ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 399 กุหลาบพันปีสีเลือดกลางฝนเย็น-8
บทที่ 399 กุหลาบพันปีสีเลือดกลางฝนเย็น-8
……….
เป็นเช่นนี้ก็นับว่ามีชีวิตอยู่อย่างสะดวกและสบายใจยิ่ง
และยังทำให้ตนเองมีแต่ความสุขใจและผ่อนคลาย
นั่นเพราะเมื่อผลักทั้งเรื่องดีร้ายออกไปพ้นตัวแล้ว ตนเองก็ไม่ต้องสำนึกผิด ไม่ต้องทบทวนตนเองและไม่ต้องปรับปรุง
แต่เมื่อเป็นเช่นนี้นานวันเข้าก็มีแต่ย่ำอยู่กับที่หรือไม่ก็ตกต่ำลงกว่าเดิม….
คนประหลาดที่เอาเต้าหู้วางไว้บนบะหมี่ไม่ได้เป็นดังที่ว่า
เพราะเวลานี้เขากลายเป็นบรรทัดฐานและแบบอย่าง
กลายเป็นเป้าหมายที่ทำให้ผู้คนหลับหูหลับตาเดินและทำตาม
เถ้าแก่ร้านเต้าหู้ไม่รู้ว่าเหตุใดคนที่อยู่ในร้านบะหมี่ข้างๆ จึงพากันวิ่งออกมา และมาร้องเรียกว่าจะซื้อเต้าหู้ที่หน้าร้านของเขา
แต่เต้าหู้ของเขาไม่ได้มีมากมายเพียงนั้น…
หลังจากขายให้ห้าหกคนแล้วก็หมดเกลี้ยง
แต่ก็ยังไม่สามารถทานต่อเสียงเอะอะของลูกค้าได้ ทำได้เพียงยกประตูร้านมาปิดแล้วบอกพวกเขาว่าพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่
คนที่ซื้อเต้าหู้ได้ย่อมกลับไปร้านบะหมี่อย่างดีอกดีใจ แล้วเอาอย่างคนประหลาดด้วยการวางเต้าหู้ไว้ในชาม และคลุกกับน้ำปรุงพริกและน้ำส้มสายชู
เป็นจริงดังคาด กลิ่นหอมเข้มข้น!
กลิ่นหอมของข้าวสาลีผสมกับกลิ่นหอมของถั่ว ยิ่งเมื่อเสริมด้วยน้ำปรุงพริกและน้ำส้มสายชู ยามซดน้ำบะหมี่เข้าไปคำหนึ่งช่างเข้มข้นยิ่งนัก
รู้สึกเพียงว่าความสบายมีเรี่ยวแรงนี้วนเวียนอยู่ในร่างกาย ก่อนแผ่กระจายไปยังทุกรูขุมขนทั่วร่าง
ผ่านไปไม่นาน ทุกคนก็พบว่าทั้งสองร้านนี้รวมกันเป็นร้านเดียว
และเปลี่ยนป้ายใหม่ว่า ‘บะหมี่เต้าหู้’!
ซึ่งเหล่าหลี่เจ้าของแผงผู้นี้ก็คือศิษย์ร้านบะหมี่เต้าหู้นั่นเอง
แต่เขากลับออกไปจากเมืองติ้งซีอ๋อง
เพราะเขาต้องการหาที่ที่มีน้ำดีกว่านี้มาใช้นวดแป้งและโม่เต้าหู้
เจ้าหมิงหมิงนึกไม่ถึงเลยว่าบะหมี่เต้าหู้ที่แสนธรรมดาชามหนึ่งกลับเกิดขึ้นเพราะความบังเอิญเพียงครั้งเดียว
อดคิดไม่ได้ว่าแดนมนุษย์นี้ช่างมีสีสันและเรื่องประหลาดใจไม่น้อย
……………………
“น้ำที่นี่ดีจริงดังว่า แต่จะเทียบเท่าเมืองเม่าฉายได้อย่างไร”
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราเอ่ยขณะเดินเข้ามา
“เมืองเม่าฉาย? อยู่ที่ใดหรือ”
เจ้าหมิงหมิงถาม
“เดินจากที่นี่ไปทางตะวันตกยี่สิบลี้ก็ถึงแล้ว เป็นเส้นทางที่ไปเมืองติ้งซีอ๋อง”
ชายฉกรรจ์กล่าว
“เหตุใดทุกคนชอบเข้ามาสนทนากับข้านักนะ”
เจ้าหมิงหมิงส่งกระแสเสียงไปถามเกาลัดคั่วน้ำตาล
“อาจเป็นเพราะเห็นว่าคุณหนูงดงาม ทั้งรู้สึกว่าคุณหนูทึ่มมีเงินมากมายเจ้าค่ะ!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลตอบทั้งรอยยิ้ม
“เจ้าสิทึ่ม!”
เจ้าหมิงหมิงไม่พอใจ
นางจึงพูดโพล่งใส่คนผู้นั้นเสียเลย
ให้พวกคนที่คิดว่านางทึ่มเห็นว่าใครกันแน่ที่แกล้งทึ่มและใครที่ทึ่มจริงๆ
“คุณหนูสองท่านคงออกจากเรือนมาได้ไม่นานกระมัง”
“ครั้งนี้เพิ่งออกมาไม่นานจริงดังว่า แต่คุณหนูข้าชอบท่องเที่ยวเป็นที่สุด ออกเดินทางทุกสองสามเดือน”
เกาลัดคั่วน้ำตาลบอก
เพราะไม่ต้องการให้คนผู้นี้มองพวกนางทะลุปรุโปร่ง
“เช่นนั้นก็ต้องคุ้นเคยกับเมืองเม่าฉายเป็นอย่างยิ่ง?”
ชายฉกรรจ์ถามต่อ
“นับไม่ได้ว่าคุ้นเคย แค่เคยผ่านทางไปหลายครั้งเท่านั้น”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยเรียบๆ
นี่เป็นครั้งแรกที่นางพูดโกหก
แต่ในใจกลับไม่มีความตื่นเต้นเลย
บางคนโกหกเก่งมาแต่กำเนิด แต่บางคนกลับโกหกไม่ได้ตลอดชีวิต
เรื่องนี้ก็นับว่าเป็นชะตา
เจ้าหมิงหมิงสามารถเผชิญหน้ากับทุกสิ่งอย่างตรงไปตรงมายิ่ง
แต่เมื่อใดที่นางอยากปิดบัง ไม่ว่าผู้ใดก็จับพิรุธไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น นางมีหน้าตางดงามนัก
คนงามมักมีคนเข้าข้าง
หากคนที่หน้าตาอัปลักษณ์พูดเช่นนี้
คนโดยมากจะรู้สึกว่าเขากำลังคุยโวอยู่
แต่เมื่อเจ้าหมิงหมิงเป็นคนพูดออกมา ทุกคนได้ฟังพร้อมกับมองใบหน้างามดั่งเทพธิดาลงมาจุติ ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็กลับไม่รู้สึกสงสัย
จึงพากันคิดจริงๆ ว่านางเคยเดินทางไปเมืองเม่าฉายมาแล้วหลายครั้ง
“ในเมืองเม่าฉายมีเหลาสุราร้านหนึ่ง อาหารที่นั่นเรียกได้ว่าไม่เป็นสองรองใครในระยะสามร้อยลี้จากเมืองติ้งซีอ๋อง คิดว่าคุณหนูก็คงเคยทานมาก่อนแล้วกระมัง!”
“ต้องเคยกินมาก่อนแล้วเป็นแน่ เพียงแต่เคยไปมาหลายที่เกินไป เดินทางมาไกลเกินไป เรื่องที่เคยพบเจอก็มามากมาย จึงจำไม่ค่อยได้แล้ว”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“เช่นนั้นไม่ทราบว่าคุณหนูจะไปเที่ยวที่เดิมซ้ำอีกครั้งหรือไม่ขอรับ”
ชายฉกรรจ์ถาม
เจ้าหมิงหมิงยิ้มเจื่อนอยู่ในใจ…
เหตุใดก่อนหน้านี้ตนต้องโกหกด้วย
หากยอมรับอย่างเปิดเผย ผู้อื่นย่อมไม่ว่าอันใด
กลับจะรู้สึกว่าตนเองใจกว้างอย่างยิ่ง
แต่เวลานี้กลับต้องฝืนใจทำ…
หากว่าไม่ไป แล้วควรให้จบลงเช่นใดดี
“ข้าคิดเช่นนี้อยู่พอดี!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
ความใจกว้างที่เอ่ยถึง เจ้าหมิงหมิงคิดว่าเป็นเพียงการจัดการเรื่องต่างๆ โดยไม่ลนลาน ไม่ตระหนกเมื่อเจอการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น
ไม่เพียงมีน้ำใจกว้างขวาง กิริยามารยาทก็ต้องเรียบร้อยสง่างาม
ทั้งตัวมีความสุขุมเยือกเย็นที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
มนุษย์มีอารมณ์และความปรารถนา อสูรก็เช่นกัน
เพียงแต่ความใจกว้างสามารถสะกดอารมณ์และความปรารถนาทั้งมวลเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจได้
จึงไม่มีผู้ใดมองออกและมองไม่ชัดเจน
เจ้าหมิงหมิงรู้สึกว่านางพูดมากเกินไปตั้งแต่เข้ามาในตลาดแห่งนี้
ที่จริงแล้วไม่ควรทำเช่นนี้
“ดีอย่างยิ่ง! บังเอิญว่าข้าน้อยก็จะไปทำธุระที่เมืองเม่าฉายเช่นเดียวกัน ประจวบเหมาะที่จะได้ร่วมทางกับคุณหนูทั้งสอง!
ชายฉกรรจ์กล่าว
จากนั้นก็ตะโกนเรียกเหล่าหลี่เจ้าของแผงเสียงดังให้รีบมาเก็บชามบะหมี่ข้างกายเจ้าหมิงและเกาลัดคั่วน้ำตาลไปเสีย
บอกว่าอีกประเดี๋ยวเมื่อไปถึงเมืองเม่าฉายแล้ว เขาจะเป็นเจ้ามือเอง จะต้องให้เจ้าหมิงหมิงกับเกาลัดคั่วน้ำตาลได้กินอาหารอย่างดีโต๊ะหนึ่ง
หากเวลานี้กินบะหมี่มากเกินไปก็จะกินที่ทางในท้องมากเกินไป…
เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าพอไปถึงแล้วกลับกินสิ่งใดไม่ลง
พูดจบยังรีบเข้าไปช่วยหยิบจับอย่างกระตือรือร้นอีกด้วย
เจ้าหมิงหมิงกำลังจะบอกว่านางต้องกินบะหมี่ชามนี้ให้หมดก่อน
แต่ยังไม่ทันพูด
เกิดสิ่งไม่คาดคิดขึ้นในพริบตา
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นคล้ายกำลังจะเอื้อมมือมายกชาม
มือนั้นยื่นเข้ามาเพียงครึ่งหนึ่งก็พลันเปลี่ยนทิศทางจากข้างชามไปยังตั๋วเงินปึกนั้น
เรื่องนี้ทำให้เจ้าหมิงหมิงคิดไม่ถึงจริงๆ!
ส่วนชายฉกรรจ์ผู้นั้นก็คงร้อนรนอย่างยิ่ง…
ฉวยหยิบทั้งหมดไปไม่ทันจึงหยิบได้เพียงตั๋วเงินพับเล็กๆ จากทั้งปึกหนาๆ
เจ้าหมิงหมิงมองแผ่นหลังของคนผู้นั้นด้วยสายตาเย็นเฉียบ
ตลาดในเวลานี้ไม่ได้คึกคักเหมือนเมื่อครู่แล้ว
คนกลับไปกว่าครึ่ง ถนนโล่ง ดูกว้างขวางอย่างเห็นได้ชัด
ชายฉกรรจ์ผู้นี้ก็นับว่าเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์
แต่เจ้าหมิงหมิงกลับไม่ร้อนใจ
นางมั่นใจว่าจะตามได้ทันในระยะสิบจั้ง
“คนผู้นี้คือใคร”
เจ้าหมิงหมิงถาม
“ไม่รู้ขอรับ…ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน…”
เหล่าหลี่เจ้าของแผงเอ่ยทั้งสีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
เขาเป็นพ่อค้าซื่อๆ คนหนึ่ง
มีแผงขายของเล็กๆ อยู่อย่างมีความสุขตามอัตภาพ
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ล้วนเกินกว่าสิ่งที่เขาคาดคิดได้
แม้ตัวเขาเองก็เคยอยู่ในเมืองติ้งซีอ๋องมานาน และนับว่าเป็นคนที่พบเห็นโลกมามาก
แต่แม่นางที่งดงามเช่นเจ้าหมิงหมิงนี้เขาไม่เคยพบมาก่อน
แม่นางที่จ่ายเงินด้วยตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึง เขายิ่งไม่เคยพบมาก่อนเช่นกัน
เวลานี้ ในตลาดแห่งนี้กลับมีคนมาชิงทรัพย์อย่างอุกอาจ นับเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมานานแล้ว
คนที่มาตลาดแห่งนี้ล้วนเป็นคนท้องถิ่น ย่อมเห็นหน้าค่าตากันบ่อย
บ้านใดทะเลาะกับภรรยาเมื่อคืนนี้ บ้านใดแม่สุนัขเพิ่งคลอดลูกก็ล้วนรู้กันทั้งบาง
แล้วจะมีเรื่องชิงทรัพย์ได้อย่างไร
เจ้าหมิงหมิงยิ้มอ่อนโยนให้เหล่าหลี่เจ้าของแผง เป็นการบอกเขาว่าไม่ต้องกังวลและไม่ต้องรู้สึกผิด
เพราะนี่ไม่ใช่ความผิดของเขา
จากนั้นนางก็สะบัดข้อมือ
ตะเกียบในมือคู่นั้นพุ่งออกไปราวกับกรรไกร
ความเร็วของตะเกียบคู่นี้รวดเร็วกว่าชายฉกรรจ์ผู้นั้นมากนัก
เห็นเพียงว่าเมื่อเท้าขวาของเขาเพิ่งถึงพื้นก็ถูกตะเกียบหนีบเอาไว้แน่นหนาจนขยับไม่ได้!
จากนั้นจึงหกล้ม หน้าทิ่มพื้น!
เจ้าหมิงหมิงพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว โดยมีเกาลัดคั่วน้ำตาลตามหลังไปติดๆ
ร่างของคนทั้งสองค่อยๆ ร่อนลงข้างกายชายฉกรรจ์ผู้นั้น
เจ้าหมิงหมิงยื่นเท้าออกไปข้างหนึ่ง เหยียบลงบนข้อเท้าของชายฉกรรจ์ที่ถูกตะเกียบหนีบไว้ ชายฉกรรจ์ผู้นั้นดิ้นรนพักหนึ่ง เมื่อรู้ว่าไร้ผลจึงนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นไม่ขยับตัวอีก
“เหตุใดเจ้าต้องขโมยเงินข้า”
เจ้าหมิงหมิงถาม
ควรเรียกว่าชิงทรัพย์แต่นางกลับบอกว่าเป็นการขโมย
แต่นี่ย่อมไม่สำคัญ
สรุปก็คือเงินของนางถูกชายฉกรรจ์ผู้นี้เอาไป
และเจ้าหมิงหมิงก็ไม่ได้ให้เขายืม ยิ่งไม่ได้มอบให้เขา
ไม่ว่าจะสอบถามเช่นใด ชายฉกรรจ์ก็เอาแต่นอนหมอบอยู่กับพื้น แกล้งทำเป็นตายไม่ขยับเขยื้อน
เวลาผ่านไปราวหนึ่งถ้วยชา เขาจึงใช้แขนดันตัวให้พลิกขึ้น กล่าวด้วยโทสะว่าให้เจ้าหมิงหมิงและเกาลัดคั่วน้ำตาลมองดูข้างหลัง
ทันใดนั้นเจ้าหมิงหมิงพลันสังหรณ์ใจไม่ดี เมื่อหันหน้ากลับไปก็พบว่าที่นั่นไหนเลยจะยังมีแผงขายบะหมี่เต้าหู้อยู่อีก
ไม่เพียงไม่เห็นแม้แต่เงาของเหล่าหลี่เจ้าของแผง แม้แต่ลูกค้าที่นั่งกินบะหมี่อยู่ข้างๆ นางก็หายไปด้วย…
เหลือเพียงหม้อเหล็กที่หูหายไปข้างหนึ่งยังคงตั้งอยู่บนเตา
น้ำลวกบะหมี่ข้างในหม้อยังคงมีไอร้อนพวยพุ่ง
อาจเป็นเพราะหม้อใบนี้หนักเกินไป จึงไม่ทันขนเอาไปด้วย
“เงินที่เหลือเมื่อครู่นี้เจ้าเก็บมาแล้วหรือยัง”
นางรู้ว่าเกาลัดคั่วน้ำตาลต้องไม่ทันเก็บไปเป็นแน่
แต่นางก็ยังอยากถามอีกครั้ง
คงเพราะอยากให้ตนเองสิ้นหวังโดยสิ้นเชิงกระมัง…
“คุณหนู…ข้า…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลสีหน้าโศกเศร้า น้ำตาหยดลงมาในทันใด
ดีที่เจ้าหมิงหมิงรีบโบกมือให้นางไม่ต้องใส่ใจ จากนั้นก็โค้งตัวลงดึงตั๋วเงินปึกเล็กๆ ที่ยังเหลืออยู่ในมือชายฉกรรจ์ก่อนยื่นให้เกาลัดคั่วน้ำตาล
พอเจ้าหมิงหมิงดึงตั๋วเงินมาก็คลายเท้าออก
ชายฉกรรจ์รีบลุกขึ้น ใช้ร่างที่ยังดีอยู่ครึ่งตัวลากขาที่เจ็บข้างหนึ่ง ก่อนวิ่งกระโผลกกระเผลกไปข้างหน้า
เจ้าหมิงหมิงกลับมาที่แผงบะหมี่อีกครั้ง
นั่งลงตรงที่นางกินบะหมี่อยู่ก่อนหน้านี้ เหม่อมองชามบะหมี่ที่ตนยังกินไม่เสร็จ
บะหมี่เริ่มอืดเพราะแช่อยู่ในน้ำนาน แต่เจ้าหมิงก็ยังคงหยิบตะเกียบขึ้นมาและกินต่อไป
“คุณหนู!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลร้องเรียก
“กินเถิด กินให้หมด! บะหมี่สองชามและเต้าหู้หนึ่งชาม หากไม่เอ่ยถึงเรื่องรสชาติว่ากันแต่เรื่องราคาของมัน จะต้องเป็นที่หนึ่งในใต้หล้าแน่นอน!”
เจ้าหมิงหมิงหันหน้าไปพูดกับเกาลัดคั่วน้ำตาลด้วยรอยยิ้ม
เดิมทีชายฉกรรจ์ก็เป็นพวกเดียวกับเหล่าหลี่เจ้าของแผง…
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ก็คือการล่อเสือออกจากถ้ำเท่านั้น
นึกไม่ถึงว่าเจ้าหมิงและเกาลัดคั่วน้ำตาลจะหลงกลทั้งสองคน จนสุดท้ายเสียหายใหญ่หลวงเพราะผิดพลาดเพียงเล็กน้อย
“คุณหนู ข้าไม่อยากกินแล้ว…ข้ากินไม่ลงเจ้าค่ะ!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลฟาดตะเกียบลงบนโต๊ะพลางเอ่ย
“เช่นนั้นเจ้าอยากกินสิ่งใด…”
เจ้าหมิงหมิงถาม
นางยังคงกินอย่างไม่รีบร้อน
ไม่ใช่แค่เส้นค่อนข้างอืดเท่านั้น แม้แต่เต้าหู้จี่ก็ยังบวมพองเพราะดูดซับน้ำบะหมี่เข้าไปมาก
“คงไม่ใช่ว่าเจ้ายังคิดถึงอาหารชั้นดีที่เมืองเม่าฉายอยู่กระมัง”
เจ้าหมิงหมิงถามต่อ
เกาลัดคั่วน้ำตาลกลับไม่พูดจา
“เจ้าต่างหากที่โง่จริงๆ…หรือเจ้ายังคิดว่าเมืองเม่าฉายนั้นจะมีอยู่จริงๆ”
เจ้าหมิงหมิงวางตะเกียบลงแล้วถอนใจพลางเอ่ย
แต่สีหน้าและน้ำเสียงของนางกลับไม่ได้โศกเศร้า
กลับกันยังคิดว่าแดนมนุษย์ที่เป็นเช่นนี้ช่างน่าสนใจจริงๆ!
แม้ว่าเพิ่งลงจากเขาก็เจอกับเรื่องหลอกลวง เสียท่าไปหนหนึ่ง
แต่หากไม่เคยเจอก็จะไม่จดจำไปนาน!
หลายเรื่องต้องเป็นครั้งแรกจึงจะตื่นเต้น!
หากราบรื่นไปหมด ก็มิสู้อยู่อย่างสุขสบายในเขาเรียงรันดีกว่า เหตุใดต้องลงจากเขาด้วย
เจ้าหมิงหมิงคิดๆ ไปก็ยิ้มขึ้นมา
“คุณหนู ท่านไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลถาม
“ไม่เป็นไรๆ! พวกเรามุ่งหน้าไปยังเมืองติ้งซีอ๋องเถิด!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
ตลาดเล็กๆ ก็ยังแปลกประหลาดเกินคาดเพียงนี้
แล้วเมืองติ้งซีอ๋องจะเป็นยิ่งกว่านี้อีกเท่าใด
เจ้าหมิงหมิงกลับตื่นเต้นขึ้นมา
ยกชามขึ้นกินบะหมี่อืดๆ กับเต้าหู้จนหมด ก่อนใช้แขนเสื้อเช็ดปาก ลุกขึ้นพลางดึงเกาลัดคั่วน้ำตาลเดินไปยังที่ที่พวกนางจอดรถม้าเอาไว้ก่อนหน้านี้
เมื่อเดินไปข้างหน้า เจ้าหมิงหมิงจึงเพิ่งสำเหนียกว่าที่ตนเองว่าเกาลัดคั่วน้ำตาลโง่นั้น ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเองเสียแล้ว…
เมืองเม่าฉายไม่มีอยู่จริง แล้วรถม้าของพวกนางจะยังอยู่อีกหรือ
“ดูเหมือนว่าพวกเราทั้งสองต่างก็ไม่ฉลาดเอาเสียเลย!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าวอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
………………………………………