ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 360 บางเรื่องหลายถ้อยคำ-2
บทที่ 360 บางเรื่องหลายถ้อยคำ-2
เดิมทีอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องถือเป็นอาณาจักรที่มีตัวตนต่ำที่สุดในบรรดาอาณาจักรห้าอ๋องในใต้หล้า
แต่ครั้งนี้หลังจากถูกผู้นำหน่วยแห่งราชสำนักทุ่งหญ้าปล้นเบี้ยหวัดไป ก็สร้างความเดือดร้อนไปทุกทิศทุกทาง
ผู้จุดตะเกียงเหมันต์ปรากฏตัวในงานเลี้ยงวันเกิดของจิ้นเผิงก่อน
ตามด้วย คนจากสำนักปากสอบมาถึงอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องอีก
แม้ว่าสองเหตุการณ์นี้ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับการปล้นเบี้ยหวัด
แต่ความจริงแล้ว คล้ายมีเส้นบางๆ ที่มองไม่เห็นอยู่เบื้องหลังร้อยเรียงมันเข้าด้วยกันทั้งหมด
“เจ้ารู้จักสำนักปากสอบดีหรือไม่”
เยว่ตี๋เอ่ยถาม
“เคยได้ยินมาบ้าง”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ได้ยินมาบ้างก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องสำนักปากสอบมากมายนัก”
เยว่ตี๋กล่าว
“เช่นนั้นเหตุใดกองบัญชาการจึงส่งรายงานทางทหารมาเช่นนี้ หรือคนจากสำนักปากสอบจะมีอิทธิพลต่อเราเล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“น่าจะเป็นเพียงคำเตือนให้เจ้าดำเนินการอย่างระมัดระวัง อย่างไรเสียสำนักปากสอบเป็นตัวตนที่สามารถทำให้ฉิงจงอ๋องของเราน่าสังเวชได้”
เยว่ตี๋กล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งจำได้ลางๆ ว่าดูเหมือนบัณฑิตจางจะเกี่ยวข้องกับสำนักปากสอบอยู่บ้าง
แต่จะนึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่ารายละเอียดเป็นอย่างไร
และไม่รู้ว่าตาเฒ่าประหลาดนี่ยังเฝ้าศิษย์อยู่ที่หอทรงปัญญาหรือว่ากลับเมืองติ้งซีอ๋องไปแล้ว
หรือจะอยู่ร่วมกันกับอิ๋นซิงและโบยบินโลดแล่นท่องโลกไปแล้ว
“คนจากสำนักปากสอบมีลักษณะอย่างไร หรือมีเอกลักษณ์อย่างไรกัน”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
แม้บัณฑิตจางจะเกี่ยวข้องบางอย่างกับสำนักปากสอบ แต่เขาก็จำได้ไม่ชัดเจน
แต่เขาจำได้ว่ายามที่พบกับบัณฑิตจางครั้งแรก เขากำลังพูดคุยอยู่ในโรงเตี๊ยมพูนโชคเมืองจี๋อิง
นั่นก็คือผู้คนในทุกสถานที่ล้วนมีเอกลักษณ์บางอย่างทั้งสิ้น
อาศัยเอกลักษณ์เหล่านี้ก็จะสามารถระบุภูมิหลังและตัวตนของคนผู้หนึ่งได้พอประมาณ
“คนของสำนักปากสอบ…”
เยว่ตี๋กล่าวอึกอัก
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก
ในใจพลันคิดว่ามีเรื่องลับที่ต้องปิดบังหรือไม่
“บรรยายถึงชาวสำนักปากสอบยากมากหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ใช่…เพราะข้าก็ไม่เคยพบเจอว่าคนจากสำนักปากสอบเป็นเช่นไร โอกาสที่พวกเขาท่องโลกน้อยยิ่งกว่าผู้จุดตะเกียงเหมันต์ปรากฏตัวในโลกนี้ด้วยซ้ำและทุกครั้งที่โผล่มาต้องมีเรื่องสำคัญเกิดขึ้นแน่ๆ เสร็จภารกิจแล้วจะไม่รอช้า รีบกลับทันที”
เยว่ตี๋กล่าว
“แต่คนจากสำนักปากสอบก็เป็นมนุษย์เช่นกัน ก็ยังต้องใช้ชีวิตทั่วไปกระมัง…ตราบใดที่กินข้าวนอนหลับ เช่นนั้นย่อมมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนอย่างเลี่ยงไม่ได้ แล้วจะยังคงความลึกลับไว้ได้ตลอดหรือ อีกอย่าง รายงานทางทหารเขียนเอาไว้ชัดเจน! ทันทีที่ผู้สืบข่าวโผล่หน้ามาก็ถูกอาคารกรมสอบสวนเราพบร่องรอยเข้าแล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เขารู้สึกว่าเยว่ตี๋ค่อนข้างกล่าวเกินจริงไปหน่อย
“เพราะคนจากสำนักปากสอบต้องการให้พวกเราพบเข้าต่างหาก อาคารกรมสอบสวนกลางรวมถึงผู้แทนการตรวจสอบพิเศษทั่วทุกมุมในใต้หล้า พวกเราสามารถใช้อาคารและกำลังคนเหล่านี้เพื่อรวบรวมข้อมูลฉันใด คนจากสำนักปากสอบก็สามารถใช้ทรัพยากรเหล่านี้ในทางกลับกันได้ฉันนั้น”
เยว่ตี๋กล่าว
“ใช้ในทางกลับกันหรือ สำนักปากสอบยังสามารถสั่งกรมสอบสวนกลางของเราได้ด้วยหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“แต่ไหนแต่ไรพวกเรากับสำนักปากสอบล้วนต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างทำภารกิจตน พวกเขาทำเช่นนี้เพื่อบอกเราว่าคนจากสำนักปากสอบเข้ามาในโลกแล้ว เจ้าเข้าใจเพียงว่าเป็นวิธีทักทายอย่างหนึ่งแล้วกัน”
เยว่ตี๋กล่าว
“วิธีเช่นนี้แปลกมากจริงๆ…”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ส่วนสิ่งต่างๆ เหล่านั้นที่เจ้ากล่าวมาก่อนหน้านี้ ว่ากันว่าคนจากสำนักปากสอบเชี่ยวชาญวิชาลับ ในใจสามารถรองรับทุกสิ่งได้ เขาพระสุเมรุยังสามารถรองรับเมล็ดเจี้ย (เมล็ดมัสตาร์ด) ได้”
เยว่ตี๋กล่าว
“สามารถบรรจุคนเป็นเข้าไปได้ด้วยหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ข้าก็แค่ได้ยินมา…ที่รู้มาก็หาได้เป็นความจริง ข้าหมายความว่าหากพวกเขาต้องการก็สามารถลบเลือนร่องรอยใดๆ ในโลกมนุษย์ได้ทั้งสิ้น”
เยว่ตี๋กล่าว
“สำนักปากสอบอยู่แห่งหนใดกันแน่”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“หากพวกเขาเชี่ยวชาญวิชาลับประเภทนั้นจริงๆ บางทีสำนักปากสอบอาจจะอยู่ในกระเป๋าหรือสัมภาระเดินทางของใครสักคนก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้ถือเอาข่าวลือนี้เป็นจริงเป็นจัง
เพียงแค่คุยเรื่องสำนักปากสอบไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น
แต่ไม่ว่าอย่างไรหลิวรุ่ยอิ่งและเยว่ตี๋ก็คาดไม่ถึง
คนจากสำนักปากสอบกำลังนั่งอยู่ในห้องเดียวกับจิ้งเหยาและพรรคพวกในยามนี้
กระทั่งยังต้องการนำตัวไปตรวจสอบอีกด้วย
“ว่ามาเช่นนี้แล้ว คนจากสำนักปากสอบก็เป็นจอมยุทธ์เลยไม่ใช่หรือ ปกปิดซ่อนเร้นจนมิดเช่นนี้ ทั้งทำภารกิจเข้มงวดกวดขันช่างหาได้ยากจริงๆ…”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวค่อนแขวะ
ครอบครองวิชากระบี่โดดเด่น กระบี่เดียวขจัดความเคืองแค้น
สุสานวีรบุรุษเมาสุราขาวไม่กี่กา ฝังความหยิ่งทะนงของคนหนุ่มสาว
หลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่รู้ว่าสิ่งใดคือจอมยุทธ์
ทว่าคำพูดในตำนานเหล่านั้นกล่าวไว้ว่า เสียงหัวเราะมักมาพร้อมความเซื่องซึม จากไปพร้อมความเหงาหงอย
ไม่สบายและเป็นอิสระแม้แต่น้อย
แต่โบราณมาโลกมนุษย์นี้เต็มไปด้วยความอ่อนไหวและโศกเศร้า ไร้ศัตรูแต่มีความแค้น
ในสายตาของหลิวรุ่ยอิ่ง จอมยุทธ์ย่อมเต็มไปด้วยความเลือดร้อนดั่งไฟแผดเผา แต่ก็มีความอ่อนโยนนับหมื่นที่ผู้อื่นไม่รู้
โอบอุ้มอาทิตย์อัสดงและแสงตะวันลับฟ้าไว้ในอ้อมแขน
เพียงลงมือ นภาพลันสดใส
เมามายยามอาทิตย์อัสดง หลับใหลพร้อมกับจันทร์เจ้า
ยามดวงดาวพร่างพราว กาลเวลาล่วงเลยเร็วนัก ราวกับม้าขาวลอดช่องว่าง[1]เพื่อบรรเทาโลกมนุษย์ที่ผันผวน
ในที่นี้สิ่งใดที่ถูกผิด สิ่งใดที่ใสขุ่น มีเพียงจิตใจมนุษย์ที่แยกแยะได้
หลิวรุ่ยอิ่งก็อยากเป็นจอมยุทธ์เช่นกัน
ลองถามคนหนุ่มสาวในใต้หล้าจะมีสักกี่คนที่ไม่เต็มใจจับกระบี่ท่องยุทธภพ
แยกแยะบุญคุณความแค้นชัดเจน ครองกระบี่ในมือเป็นความมั่นใจและเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขา
ทว่าหัวใจก็เหมือนกระบี่ในมือ เที่ยงตรง ไม่เอนเอียงตามคำเยินยอ ยิ่งไม่ค้อมกายก้มหัว
พบเจอเรื่องที่ไม่เป็นใจก็จะใช้กระบี่ในมือขจัดความยุ่งยากจนสิ้น แล้วจากไปอย่างไร้สุ้มเสียงและปิดบังตัวตน
สายลมสุราสหายร่วมเคียง
ฟังเสียงดาบกระบี่ร่วมปะทะ
ไม่เคยคร่ำครวญเพราะเวลาน้อยยิ่งนัก และไม่แค้นเคืองเพราะตะวันจันทราคงอยู่ยาวนาน
ยังมีจอมยุทธ์อยู่หรือไม่ ไม่มีผู้ใดบอกได้
แต่ความกล้าแกร่งอาจหาญนี้ดั่งแม่น้ำไหลรินสายหนึ่ง
มันไหลผ่านความเจริญรุ่งเรืองและความราบเรียบนับไม่ถ้วน
แม้ตลอดทางจะไม่เคยพบเจอสายน้ำอื่น แต่ความตื้นลึกระหว่างทางกลับทำให้มันยิ่งหนาขึ้น กว้างขึ้น และลึกขึ้น
เมฆควันพวยพุ่งสู่ท้องนภา ใบไม้ร่วงคืนสู่รากความรู้สึกไม่แปรเปลี่ยน
ชักกระบี่อาทิตย์แจ่มใส โศกเศร้าปีติอยู่ในจันทร์กระจ่างทั้งสิ้น
ต่อให้ความทุกข์ยากของชีวิตในโลกมนุษย์จะเร่งให้ผมหงอกขาว ก็อย่าได้สุขกับสิ่งภายนอกและอย่าได้เศร้าเสียใจกับตนเอง
เฉกเช่นเดียวกับกระบี่ด้ามนี้ที่ไม่เคยห่างมือ
หัวของจอมยุทธ์จะหงอก โลหิตจะหลั่งริน แต่จะไม่มีวันลืมเลือนความตั้งใจเดิมเด็ดขาด
หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินคำว่าจอมยุทธ์ครั้งแรกจากชายชราเลี้ยงม้า
ตอนนั้นไม่รู้ว่าพูดสิ่งใดออกไป ชายชราเลี้ยงม้าจึงชี้จมูกของตนแล้วกล่าวว่า
“จอมยุทธ์หรือ ข้านี่ไง!”
แน่นอนว่าหลิวรุ่ยอิ่งหัวเราะดังลั่นทั้งยังเยาะเย้ย
ยุทธภพย้อมไปด้วยโลหิต จอมยุทธ์ผู้กล้าตำนานชั่วนิรันดร์
ผู้ถือกระบี่ควบม้าไล่ตามตะวันจันทราและไล่ตามกาลเวลา
ไหนเลยจะหน้าตามอมแมมเหมือนชายชราเลี้ยงม้า
แต่ชายชราเลี้ยงม้าบอกกับหลิวรุ่ยอิ่ง
จอมยุทธ์ไม่เพียงต่อสู้กับความไม่ยุติธรรมในยุทธภพเท่านั้น
หากเช่นนั้นนับเป็นจอมยุทธ์ อันธพาลบนท้องถนนจะมีมากจนนับไม่หวาดไม่ไหว
ตราบใดที่คนผู้หนึ่งสามารถเสียสละเปิดใจกว้างได้
ยามหัวเราะพูดคุยแสวงหาจุดยืนร่วม สงวนจุดเห็นต่าง
ผู้ร่วมทางเดียวกันย่อมมีอุดมการณ์เดียวกัน ผู้ไม่เห็นด้วยย่อมแตกคอกัน
เมื่อเรื่องต่างๆ มาเยือนอย่าได้ตื่นกลัว เสร็จเรื่องแล้วจิตใจจะสะอาดผ่องใส
ก็นับว่าเป็นจอมยุทธ์
ครั้นเยว่ตี๋ได้ยินหลิวรุ่ยอิ่งแสดงความเห็นเช่นนี้จึงหัวเราะและไม่ได้เอ่ยสิ่งใด
ในสายตาของนาง หลิวรุ่ยอิ่งก็ยังเป็นเด็กคนหนึ่ง
โดยเฉพาะเด็กผู้ชายต่างก็มีความฝันเป็นจอมยุทธ์แห่งยุทธภพ
แม้จะสวมใส่เครื่องแบบนายกองแห่งกรมสอบสวนแล้วก็หาได้มีข้อยกเว้น
แต่การมีความฝันก็เป็นสิ่งที่ดี
อย่างน้อยก็สามารถทำให้มีความหวังในการใช้ชีวิตบ้าง
“คืนนี้ท่านก็พักที่นี่หรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“หรือเจ้าจะให้ข้านอนที่คอกม้า หรือจะนอนในร้านโลงศพด้านหลังเล่า”
เยว่ตี๋ปรายตามองแล้วย้อนถาม
หลิวรุ่ยอิ่งเกาศีรษะอย่างกระอักกระอ่วนและเตรียมจะปลุกเถ้าแก่เนี้ยให้ตื่น
………………………………………………………………..
[1] ม้าขาวลอดช่องว่าง หมายถึง ควบม้าผ่านช่องแคบด้วยความเร็ว เพียงพริบตาก็ผ่านออกไป เปรียบเปรยว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว