ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 348 น้อยนักไม่หวาดหวั่น-2
บทที่ 348 น้อยนักไม่หวาดหวั่น-2
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องเดินมาถึงสวนนอกพระตำหนักหลังแล้วจึงหยุดฝีเท้า
เดิมทีแม้จะเป็นในวังอ๋องเขาก็ต้องนั่งเกี้ยว
แต่จู่ๆ วันนี้ก็คิดว่าการเดินก็รู้สึกไม่เลว
ยิ่งใช้แข้งขาก็ยิ่งปราดเปรียวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
แต่เดิมซ่างกวนซวี่เหยาก็เชี่ยวชาญวิชาขา ทว่าเขาไม่ชอบขยับขาอย่างยิ่ง
นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยากมากเช่นกัน
มีเวทีตั้งอยู่ในสวนนอกพระตำหนักหลัง
เขาตัดสินใจแล้วว่าวันนี้กลับมาจะต้องฟังละคร
เรื่องภายนอกก็ปล่อยให้พวกเขาจัดการดูแลไป
มักจะมีผู้ที่ทนไม่ไหวกระโดดพรวดออกมารับหน้าเสมอ
โดยเฉพาะหลังจากที่รู้ว่ากรมสอบสวนกลางเข้ามาแทรกแซงกลับทำให้เขารู้สึกสบายใจมากยิ่งขึ้น
หากเป็นท่านอ๋องผู้อื่นอาจจะมีความข้องใจต่อกรมสอบสวนอยู่บ้าง
อย่างไรเสียผู้ใดเล่าจะยินยอมให้ตะปูดอกนี้ตอกลงอย่างแน่นหนาในอาณาจักรอ๋องของตนเอง
แต่ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องไม่ได้เป็นเช่นนี้
ในทางกลับกันเขาโปรดปรานกรมสอบสวนกลางยิ่งนัก
กระทั่งยังเคยขอให้หลิวจิ่งเฮ่าฉิงจงอ๋องสร้างอาคารหลายแห่งในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง ส่วนเขาจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้เอง
เพราะเขารู้สึกว่าการมีอยู่ของกรมสอบสวนกลางช่วยเขาประหยัดแรงได้มาก
อย่างเช่นเบี้ยหวัดถูกปล้นในครั้งนี้
เป็นไปได้หรือไม่ว่ากรมสอบสวนกลางจะหูไวตาไวมองการณ์ไกลยิ่งกว่าทหารของเขาเสียอีก
ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือส่วนบุคคล กรมสอบสวนล้วนต้องตามสอบสวนจนถึงที่สุด
ครั้นยามที่ตรวจสอบกระจ่างแล้ว ตนค่อยยกทัพไปปิดงานและกล่าวขอบคุณอย่างยิ่งใหญ่!
นี่ไม่ใช่ว่าทุกอย่างราบรื่น ใต้หล้าผาสุกหรอกหรือ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ อารมณ์ความรู้สึกที่เป็นเพราะเสี่ยวลี่ถูกสังหารพลันอันตรธานไปจนสิ้น ผ่อนคลายขึ้นมากทีเดียว
ด้านข้างเวทีละครนั้นมีคนถือโคมไฟขนาบข้างซ้ายขวารออยู่ก่อนแล้วสองคน
“พวกเจ้าตามข้ามาทำไม”
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องเอ่ยถาม
“ปกป้องท่าน”
คนผู้หนึ่งกล่าว
“กลัวท่านตาย”
อีกคนกล่าว
“ข้ามีชีวิตอยู่ดีๆ จะตายได้อย่างไร”
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องกล่าวทั้งโมโหทั้งยิ้ม
สองพี่น้องนี้เป็นยอดฝีมือวิถียุทธ์ที่เขาฝึกฝนลับๆ จริงๆ
แต่นอกจากการฝึกยุทธ์แล้ว พวกเขาก็ไม่เข้าใจทางโลกมากนัก…
ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะพูดคุยกับผู้ใดล้วนขวานผ่าซากตรงไปตรงมาเช่นนี้เสมอ
แม้แต่ซ่างกวนซวี่เหยาผู้เป็นนายของตนก็เช่นกัน
“ก่อนหน้านี้เสี่ยวลี่ก็มีชีวิตอยู่ดีๆ…แต่บทจะตายก็ตายง่ายๆ”
คนผู้หนึ่งกล่าว
“ได้ๆๆ…พวกเจ้าจะต้องคุ้มกันข้าให้ดีละ! หากข้าตายจะเป็นผีมาหลอกหลอนพวกเจ้า!”
ซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
เขาไม่ต้องการโต้แย้งกับสองพี่น้องนี่อีก
แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าผู้คนรอบกายราวกับขอนไม้แข็งทื่อ…
น่าเบื่อหน่ายสิ้นดี ไม่รู้จักปรับตัวก็ยิ่งไร้ความน่าสนใจ
ตอนที่เสี่ยวลี่ยังอยู่ยังปรับเปลี่ยนได้บ้าง
แต่ตอนนี้เขาก็ตายไปแล้ว
ผู้ที่เข้ามาแทนที่เขากลับเป็นซุนเต๋ออวี่ซึ่งไม่ได้ดีเด่ไปกว่าสองพี่น้องนี้เท่าไรนัก
วังอ๋องแห่งนี้กำลังจะกลายเป็นสระน้ำนิ่งต่อหน้าต่อตา
แต่กลับทำให้ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างยิ่ง
ทว่าความกังวลใจของทั้งสองคนนี้ก็ไม่ได้ไร้เหตุผล
เมื่อนักแสดงบนเวทีเริ่มร้องเพลง ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องดื่มชาพลางฟังอย่างเพลิดเพลิน
ถ้วยชาในมือเขาถูกลูกแก้วกระแทกแตกกะทันหัน
ลูกแก้วนี้กำหนดจังหวะโจมตีไว้อย่างแม่นยำ เมื่อริมฝีปากซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องแนบกับขอบถ้วย เมื่อนั้นถ้วยชาก็จะแตกเป็นเสี่ยงๆ
คิดไม่ถึงว่าซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องจะยกขึ้นมาแล้วหยุดชะงัก
ในยามนี้เมื่อลูกแก้วถูกดีดออกไปแล้วก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อีก
แต่สิ่งที่แปลกคือดูเหมือนซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องจะแสร้งตอบสนองความต้องการของอีกฝ่าย
หลังจากหยุดชะงักชั่วคราวจึงรีบยกถ้วยชาในมือขึ้นอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกันเขาก็หันศีรษะไปด้านข้างเล็กน้อย
น้ำชาจะได้ไม่สาดกระเซ็นไปทั่วศีรษะและใบหน้าของเขาหลังถ้วยชาแตกกระจาย
หลังจากลูกแก้วกระทบจนถ้วยชาแตก แรงของมันก็ยังไม่ลดลง
ดีดกระเด็นไปทางเสาประตูด้านหลังต่อ
ส่วนล่างหุ้มด้วยทองแดง
ลูกแก้วทะลุชั้นทองแดง ทะลวงจนส่วนล่างของเสาประตูเป็นรูกว้างเท่าปากชาม
“จุ๊ๆๆ…ร้ายกาจจริงๆ!”
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องมองรูขนาดใหญ่แล้วกล่าว
สองพี่น้องวิ่งตามร่องรอยที่ลูกแก้วลอยมา
พริบตาเดียวก็หายวับไปท่ามกลางภูเขาเทียมที่อยู่ด้านหลังเวทีละคร
“ล่อเสือออกจากถ้ำ! ฉลาดมาก!”
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องกล่าว
ทั้งยังปรบมืออีกต่างหาก
พร้อมกับเสียงปรบมือก็มีคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากอีกด้านของเวทีละคร
“เพียงแต่ว่าข้างกายข้าหาได้มีเสือเพียงตัวเดียวไม่”
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องมองคนผู้นั้นแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ทันใดนั้นมีร่างหนึ่งโผล่ขึ้นมาทางด้านหลังเขา
เป็นสตรีผู้หนึ่ง
ร่างเพรียวเอวบาง คล้ายงูน้ำก็ไม่ปาน
ในมือถือแส้ยาว
เวลาเพียงชั่วครู่ทำให้ผู้คนแยกไม่ออกว่าหญิงสาวผู้นี้เหมือนงูหรือว่าแส้ยาวเหมือนงูยิ่งกว่ากัน
ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นในพริบตา
แส้ยาวในมือหญิงสาวฟาดไปยังลำคอของคนผู้นั้น
ทว่ามือสังหารผู้นี้ดูคุ้นเคยกับผู้คุ้มกันข้างกายของซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องเป็นอย่างดี
ครั้นเห็นเงาแส้ประกายวาบ
จึงยกคมดาบวางขวางตรงหน้าตนทันที
ด้วยวิธีเช่นนี้ หากแส้ยาวของหญิงสาวผู้นี้ม้วนไปทางลำคอของเขา ย่อมถูกคมดาบฟันครึ่งเป็นแน่
กลยุทธ์รอซ้ำยามเปลี้ย มีแต่จะทำให้สตรีผู้นี้โยนตนเองเข้ากับดัก
แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือแส้ยาวในมือสตรีผู้นี้ไม่ใช่แส้หนัง
แต่เป็นแส้เหล็กที่ทำจากลวดเหล็กอ่อน
พันอยู่บนคมดาบของเขา
ไม่เพียงแต่ไม่ถูกฟันขาด
กลับหุ้มเขาไว้ทั้งตัวด้วยซ้ำ
สตรีผู้นี้รวบรวมแรงและดึงกระชาก
ทำเอาคนผู้นั้นเหาะเข้ามาราวกับว่าวก็ไม่ปาน
“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าผู้ใดเป็นเสือหรือ”
สตรีผู้นี้เห็นมือจึงเหล่มองซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องและเอ่ย
“ข้าเองๆ…”
ซ่างกวนซวี่เหยาหัวเราะตามและเอ่ย
หัวเราะด้วยความร้อนรนเล็กน้อยและกระแอมไอไปสองที
ต่อให้สตรีผู้นี้จะแกร่งเพียงใด แต่ก็ไม่ยอมให้ผู้อื่นเรียกว่าเสือ
เจ้าสามารถพูดว่าเอวสตรีผู้นี้เหมือนงูน้ำ อุปนิสัยเฉกเช่นลูกแมว
นอกจากเสือแล้ว เจ้าสามารถใช้สัตว์ใดก็ได้มาอธิบายสตรีผู้หนึ่ง
แต่จะต้องไม่ใช่เสือ
เพราะแม่เสือไม่ใช่คำที่ดีมาตั้งแต่สมัยโบราณ
แม้ไม่นับว่าเป็นคำด่า แต่ก็มักทำให้สตรีรู้สึกไม่สบายใจเสมอ
เดิมทีนิสัยร่วมกันของสตรีน่าจะเป็นเจ้าพูดสิ่งใด ข้ามักจะทำสิ่งที่ตรงกันข้าม
ความบ้าระห่ำของบุรุษมีเพียงช่วงหนุ่มสาวเท่านั้น
การต่อต้านของสตรีเป็นเรื่องชั่วชีวิต
อย่างไรเสียความปากไม่ตรงกับใจ ความไม่แน่นอนนี้จึงจะเป็นจิตวิญญาณสำคัญของพวกนาง
แต่มีเพียงแม่เสือคำนี้เท่านั้นที่ต่างออกไปมาก…
หากเจ้าบอกว่าสตรีเป็นแม่เสือ เช่นนั้นนางไม่สนว่าจะใช่หรือไม่แต่ในไม่ช้าก็จะกลายเป็นเสือกินคนอย่างแน่นอน
ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามและจะกลายเป็นลูกแมวเชื่องตัวหนึ่ง
ท่าทีที่สตรีผู้นี้มีต่อซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องในตอนนี้ก็อธิบายทุกสิ่งไปแล้วไม่ใช่หรือ
ทว่ากล่าวประโยคนี้จบ สีหน้าของสตรีผู้นี้พลันแปรเปลี่ยน
เพราะแรงจากแส้ยาวในมือนางเบาจนเกินไป
เดิมก็ไม่ใช่น้ำหนักของคนผู้หนึ่งด้วยซ้ำ!
ครั้นลากมาถึงตรงหน้ากลับเห็นเพียงอาภรณ์ชิ้นเดียวและดาบเหล็กด้ามหนึ่งเท่านั้น
“จักจั่นลอกคราบ[1]!”
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องมองอาภรณ์ที่ร่วงลงพื้นแล้วกล่าว
“เจ้ามีคำพูดมากมายเชียวหรือ”
สตรีผู้นี้กล่าวด้วยความโกรธจัด
“หาได้มีคำมากมาย แต่มันเป็นเรื่องจริงนี่!”
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องโบกมือแล้วกล่าวอย่างไร้ทางเลี่ยง
จากนั้นหมุนกาย บอกให้นักแสดงที่รวมเป็นกลุ่มบนเวทีเพราะความกลัวร้องเพลงต่อไป
“ชีวิตจะสิ้นอยู่แล้วยังมีแก่ใจฟังละครอีกหรือ”
“เจ้าว่า…ผู้ที่ถูกสังหารกับผู้ที่จะสังหาร ผู้ใดจะร้อนใจยิ่งกว่ากัน”
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องเปลี่ยนถ้วยชา จิบชาแล้วกล่าว
“ไม่รู้ ต่างก็ร้อนใจกระมัง”
สตรีผู้นี้คิดอย่างรอบคอบและเอ่ย
“ผิด! แน่นอนว่าผู้ที่จะสังหารร้อนใจยิ่งกว่า! แต่สังหารแล้วไม่ตายจะร้อนใจที่สุด!”
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องตบโต๊ะและกล่าว
“เพราะเหตุใด”
สตรีผู้นี้เอียงศีรษะและเอ่ยถาม
“เพราะข้ารู้อยู่แล้วว่ามีคนจ้องสังหารข้า เหตุใดต้องร้อนรนใจด้วยเล่า แต่พวกเขาต้องรีบร้อนเตรียมการวางแผน เล็งทุกอย่างให้แม่นยำ หากโจมตีล้มเหลวก็ยังมีแผนสำรองอยู่ ครั้งที่สองไม่สำเร็จก็ยังต้องเตรียมพร้อมครั้งที่สามครั้งที่สี่ เจ้าว่าผู้ใดร้อนใจยิ่งกว่าเล่า”
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องกล่าว
“จริงอยู่ที่สมเหตุสมผล…แต่เจ้าไม่คิดจะตอบโต้กลับบ้างหรือ”
สตรีผู้นี้เอ่ยถาม
“การโต้กลับของข้ามีเพียงใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว เปิดประตูกว้างให้สว่างไสวแล้วรอก็พอแล้ว”
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องกล่าว
“ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวก็ต้องสืบหาเบื้องหลังอีกฝ่ายให้กระจ่างด้วยสิ!”
สตรีผู้นี้เอ่ยถามต่อพลางขมวดคิ้ว
“เรื่องเหล่านั้น…คิดไปก็เปลืองสมองเปล่าๆ หากสืบหาก็จะโกลาหลไปทั่วเมือง ในเมื่อพวกเขามุ่งเป้ามาที่ข้าเพียงคนเดียว เช่นนั้นข้าก็รออย่างอดทนก็พอแล้วไม่ใช่หรือ”
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องกล่าว
“เจ้าไม่กลัวว่าตนเองจะตายจริงๆ หรือ”
สตรีผู้นี้ถามพลางแย้มยิ้ม
“กลัว…แต่ยามวัยเยาว์ครอบครัวของข้าเคยทำนายดวงให้ข้า บอกว่าข้าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างน้อยแปดสิบแปดปี”
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องกล่าว
“ดูไม่ออกว่าเจ้างมงายเพียงนี้…”
สตรีผู้นี้เม้มริมฝีปากแล้วเอ่ย
“ข้าไม่ได้งมงาย กล่าวอีกนัยหนึ่ง ข้าเพียงเชื่อในสิ่งที่ข้าต้องการจะเชื่อเท่านั้น”
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องก็หัวเราะเช่นกัน
ทั้งยังหยิบจดหมายหนึ่งฉบับออกมาจากปกเสื้อ
“ช่วยข้านำจดหมายฉบับนี้มอบให้ซุนเต๋ออวี่”
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องกล่าว
จดหมายฉบับนี้เขาเขียนระหว่างนั่งเกี้ยวเดินทางกลับวังอ๋องหลังจากที่เสี่ยวลี่เสียชีวิต
หากไม่ใช่การลอบสังหารเมื่อครู่ จดหมายฉบับนี้ก็คงไร้ประโยชน์
แต่ตอนนี้มันเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่ระบุไว้ในจดหมายฉบับนี้จึงสำคัญขึ้นมา
ทว่าวิธีการเขียนจดหมายนี้ก็เป็นวิธียอดเยี่ยมที่ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องคิดค้นขึ้นเพื่อสื่อสารกับซุนเต๋ออวี่
แม้ว่าการเขียนอักษรจะยุ่งยากกว่าการเอ่ยวาจามากก็ตาม…
แต่สำหรับคนเช่นซุนเต๋ออวี่แล้วนั้น นี่เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด
“เจ้าไม่กลัวว่าข้าจากไปแล้วคนผู้นั้นจะกลับมาอีกหรือ”
สตรีผู้นี้เอ่ยถามหลังจากรับจดหมาย
“อย่างน้อยเขาก็ต้องหาอาภรณ์ใหม่สักผืนจึงจะมาได้ ช้ากว่าการส่งจดหมายของเจ้าแน่นอน”
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องกล่าว
กล่าวจบก็ยังชมการแสดงต่ออย่างใจจดใจจ่อ
จะว่าไปแล้วก็แปลกนัก
เขาไม่ชอบให้ซุนเต๋ออวี่เอ่ยประโยคเดิมซ้ำๆ หลายหน ทว่าชอบฟังนักแสดงที่ใช้เวลานานถึงหนึ่งถ้วยชากว่าจะร้องออกมาหนึ่งประโยค
ดูเหมือนสิ่งที่เขาไม่ชอบมีเพียงการกระทำซ้ำๆ
ตราบใดที่คำถัดไปเป็นคำใหม่ๆ
ต่อให้จะมาสายเพียงใด
ท่านอ๋องที่ทำตัวไร้วินัยผู้นี้กลับมีความอดทนที่จะเฝ้ารอเช่นกัน
………………………………………….