ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 339 เป็นแค่ขนไก่กระจายเต็มพื้น-2
บทที่ 339 เป็นแค่ขนไก่กระจายเต็มพื้น-2
“เห็นหรือไม่”
เกาเหรินยืนขึ้น ยิ้มกล่าวกับจิ้งเหยา
“เห็นสิ่งใด”
จิ้งเหยาเอ่ยถาม
“เห็นขนไก่เต็มพื้น”
เกาเหรินกล่าว
จิ้งเหยาส่งเสียงเยาะหยัน ไม่ได้สนใจ
ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจการอุปมาของเกาเหริน
เพียงแต่เขาไม่ชอบการทำท่าทำทางของเกาเหรินเลยจริงๆ
ความหมายของเกาเหรินก็แค่บอกว่าเขาคือขนไก่อันนี้
ติดอยู่บนสุ่มไก่ ไม่เด่นสะดุดตา
ทว่าเมื่อลอยขึ้นก็จะถูกแย่งกินทันที อยู่ในจุดจบที่ตายศพไม่สมบูรณ์
แต่ถ้าไม่มีลม ขนไก่นี้จะลอยได้อย่างไร
เกาเหรินก็คือลมหอบนี้
เขาสามารถทำให้ขนไก่ตกพื้นได้เร็วและทำให้มันลอยไกลขึ้นได้
แค่ดูว่าลมหายใจที่เขาเป่ายาวหรือสั้น แรงหรือเบาเท่านั้น
“เบี้ยหวัดสี่ล้านตำลึงนั่นอยู่ที่ไหน”
เกาเหรินเอ่ยถาม
“อยู่ที่ที่พวกมันควรอยู่”
“นอนหลับกับเงินเยอะขนาดนี้รู้สึกดีหรือไม่”
เกาเหรินเอ่ยถามต่อ
“ดียิ่ง! ต้องรู้ว่าแท่งเงินเนื้อเนียนกว่าส่วนที่อ่อนนุ่มที่สุดบนร่างหญิงงามเยอะ!”
จิ้งเหยาดื่มสุราและกล่าว
“ข้ามาแล้ว อย่างไรก็ถือเป็นแขก การต้อนรับขับสู้ของชาวทุ่งหญ้าเช่นพวกเจ้าอบอุ่นที่สุดเลยไม่ใช่หรือ”
เกาเหรินกล่าว
“แขกล้วนเชิญมา เจ้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ ไม่นับเป็นแขกย่อมไม่มีการต้อนรับขับสู้”
จิ้งเหยากล่าว
“แม้เจ้าไม่ได้เชิญข้า แต่กลับรอข้าอยู่ ทั้งยังรอข้ามาหนึ่ง…สอง…สาม สี่วัน! ในที่สุด คนที่ทำให้เจ้าลำบากรอสี่วันมาถึงแล้ว สำคัญกว่าแขกที่เชิญมาอีกกระมัง!”
เกาเหรินกล่าว
ตอนนับจำนวนวันยังขยับนิ้วคำนวณรอบหนึ่ง
จิ้งเหยาครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วโบกมือ
ผู้ใต้บังคับบัญชาย้ายโต๊ะตัวยาวและเก้าอี้สองตัวออกจากในบ้าน
บนโต๊ะวางสุราดีกับไก่อวบอ้วน
ชัดว่าเตรียมไว้นานแล้ว
“ต้องอย่างนี้สิ!”
เกาเหรินกล่าว
“เพียงแต่วันนี้ข้าอยากดื่มชา”
ตอนเกาเหรินเตรียมนั่งลงพลันเปลี่ยนหัวข้อกล่าวเช่นนี้
“ว่ากันว่าสุราเหมาะกับหลักใหญ่แห่งฟ้าดินไม่ใช่หรือ คนเช่นเจ้าจะดื่มชาได้อย่างไร หนำซ้ำที่ข้าก็ไม่เคยมีชาและคนดื่มชา”
จิ้งเหยาหัวเราะกล่าว
หันไปมองเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของตนแวบหนึ่ง
พวกเขาก็เริ่มหัวเราะตาม
ให้ชาวทุ่งหญ้าดื่มชายังไม่สู้รัดคอพวกเขาไม่ให้กินดื่มจนหิวตายไปเลยดีกว่า
ไม่มีสุรา พวกเขาจะเลือกดื่มน้ำ
แต่ไม่มีทางดื่มชาแน่นอน
จนถึงวันนี้จิ้งเหยาก็ไม่เข้าใจว่าการเอาของที่เหมือนใบไม้แห้งเหล่านั้นต้มในน้ำร้อน
แล้วเปลี่ยนน้ำดีๆ เป็นสีเหลืองไม่ต่างกับต้มปัสสาวะมันอร่อยตรงไหน…
แต่ที่อาณาจักรอ๋อง การกระทำเช่นนี้ใช้คำเดียวก็ครอบคลุม
สง่างาม
หรูหราโอ่อ่า
แม้หลายปีมานี้ในทุ่งหญ้าก็มีชนชั้นสูงบางคนอยากได้ความสดใหม่
โดยเฉพาะตอนรับแขก มักจะต้มชากาหนึ่งแสดงถึงความรู้กว้างขวางของตนและความสง่างามที่ว่า
ปกติจิ้งเหยาดูแคลนเรื่องพวกนี้
ถึงขั้นสาดชาในจอกลงพื้นต่อหน้าชนชั้นสูงเหล่านั้นแล้วให้คนเปลี่ยนเป็นสุราให้เขา
ดังนั้นที่ที่เขาอยู่ไม่มีทางมีชาแน่นอน
เพียงแต่เขานึกขึ้นได้ว่าข้างหัวเตียงของสามีภรรยาชาวเขาที่ถูกเขาฆ่าตายคู่นั้นมีโหลอยู่ใบหนึ่ง
เหมือนจะเป็นใบชา
เขาจึงเดินเข้าในบ้านแล้วหยิบโหลนั้นออกมาเอง
ยังให้คนวางจานเพิ่มอีกใบ เทใบชาในโหลใส่ในจาน
“ฮ่าๆๆ! ใบชาล้วนต้มดื่ม เจ้าจะใส่ในจานกินเป็นผักรึ”
เกาเหรินชี้จานกล่าวหัวเราะลั่น
“หมาป่ากินเนื้อ หมาบ้านกินขี้ ชาวทุ่งหญ้าดื่มสุรา ชาวอาณาจักรอ๋องดื่มชา เป็นแค่นิสัยเท่านั้น อย่างไรก็มีชาแล้ว”
จิ้งเหยากล่าว
เกาเหรินพยักหน้า
หยิบใบชาหยิบมือหนึ่งใส่ลงในจอกสุราของตน
“ฟืน ข้าว น้ำมัน เกลือ ยาเส้น สุราและชา”
เกาเหรินกล่าว
“เจ้าอยากสูบยาเส้นด้วยรึ ที่ข้าไม่ใช่ร้านขายของชำ และข้าก็ไม่เป็นมายากล”
จิ้งเหยากล่าว
“แน่นอนๆ…แขกตามเจ้าบ้านสะดวก ข้าก็ใช่ว่าเป็นคนไม่รู้มารยาท ไม่เรื่องมากขนาดนั้นอยู่แล้ว”
เกาเหรินกล่าว
ในใจจิ้งเหยาหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม
เขาทนรับคำพูดอ้อมค้อมออกนอกเรื่องแสร้งคล้อยตามของเกาเหรินมากพอแล้ว
แต่เขาก็ไม่อยากเป็นฝ่ายเข้าประเด็น
เขาจึงได้แต่กำจอกสุราในมือเต็มแรงเพื่อเป็นการระบายให้ตัวเองข่มกลั้นไว้
“เวลาสี่วัน เจ้ารู้หรือไม่ข้างนอกเกิดอะไรขึ้น”
เกาเหรินมองจอกสุราในมือจิ้งเหยาแวบหนึ่งพลางกล่าว
“ไม่รู้”
จิ้งเหยากล่าว
“ในสี่วันนี้ เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาส่งคนสามกลุ่มมาสืบหาร่องรอยเบี้ยหวัด คนทุกกลุ่มล้วนนำโดยผู้ถวายงานวังอ๋องคนหนึ่ง คนเหล่านี้อีกนิดขั้นฝึกยุทธ์ก็เป็นเทพบริราชเก้าทวีปหมดแล้ว”
เกาเหรินกล่าว
“ข้ารับมือไม่ไหว หากรับมือก็กลายเป็นขนไก่เต็มพื้นที่เจ้าบอกเมื่อครู่”
จิ้งเหยากล่าวตรงไปตรงมา
ในใจกลับยินดียิ่ง
สุดท้ายเกาเหรินยังเป็นคนพูดเรื่องนี้ก่อน
ฉับพลันบนมือก็หยุดส่งแรง คลายจอกสุรา
นึกไม่ถึงพอคลายมือออก
จอกสุรากลับกลายเป็นผุยผงทันที
ร่วงหล่นจากซอกนิ้วของจิ้งเหยา
“เหตุใดคนดื่มสุราต้องใส่อารมณ์กับจอกสุราด้วย”
เกาเหรินฉวยจังหวะเอ่ยถามเย้าแหย่อีก
“หลิวรุ่ยอิ่งล่ะ เขาอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่”
จิ้งเหยาไม่สนใจการยั่วเย้าของเกาเหริน
ปัดมือแล้วให้ผู้ใต้บังคับบัญชาหยิบจอกสุรามาอีกใบ
อ้าปากก็ถามถึงที่อยู่ของหลิวรุ่ยอิ่ง
“ข้าบอกเขาว่าเจ้าจะใช้เบี้ยหวัดซื้อศรธนู”
เกาเหรินกล่าวยิ้มแป้น
จิ้งเหยาเพิ่งรินสุราจอกหนึ่ง กำลังจะดื่มลงไป
แต่ได้ยินคำพูดเกาหรินแล้วรูม่านตาพลันหด
มือจับอยู่บนด้ามดาบแล้ว
ดื่มสุราข้างนอก
เพราะมือขวาต้องว่างเปลี่ยนตามสถานการณ์เสมอ
เกาเหรินย่อมเห็นการกระทำของจิ้งเหยา
แต่เขาไม่มีความกลัวเลยสักนิด
เพราะเขารู้ว่าจิ้งเหยาไม่มีทางฆ่าเขา และฆ่าเขาไม่ได้
“รู้ว่าข้าจะซื้อศรธนู ดังนั้นหลิวรุ่ยอิ่งต้องติดต่อร้านเครื่องธนูแต่ละแห่งในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องแน่นอน”
สุดท้ายจิ้งเหยายังข่มใจไว้
มือขวาปล่อยดาบแล้วกล่าวเรียบนิ่ง
เพิ่งสิ้นเสียงก็ดื่มสุราจอกหนึ่งลงท้อง
“การติดต่อร้านเครื่องธนูย่อมเป็นวิธีที่ถูกต้องที่สุดจริง…แต่ถูกต้องไม่ได้หมายความว่ามีประโยชน์ ได้เพียงบอกว่าเป็นเช่นนี้มาตลอดเท่านั้น…แต่มีเรื่องที่เป็นเช่นนี้มาตลอดเยอะแล้ว ทุกเรื่องต้องถูกหมดเลยหรือ หากหลิวรุ่ยอิ่งทำตามธรรมเนียมปฏิบัติ เช่นนั้นเขาก็ไม่ควรค่าให้ผู้นำหน่วยเช่นเจ้าคอยนึกถึงขนาดนี้…”
เกาเหรินกล่าว
“แล้วตกลงเขาทำอะไรอยู่”
จิ้งเหยายังคงพุ่งตรงประเด็น
“เฮ้อ…ข้าไม่ได้ดื่มสุราสักจอก ขาไก่ก็ไม่ได้กินสักชิ้น แต่ถูกบีบให้พูดมากมายเพียงนี้”
เกาเหรินเริ่มอ้อมค้อมอีกแล้ว
จิ้งเหยาสังเกตได้ว่าเหมือนเกาเหรินกำลังตั้งใจถ่วงเวลา
แต่ไม่รู้ว่าเขาทำไปเพื่ออะไร
อีกอย่างตอนคุยกันก่อนหน้านี้เกาเหรินก็บ้าๆ บอๆ พูดไม่รู้เรื่อง
ชั่วขณะหนึ่งต่อให้เป็นจิ้งเหยาก็แยกแยะได้ยากว่าเกาเหรินตั้งใจหรือเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว
แต่ระหว่างออกรบมาทั้งปี จิ้งเหยาฝึกฝนลางสังหรณ์ของตัวเองอย่างหนึ่ง
นั่นก็คือการเตือนอันตรายที่กำลังมาถึง
แม้ลางสังหรณ์เช่นนี้ไม่มีหลักฐานใดและไม่มีคำตอบแน่นอน
แต่จิ้งเหยารู้ว่าลางสังหรณ์ที่ตนมีต่อทางโลกแม่นยำเสมอมา
เขาจึงจงใจดื่มสุราติดกันหลายจอกใหญ่
ทั้งยังชนจอกกับเกาเหรินทุกจอก
จากนั้นเขาทำเป็นพูดว่าจะไปปลดเบาหลังบ้าน
ความจริงคืออยากหลบเกาเหรินมาสั่งสองผู้ใต้บังคับบัญชาที่ฉลาดหลักแหลมของตนไปตรวจดูในป่าเขาโดยรอบกระท่อมหญ้าคาสักหน
ไม่เช่นนั้นลางสังหรณ์ในใจเขาก็จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
รุนแรงถึงขั้นทำให้เขาดื่มสุราต่อไปไม่ได้
ตอนนี้เขายังออกคำสั่งกับผู้ใต้บังคับบัญชาได้
แต่การตายไม่จำเป็นต้องออกคำสั่ง
…………………….
กลับมาจากปลดเบาแล้ว
จิ้งเหยาเห็นเกาเหรินเงยหน้ามองท้องฟ้ามืดครึ้ม
เขาชินกับการที่เกาเหรินบ้าบอเสียสติเช่นนี้แล้ว แต่คืนนี้รู้สึกไม่สบายใจอย่างไร้เหตุผลเพราะลางสังหรณ์ของเขา
หนำซ้ำคืนนี้ไม่มีลม
บนฟ้าไม่มีดาวเดือน
“เจ้าดูอะไรอยู่”
จิ้งเหยาถาม
หากเป็นยามปกติเขาไม่มีทางเอ่ยปาก
แต่ตอนนี้เขารู้สึกพูดอะไรสักหน่อยอาจสบายใจขึ้นได้บ้าง
“ข้ากำลังดูอินทรี”
เกาเหรินกล่าว
จิ้งเหยาพลันหัวเราะลั่น
ยังมีใครเข้าใจอินทรีกว่าชาวทุ่งหญ้าอีกหรือ
ตอนนี้เวลานี้อินทรีกลับรังนานแล้ว
แม้ความอาวรณ์ที่อินทรีมีต่อท้องฟ้าไม่อาจลบเลือน แต่ใช่ว่าไม่มีจุดสิ้นสุด
จิ้งเหยาจำตอนนอนบนทุ่งหญ้าตอนเด็กๆ ได้
มองดูท้องฟ้าสีคราม
มารดาของเขายังอยู่บนโลก นั่งอยู่ข้างกายเขา
นางพลันชี้ท้องฟ้าพลางกล่าวกับเขา
“เจ้าเห็นอินทรีตัวนั้นหรือไม่”
จิ้งเหยาชะงัก
เขามองท้องฟ้าอยู่ตลอด
บนท้องฟ้าทั้งผืนไม่มีกระทั่งก้อนเมฆสักก้อน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงอินทรีที่พวกเขาคุ้นเคยที่สุด
“อยู่ไหนหรือ”
จิ้งเหยาเอ่ยถาม
มารดายิ้มไม่กล่าวคำ
เพียงบอกเขาว่าวีรบุรุษล้วนมองเห็นอินทรีโบยบินไม่ว่าอยู่ที่ไหนเมื่อไรก็ตาม
แต่คนขี้ขลาดต่อให้อินทรีลงมาเกาะบนหัวไหล่ก็ไม่สามารถรับรู้ได้โดยสิ้นเชิง
นึกถึงเรื่องในอดีตนี้
จิ้งเหยากลับหัวเราะไม่ออกแล้ว
เพราะคนตัวเล็กสติไม่ดีที่นั่งอยู่ตรงหน้ากลับเอ่ยคำคล้ายคลึงกับมารดาเขาขึ้นมา
จิ้งเหยาไม่รู้ว่าควรโกรธหรือคิดถึง
แต่พอนึกถึงท่าทางของมารดาเขาในตอนนั้น
จิตใจเขาก็สงบลงทันที
เขาก็เงยหน้ามองท้องฟ้าตามเกาเหริน
“ข้าเห็นแล้ว”
จิ้งเหยากล่าว
“ข้าหลอกเจ้า! ตอนนี้จะมีอินทรีได้อย่างไร”
เกาเหรินดื่มสุราหัวเราะลั่นและกล่าว
เดิมนึกว่าจะสามารถแหย่ให้จิ้งเหยาโมโหสุดขีด
แต่จิ้งเหยากลับยิ้มเข้าใจพลางกล่าว
“ข้าเห็นแล้วจริงๆ”
จากนั้นเงยหน้ามองท้องฟ้าต่อ
เมื่อเขาดึงสติกลับมา
เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาสองคนที่ส่งออกไปตรวจตราโดยใช้การปลดเบาเป็นข้ออ้างก่อนหน้านี้กลับมาแล้ว
ทั้งสองยืนพยักหน้าให้จิ้งเหยาอยู่นอกกำแพงลานบ้าน
จิ้งเหยาถึงได้ผ่อนลมหายใจ
คิดว่าตนอ่อนไหวเกินไปจนคิดมาก…
…………………………………………