ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 345 ท่านอ๋องที่โง่เขลาที่สุด-5
บทที่ 345 ท่านอ๋องที่โง่เขลาที่สุด-5
เสี่ยวลี่พลันใคร่ครวญอยู่นาน สุดท้ายยังคงไม่ชักกระบี่อ่อนตรงเอวออกมา
ในเมื่ออีกฝ่ายพูดเปิดโปง
เช่นนั้นก็แสดงว่าพวกเขาเตรียมป้องกันไว้แต่แรก
พูดเรื่องเหนือความคาดหมายไม่ได้แล้ว
กระบี่อ่อนไร้ความหมาย…
เขามองดาบตรงเท้า
จากนั้นเงยหน้ามองสะพานหินและริมแม่น้ำ
หยางหลิวเขียวสด
ทิวเขาสูงต่ำที่อยู่ไกลปกคลุมด้วยหมอกควันบางๆ ชั้นหนึ่ง
เขาเดินผ่านแม่น้ำสายนี้ไม่รู้กี่ครั้ง
ทั้งยังเคยยืนมองเงาตัวเองกลับหัวในแม่น้ำอยู่บนสะพานหินไม่รู้กี่รอบ
ตอนต้นฤดูใบไม้ผลิน้ำไหลเอื่อย
ยังมองเห็นได้ชัด
แต่ถึงช่วงกลางฤดูร้อน น้ำไหลเชี่ยว
รูปร่างของเขาในน้ำก็ถูกส่งไปยังที่ไกลในพริบตา
เหมือนชีวิตของเขาที่ค่อยๆ สลายทีละน้อย
เสี่ยวลี่ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองคิดถึงเรื่องเหล่านี้
แต่ร่างกายของสั่นกลัวเล็กน้อย
จากนั้นก้มเก็บดาบของตนบนพื้นขึ้นมา
เสี่ยวลี่กล่าว
สองคนตรงหน้ายักไหล่
สื่อว่าไม่สนใจ
ทำไมพวกเขาต้องสนใจ
สำหรับพวกเขาคู่ต่อสู้จะใช้กระบี่หรือใช้ดาบล้วนไม่มีอะไรแตกต่าง
ในเมื่อออกดาบหรือกระบี่ก็เหมือนกัน
พวกเขามองคำพูดนี้ว่าเสี่ยวลี่แค่รวบรวมความกล้าให้ตัวเองเท่านั้น
สองคนนี้ไม่กังวลและไม่รีบร้อน
ไม่กังวลเพราะต่อให้เสี่ยวลี่พลิกแพลงอย่างไรพวกเขาก็มีแผนรับมือ
และเสี่ยวลี่ผู้นี้ไม่มีทางหนีเด็ดขาด
ไม่รีบร้อนเพราะพวกเขามีเวลา
เขาสองคนรออยู่บนสะพานหินมาสองสามชั่วยามแล้ว
ต่อให้เสียเวลาอีกสองสามชั่วยามก็ไม่เป็นไร
แต่ไรมาเรื่องในโลกไม่มีคำว่าพอดี
ทำสิ่งใดล้วนต้องเหลือที่ว่างเอาไว้
ฆ่าคนก็เหมือนกัน
แม้คนตายเป็นเหตุสุดวิสัย
แต่การทำให้คนคนหนึ่งตายกลับเป็นเรื่องที่วางแผนไว้แล้ว
สิ่งที่จำเป็นที่สุดในแผนการคือทางถอยและทางหนี
เสี่ยวลี่พูดจบ ลดไหล่ขวาเล็กน้อย
แม้ครั้งนี้เขาออกสิบเอ็ดดาบ
แต่ทุกดาบล้วนเป็นเพลงดาบขั้นพื้นฐาน
ไม่มีการเติมแต่งให้สวยหรูหรือช่วยเสริมด้วยท่าร่างแต่อย่างใด
เหมือนชาวนาคนหนึ่งกำลังตัดฟืน
เป็นไปตามธรรมชาติ
ทั้งสองรู้ว่าสิบเอ็ดดาบนี้เป็นการรวมเพลงดาบขั้นสุดยอดเข้ากับขั้นฝึกยุทธ์ของเสี่ยวลี่แล้ว
ทว่าต่างกับเพลงดาบที่ซื่อตรงของเสี่ยวลี่…
ดาบของสองคนนี้เหมือนลมใบไม้ผลิปะทะแขนเสื้อ
เหมือนจะเบาหวิวไร้น้ำหนัก
แต่ทำลายทุกโอกาสสังหารจากสิบเอ็ดดาบของเสี่ยวลี่ในยามคับขันได้เสมอ
“เอาอีกหรือไม่”
คนหนึ่งเอ่ยถาม
สิบเอ็ดดาบนี้กินพลังปราณของเสี่ยวลี่เกือบหมด
ตอนนี้เขาชันเข่าบนพื้น หายใจเหนื่อยหอบ
เพียงแต่เขาที่ก้มหน้ากลับมีรอยยิ้มเล็กน้อย
ยามนี้เขาเข้าใจเรื่องหนึ่งแล้ว
“พวกเจ้าไม่อยากฆ่าข้า…พวกเจ้าเป็นใคร คิดจะทำอะไรกันแน่”
เสี่ยวลี่กล่าว
คำพูดนี้กลับทำให้ทั้งสองแปลกใจเล็กน้อย
“ข้านึกว่าเขาโง่เสียอีก!”
“ตอนนี้ดูเหมือนฉลาดอยู่หลายส่วน!”
อีกคนหนึ่งกล่าว
“แต่ความฉลาดนี้สายไปใช่หรือไม่”
คนหนึ่งเอ่ยถามอีก
“อืม…หากเขาสู้ต่อไปก็อาจถูกฆ่าตายได้ ฉะนั้นคิดได้ตอนยังไม่ตายก็ไม่ถือว่าสาย”
อีกคนหนึ่งตอบ
“ดังนั้นที่จริงแล้วความฉลาดนี้ไม่แบ่งช้าเร็ว…มาเร็วไม่สู้มาพอดี!”
คนหนึ่งกล่าว
“แน่นอน เจ้าดูตอนนี้เขาฉลาดมากเลยไม่ใช่หรือ”
อีกคนหนึ่งตอบ
“แต่ถ้าเขาฉลาดเช่นนี้ตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องเหนื่อยเปลืองแรงขนาดนี้แล้ว”
คนหนึ่งกล่าว
“หากไม่ให้เขาเหนื่อยเสียพลังปราณ ใช้ทุกกระบวนท่าเช่นนี้ เขาจะฉลาดขึ้นมาหรือ”
คนหนึ่งตอบ
“เจ้าหมายความว่าพวกเราเค้นความฉลาดของเขาออกมา?”
คนหนึ่งกล่าว
“ถึงพวกเราไม่ได้เค้นออกมาก็เป็นเขาที่เค้นออกมาเอง แต่ถ้าเขายังแกว่งดาบพุ่งกระบี่ได้อีกก็คงไม่มีสติปัญญามาคิดเรื่องเหล่านี้”
คนหนึ่งกล่าว
“ดูเหมือน…เขาประหลาดเสียจริง!”
คนหนึ่งกล่าว
“ไม่ประหลาดๆ…เปลี่ยนเป็นข้ากับเจ้าก็เป็นเช่นนี้ ตอนเสี่ยงชีวิตได้ย่อมต้องเสี่ยงชีวิตก่อน เมื่อทุ่มหมดแล้วอาจเริ่มใช้สมองมาคิดเรื่องราวได้อีกครั้ง”
คนหนึ่งตอบ
“สมองเป็นของดีแท้!”
คนหนึ่งกล่าวถอนใจ
“ใช่แล้ว…น่าเสียดายหลายคนมีแต่ใช้ไม่เป็น หรือต้องบอกว่าชินกับการใช้ร่างกายก่อนค่อยใช้สมอง”
คนหนึ่งกล่าว
แล้วสองคนก็พยักหน้า
เสี่ยวลี่ฟังบทสนทนาของทั้งสอง
ศีรษะลดต่ำลงเรื่อยๆ
“พวกเจ้าต้องการอะไร ลอบสังหารท่านอ๋องหรือ”
เสี่ยวลี่เอ่ยถาม
ข้างหลังเขายังมีผู้ถวายงานวังอ๋องเหมือนเขาอีกสี่คน
รวมถึงคนยกเกี้ยวสิบหกคนที่ผ่านการอบรมลับสุดยอด
ตอนนี้สายตาเขามองไกลขึ้นเล็กน้อย
เห็นยี่สิบคนนี้เป็นที่พึ่ง
หาใช่กระบี่อ่อนตรงเอวของตน
“ทำไมพวกเราต้องฆ่าท่านอ๋อง คนที่รอตั้งแต่แรกก็คือเจ้า!”
ทั้งสองเอียงศีรษะกล่าว
“รอข้า? รอข้าทำไม…”
เสี่ยวลี่ไม่เข้าใจความหมาย
เขานึกว่าสองคนนี้ต้องมาเพื่อลอบสังหารเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาแน่นอน
แม้ตำแหน่งเขาสูงไม่น้อย อำนาจก็มีมาก
เมื่อก่อนก็เคยเป็นชาวยุทธ์
แต่เขาอยู่วังเจิ้นเป่ยอ๋องมานานขนาดนี้
เรียกได้ว่าตีสุนัขก็ต้องดูเจ้าของ
แม้อดีตมีศัตรูคู่แค้นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไร
เวลานานเข้าก็ค่อยๆ จืดจาง
ฆ่าคนคนหนึ่งไม่ได้แล้วยังมาตั้งตารอคอยทุกคืนวัน
นี่ไม่ใช่ความมุ่งมั่น
แต่เป็นการทรมานตัวเอง
สู้เลิกคิดเสียดีกว่า
อย่างน้อยศัตรูตัวฉกาจของเสี่ยวลี่ก็คิดเช่นนี้
ตั้งแต่รู้ว่าเสี่ยวลี่มาฝากตัวกับเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาทั้งตำแหน่งยังพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ศัตรูคู่แค้นผู้นี้ก็ล้มเลิกความคิดฆ่าเขาด้วยเหตุฉะนี้…
เดิมเคยเป็นขี้เมาดื่มสุราห้าชั่งต่อวัน กลับกลายเป็นไม่แตะสักหยดเสียอย่างนั้น
กินข้าววันละสามมื้อตรงเวลา ผักเนื้อได้สัดส่วน
ตอนย่ำค่ำยังต้องหันหน้าหาตะวันตกดินฝึกวิทยายุทธ์เพิ่มอายุขัยวันละหนึ่งชั่วยาม
แม้ไม่มีใครรู้ว่าวิทยายุทธ์นี้ทำให้คนอายุยืนได้หรือไม่
แต่คนที่ใช้ชีวิตเป็นกิจวัตรเช่นนี้ต้องอยู่นานกว่าคนอื่นได้แน่นอน
จุดประสงค์ที่เขาทำเช่นนี้หาใช่เพราะฆ่าเสี่ยวลี่ไม่ได้แล้วกลายเป็นคนเสียสติ
แต่เพราะเขาคิดว่าอยู่ได้นานถึงจะเป็นชัยชนะที่แท้จริง
ต่อให้อยู่นานกว่าเสี่ยวลี่เพียงหนึ่งวัน
ก็ต้องมุ่งมั่นเดินไปถ่มน้ำลายใส่ป้ายวิญญาณหน้าโลงศพเขาให้ได้
บุญคุณความแค้นทั้งหลายดับสูญ
มีเพียงคนอยู่ถึงจะเล่าเรื่องราวให้คนอื่นฟังได้
ส่วนพูดอย่างไร
คนอยู่อยากพูดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น
แม้บิดเบี้ยวที่สุดก็ไม่เป็นไร
เพราะคนในเหตุการณ์อีกคนหนึ่งตายแล้ว
คงกระโดดออกจากโลงมาโต้แย้งไม่ได้หรอกกระมัง
นั่นมันฝืนกฎธรรมชาติไม่ใช่หรือ
“รอข้า? ทำไมต้องรอข้า”
เสี่ยวลี่เอ่ยถาม
ทั้งสองเดินเข้าไปอย่างเชื่องช้า
ใช้แท่งไม้ที่ยกโคมไฟในมือเคาะศีรษะของเสี่ยวลี่คนละที
“เขายังฉลาดไม่พอ…”
คนหนึ่งกล่าว
“ไม่ นี่เป็นการแสดงถึงความฉลาดเกินพอดี”
อีกคนหนึ่งกล่าว
“คนฉลาดยังต้องถามพวกเราว่าเหตุใดต้องมาหาเรื่องเขาและไม่มีใครในเมืองอ๋องมาห้ามด้วยรึ”
คนหนึ่งเอ่ยถามด้วยความฉงน
“เพราะความฉลาดของเขาคือความฉลาดน้อย หาใช่สติปัญญาล้ำเลิศ คนฉลาดน้อยเกินไปมักคิดว่าตัวเองทำทุกอย่างสมบูรณ์แบบ จะไม่หันไปคิดด้านนั้นโดยสิ้นเชิง เดาว่าคนสติปัญญาล้ำเลิศเห็นเราสองคนยืนนิ่งตรงหัวสะพานเช่นนี้คงลงม้าผูกเชือกไปแล้ว”
คนหนึ่งตอบ
อีกคนพยักหน้า
เสี่ยวลี่ยังคงฟังไม่เข้าใจ
แต่มีประโยคหนึ่งได้ยินชัดเจนนัก
นั่นก็คือทำเรื่องเช่นนี้ในเมืองอ๋องแต่ไม่มีใครห้าม
คำสั่งเบิกทางประกาศนานแล้ว
เขาเป็นคนประกาศเองด้วย
ทั้งเมืองเจิ้นเป่ยอ๋อง นอกจากเขาก็มีแค่คนเดียวที่ทำเช่นนี้ได้
นั่นก็คือเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยา
คิดถึงตรงนี้ หลังเขาผุดเหงื่อเย็นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
และประจวบกับยามนี้เอง
ด้านหลังมีเสียงฝีเท้าทอดมา
เสี่ยวลี่ไม่กล้าหันไป
แต่เสียงฝีเท้านี้เขาเคยได้ยินมามากกว่าหนึ่งครั้ง
เพียงแต่เสียงฝีเท้าหนนี้ไม่เอื่อยเฉื่อยเช่นที่เคย
กลับเปลี่ยนเป็นมั่นคงเฉียบขาดยิ่ง
“ท่านอ๋อง…”
เสี่ยวลี่ไม่ได้หันกายและไม่ได้หันหน้า
กล่าวคำหนึ่งเสียงเบา
“เหตุใดถึงทำเช่นนี้เล่า”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเดินมาตรงหน้าเขา ยอบกายลงกล่าว
อยู่ระดับสายตาของเขา
ส่วนเป็นเรื่องอะไร
ทั้งสองต่างรู้ดีแก่ใจ
ไม่ต้องเปิดเผยและไม่จำเป็นต้องเปิดโปง
“กระหม่อมขอตายโดยเร็ว”
เสี่ยวลี่วางดาบ คุกเข่ากล่าวอยู่บนพื้นเป็นนาน
“เหตุใดถึงทำเช่นนี้เล่า”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยายังกล่าวคำเดิมซ้ำอีกรอบ
กระทั่งจังหวะและน้ำเสียงก็ไม่เปลี่ยนแปลง
ไม่ทุกข์ไม่สุข
ไม่มีอารมณ์เคืองโกรธแม้แต่น้อย
เสี่ยวลี่ไม่เอ่ยคำใดอีก
เพียงคุกเข่าอยู่บนพื้น
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาถอนหายใจ
เหลือบมองสะพานหินด้านหลัง
……………………………………………