ข้าดื่มสุราล้วนเดินกลับไปเอง แต่เดินถึงหน้าประตูเป็นต้องอาเจียนยกใหญ่”
ชายประหลาดกล่าว
“คราวหน้าท่านลองดื่มน้อยลงจอกหนึ่ง อาจจะไม่อาเจียนแล้วก็ได้”
นายท่านจินกล่าว
“ไม่หรอก ดื่มเท่าไรข้าก็อาเจียน ต่อให้ข้าอาเจียนไม่ออกและไม่ได้อยากอาเจียนเ ข้าก็จะล้วงคอตัวเองพยายามให้อาเจียนออกมาอยู่ดี”
ชายประหลาดกล่าว
เขาไม่สนใจว่าตรงหน้าเป็นชามสุราของใคร
ยกขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง
“กฎของที่ข้าคือดื่มสุราห้ามอาเจียน ถ้าอยากอาเจียนจริงๆ ก็…”
“ข้าจะเดินไปอาเจียนนอกจวน”
นายท่านจินยังพูดไม่จบ
ชายประหลาดก็กล่าวแทรกคำเขา
“เช่นนั้นท่านต้องระวังทิศทางลม หากอาเจียนรับลมต้องเลอะติดเสื้อผ้าท่านหมดเป็นแน่”
นายท่านจินหัวเราะกล่าว
“ข้าไม่ได้ดื่มขนาดนั้น และจะไม่ดื่มจนเมาขนาดนั้นด้วย”
ชายประหลาดกล่าว
เขาก็หัวเราะ
คล้ายนึกออกว่าหากตนอาเจียนรับลมจะเป็นสถานการณ์น่าอึดอัดเพียงใด
คนมักจะหัวเราะตอนนึกถึงเรื่องน่าอายของตัวเอง
เพียงแต่เรื่องน่าอายเหล่านี้ ถ้าไม่เกิดขึ้นแล้วก็ยังไม่เกิดขึ้น
หากกำลังเกิดคงไม่ถึงคราวตัวเองหัวเราะ
คนอื่นจะต้องหัวเราะลั่นไม่หยุด หัวเราะจนรวมส่วนของตัวเขาเองเข้าไปด้วย
“ท่านคงไม่ได้แค่มาดื่มสุรากับข้ากระมัง…”
นายท่านจินกล่าว
“เหตุใดถามเช่นนี้”
ชายประหลาดกล่าว
ตอนนี้เขาค่อยๆ เริ่มสบสายตานายท่านจินบ้างแล้ว
แม้ยังแข็งทื่อนัก
แต่เป็นธรรมชาติกว่าตอนเข้าจวนก่อนหน้านี้มาก
“เพราะถ้าท่านอยากมาดื่มสุรากับข้าก็คงมาตั้งนานแล้ว”
นายท่านจินกล่าว
“ก็จริง…ข้าดื่มสุราคนเดียวมาตลอด เพียงแต่วันนี้มีปัญหาหนึ่งที่คิดไม่ตก และข้าก็ไม่มีใครให้พูดคุยด้วย ข้าถึงได้มา”
นายท่านจินเผยสีหน้าประหลาดใจ
เขาไม่รู้ปัญหาอะไรร้ายแรงถึงขั้นทำให้ลูกค้าที่ร่ำรวยกว่าตนผู้นี้ไม่สบายใจได้
“ท่านเดินมาตลอดทางก็คิดไม่ตกหรือ”
นายท่านจินเอ่ยถาม
“หากข้าเดินมาตลอดทางแล้วคิดตกก็จะเดินกลับทันที ไม่มีทางเดินเข้ามาแม้แต่ก้าวเดียว”
ชายประหลาดกล่าว
นายท่านจินพยักหน้า
นี่ก็ตรงกับนิสัยเขาจริงๆ
“หากท่านอยากพูด ทุกคนที่นั่งอยู่ล้วนออกความเห็นให้ท่านได้”
นายท่านจินชี้ทุกคนบนโต๊ะพลางกล่าวกับชายประหลาด
รวมหลิวรุ่ยอิ่งเข้าด้วย
“ข้าทำของบางอย่างหาย”
ชายประหลาดกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นเขาอ้าริมฝีปากสามสี่ครั้ง สุดท้ายถึงพูดประโยคสมบูรณ์ออกมา
คิดว่าต้องตัดสินใจครั้งใหญ่แน่นอน
“ล้ำค่ามากหรือ”
นายท่านจินเอ่ยถาม
“ไม่ล้ำค่าและไม่สำคัญ…กลับจะเป็นของไร้สาระด้วยซ้ำ”
ชายประหลาดกล่าว
“ในเมื่อไม่ล้ำค่าและไม่สำคัญทั้งยังไร้สาระมาก เช่นนั้นหายก็หายไปสิ! คนที่ขโมยของไร้สาระก็ต้องเป็นคนโง่เขลาแน่นอน!”
นายท่านจินกล่าว
เพียงแต่เขามองข้ามไปจุดหนึ่ง
นั่นก็คือผายลมของคนมีเงินล้วนมีกลิ่นหอม
อุจจาระของสุนัขบ้านคนมีเงินก็ปั้นเป็นยาลูกกลอนเอาไปขายได้
เช่นเดียวกัน ต่อให้เป็นของไร้สาระเพียงใดในบ้านคนมีเงิน หยิบออกไปอาจเป็นของล้ำค่าหายาก ขายได้ราคาดี
นายท่านจินเพิ่งพูดประโยคนี้จบ
ชายประหลาดผู้นี้ตบโต๊ะลุกขึ้นทันที!
บนหน้าเผยความฮึกเหิมยากใช้คำบรรยาย
“เจ้าพูดถูก! ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่าทำไมข้าถึงคิดไม่ตก!”
ชายประหลาดกล่าวเสียงดัง
น้ำเสียงตื่นเต้นสั่นเครือเล็กน้อย
นายท่านจินยังไม่ได้ตอบสนอง
เขารู้สึกตัวเองไม่ได้พูดอะไรเลย
แค่ทวนคำของชายประหลาดรอบหนึ่งให้เขาไม่ต้องสนใจเท่านั้น
“เจ้าบอกว่าคนที่ขโมยของไร้สาระเช่นนั้นไปก็ต้องเป็นคนโง่เขลาใช่หรือไม่”
ชายประหลาดกล่าว
สองมือจับหัวไหล่ของนายท่านจิน
“เอ่อ…ขอรับ!”
นายท่านจินกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
ได้แต่ตอบรับไปก่อนคำหนึ่ง
เป็นใครก็ต้องรู้สึกกระอักกระอ่วนกับความเป็นมิตรไร้ที่มาเช่นนี้ทั้งนั้น
ชายประหลาดกล่าวต่อ
เหมือนพึมพำกับตัวเอง
พูดจบก็นั่งลงอีกครั้ง หยิบชามสุราขึ้นดื่มอึกใหญ่
อาจเป็นเหตุจากอารมณ์เดือดดาล สุราอึกนี้จึงทำให้เขาไอเบาๆ สองที
“อยากรู้คนผู้นั้นโง่เขลาเพียงใดก็ต้องรู้ว่าเขาขโมยของไร้สาระแค่ไหนกันแน่”
เสี่ยวจีหลิงเปิดปากกล่าวกะทันหัน
หลิวรุ่ยอิ่งก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน
ในเมื่อขโมยของไร้สาระก็ต้องตรงกับความคิดของคนโง่เขลาแน่นอน
ถ้าอยากรู้ว่าคนผู้นี้โง่เขลาเพียงใดกันแน่ ขอแค่ดูว่าของนี้ไร้สาระแค่ไหนก็พอแล้ว
นึกไม่ถึงพอเสี่ยวจีหลิงถามเช่นนี้
ชายประหลาดที่เมื่อครู่ยังเดือดดาลไม่หยุดกลับเก้อกระดากขึ้นมา
เขาตบท้ายทอยของตัวเอง
ทำปากบิดเบี้ยว
คล้ายพูดยากเล็กน้อย
“ที่จริง…ก็ไม่นับเป็นของไร้สาระขนาดนั้น”
ชายประหลาดกล่าว
อย่างไรของนั่นก็เป็นสิ่งที่เขาตีออกมาเอง
หากประเมินค่าต่ำจนไม่มีราคาสักอีแปะ หมายความว่าเขาก็เป็นคนโง่เขลาไม่มีราคาสักอีแปะเหมือนกันไม่ใช่หรือ
คนมักอยากได้คำชมและชื่อเสียงดีงาม
คงไม่มีใครแย่งกันเป็นคนโง่เขลาแน่นอน
แม้ชายประหลาดนิสัยแปลกอยู่บ้าง แต่เขาไม่ใช่คนโง่
ย่อมเข้าใจความเชื่อมโยงในนั้นได้
ประโยคที่พูดเมื่อครู่แค่อยากชดเชยให้ตัวเองเล็กน้อยเท่านั้น…
“ตกลงว่ามันคือสิ่งใด”
เสี่ยวจีหลิงเอ่ยถามอย่างร้อนใจ
เวลาเช่นนี้เขาจะใจเต้นเร็วทุกครั้ง
รู้สึกเลือดร้อนพุ่งตรงไปที่หน้าผากต่อเนื่อง
ตอนเล่าเรื่องราวให้คนอื่นฟังเขามักชอบดึงปริศนาชวนให้อยากรู้
แต่ตอนเขาฟังเรื่องราวของคนอื่นกลับข่มกลั้นไม่อยู่แม้แต่ครู่เดียว
แทบอยากจะให้อีกฝ่ายกล่าวพรวดออกมาในลมปราณเดียวเหมือนเทเมล็ดถั่วจากกระบอกไม้ไผ่
โรคเฉียบพลันต้องรักษาด้วยยาแรง
เสี่ยวจีหลิงไล่เลียงไม่ลดละเช่นนี้กลับทำให้สีหน้าชายประหลาดผ่อนคลายลง
“ข้าตีมีดสั้นเองสองสามเล่ม งานย่ำแย่มาก…เอาเหล็กร้อนชุบน้ำเพียงรอบเดียว กระทั่งสิ่งเจือปนในแร่เหล็กก็ไม่ได้กรองให้สะอาด…บนตัวมีดจึงมีจุดดำเต็มไปหมด ทั้งยังออกแบบไม่เรียบร้อยพอ…ด้ามมีดสั้นและเล็กเกินไป ไม่เข้าสัดส่วนกับตัวมีดอย่างยิ่ง…ข้าถือไว้ในมือเองยังรู้สึกแย่ ยิ่งไม่รู้ว่าคนขโมยไปเพื่ออะไรกันแน่…”
ชายประหลาดกล่าว
หลังจากเล่าเรื่องนี้จบในหนึ่งลมปราณ
เขาถอนหายใจยืดยาว
พลันรู้สึกเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยาก และพูดออกมากลับจะทำให้ตนผ่อนคลายยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะตอนมีคนฟังตัวเองพูด
ในชั่วขณะนี้เอง
นิสัยของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ชายประหลาดผู้นี้ชอบความรู้สึกดื่มสุราคุยเล่นพร้อมสหายเต็มโต๊ะเช่นนี้เข้าแล้ว
สบายใจกว่าดื่มสุราตอนกลุ้มทีละจอกคนเดียวมาก
“มีดสั้นที่ท่านตี นอกจากกรองไม่บริสุทธิ์ ตัวมีดกับด้ามมีดไม่ได้สัดส่วนแล้ว ยังไม่ได้ลับคมด้วยใช่หรือไม่ขอรับ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ถูกต้อง! ของใช้งานไม่ได้เหล่านั้น…จะไปลับคมให้มันทำไม หนำซ้ำเพราะตีมีดนี้หยาบเกินจึงบางเป็นพิเศษ ข้ากังวลว่ายังไม่ทันลับคมได้สมบูรณ์ ตัวมีดก็อาจจะหักเสียแล้ว…ดังนั้นตีเสร็จแล้วข้าก็แค่วางไว้ในตู้เป็นที่ระลึกให้ตัวเอง อย่างไรก็เป็นของที่ข้าทำเองกับมือ ทิ้งไปทั้งอย่างนั้นกลับจะรู้สึกเสียดาย…”
ชายประหลาดกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งกับเสี่ยวจีหลิงยื่นมือออกมาพร้อมเพรียงกัน
ในฝ่ามือของพวกเขาสองคนต่างมีมีดสั้นเล่มหนึ่ง
รูปร่างหน้าตาเหมือนที่ชายประหลาดบรรยายไม่มีผิด
เล่มหนึ่งดึงจากหน้าผากเจ้าหน้าที่อาคารกรมสอบสวนเมืองหยางเหวินที่นอนตายอยู่ในโลงศพ
เล่มหนึ่งดึงจากหน้าผากจินซื่ออวี่บุตรบุญธรรมของนายท่านจิน
ชายประหลาดเห็นมีดสั้นในมือทั้งสองแล้วพลันตกใจจนพูดไม่ออก
หลิวรุ่ยอิ่งกับเสี่ยวจีหลิงมองหน้ากัน
ดูเหมือนมีดนี้จะเป็นของไร้สาระใช้งานไม่ได้ที่เขาตีเองเหล่านั้นจริง
แต่คนที่ขโมยมีดต้องไม่ใช่คนโง่แน่นอน
เพราะคนโง่ไม่มีทางฆ่าเจ้าหน้าที่อาคารกรมสอบสวนเมืองหยางเหวินตาย ยิ่งไม่อาจฆ่าจินซื่ออวี่ตาย
คนขโมยมีดเพียงต้องการปิดบังฐานะแท้จริงของตนเท่านั้น
คนผู้นี้ใช้มีดไร้สาระคุณภาพต่ำเล่มหนึ่งและยังฆ่าคนได้มากมาย
หลิวรุ่ยอิ่งนึกได้ว่ายังมีมีดแบบเดียวกันอยู่ที่เถ้าแก่เนี้ยอีกกล่องหนึ่ง
เพียงแต่เถ้าแก่เนี้ยบอกว่าสะสมมีดเหล่านี้ทีละน้อย
ตอนนี้ดูเหมือนนางไม่ได้บอกความจริงหลิวรุ่ยอิ่ง
เพราะชายประหลาดผู้นี้พบว่ามีดหายไปไม่นาน
นานสุดก็ไม่เกินหนึ่งเดือน
เถ้าแก่เนี้ยที่ฉลาดปานนั้นจะจำไม่ได้กระทั่งเรื่องที่เกิดขึ้นภายในหนึ่งเดือนได้อย่างไรกัน
ชัดว่าเป็นไปไม่ได้
“พวกเจ้ามีมีดเล่มนี้ได้อย่างไร?!”
ชายประหลาดกล่าวพลางชี้มือหลิวรุ่ยอิ่งกับเสี่ยวจีหลิง
“ดึงมาจากบนหัวคนตายขอรับ…”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“มีดนี้? ฆ่าคนได้จริงหรือ…”
ชายประหลาดหยิบมีดที่ตนตีมาจากมือหลิวรุ่ยอิ่ง กล่าวพลางใคร่ครวญอย่างละเอียด
ยามนี้หลิวรุ่ยอิ่งจึงเข้าใจความ ‘ประหลาด’ ของเขาอย่างที่สุดแล้ว
คนปกติได้ยินว่ามีดนี้ดึงมาจากบนหัวคนตายเป็นต้องตกใจหน้าถอดสี
สิ่งที่ต้องถามเป็นอย่างแรกควรเป็นมีดนี้สังหารใคร
แต่ชายประหลาดผู้นี้กลับสนใจว่ามีดของตนฆ่าคนได้จริงหรือ
อย่างไรของใช้งานไม่ได้ที่ไม่ควรค่ากระทั่งลับคมในสายตาเขาถึงขั้นฆ่าคนตาย นี่จะไม่ใช่เรื่องมหัศจรรย์พันลึกได้อย่างไร
“ดึงมาจากบนหัวคนตายจริงหรือ มีคนใช้มันฆ่าคนตายจริงหรือ”
ชายประหลาดซักถามด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน
“ใช่ขอรับ และเป็นสองคนด้วย หนึ่งเล่มต่อคน”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
ชายประหลาดพลันหัวเราะมีเลศนัย
“ไม่นึกเลยว่าของที่ทำก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น!”
ชายประหลาดกล่าวกระหยิ่มยิ้มย่อง
จากนั้นขัดมีดที่หยิบมาจากในมือหลิวรุ่ยอิ่งไว้ที่เอวของตน
เหมือนกลัวคนอื่นไม่เห็น
………………………………………