ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 400 กุหลาบพันปีสีเลือดกลางฝนเย็น-9
บทที่ 400 กุหลาบพันปีสีเลือดกลางฝนเย็น-9
……….
ไม่มีรถม้าแล้ว
เจ้าหมิงหมิงกับเกาลัดคั่วน้ำตาลจำต้องเดินเท้าเท่านั้น
แต่ทั้งคู่ไม่รู้ว่าควรจะเดินไปทางไหนดี
แม้จะรู้ว่าเมืองติ้งซีอ๋องไปทางไหน
แต่ถ้าพึ่งเพียงเท้าสองข้าง แม้ว่าจะเดินจนค่ำมืดก็คงไม่เห็นประตูเมือง
“คุณหนู ท้องฟ้าวันนี้ดูเหมือนฝนจะตกนะเจ้าคะ…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลพูดขึ้น
ก่อนหน้านี้ท้องฟ้ายังสดใส แต่ตอนนี้กลับมีเมฆดำกดทับลงมาเป็นชั้นๆ
ดูเหมือนอยู่ใกล้พื้นดินมาก ราวกับว่าหากยื่นมือออกไปก็จะสัมผัสได้
“เจ้าไปเรียนวิธีดูสภาพอากาศของโลกมนุษย์ตั้งแต่เมื่อไร”
เจ้าหมิงหมิงถามพลางยิ้ม
บนเขาเรียงรัน ฤดูกาลทั้งสี่เหมือนกัน
ไม่สามารถแยกแยะฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง หรือฤดูหนาวได้
การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เปลี่ยนแปลงอาจจะสบายตัว
แต่นานเข้าก็อาจจะรู้สึกเบื่อหน่ายได้
บนโลกมนุษย์ มีฝนสองครั้งในวสันต์และสารทฤดู หิมะหนึ่งครั้งในเหมันต์ และแดดจ้าในคิมหันต์
แม้จะเป็นการวนเวียนที่ซ้ำซาก แต่อย่างน้อยก็มีความแปลกใหม่
“สารทฤดูเป็นช่วงที่ฝนตกบ่อยอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าว
ทั้งหมดที่นางรู้ล้วนได้มาจากการอ่านหนังสือเท่านั้น
“ในเมื่อเจ้าว่าฝนกำลังจะตก แล้วเราควรทำอย่างไร”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยถาม
“ก็ต้องหาที่หลบฝนสิเจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลตอบ
นางรู้สึกแปลกใจว่าเหตุใดคุณหนูถึงถามเช่นนี้
ฝนตกก็ต้องหลบฝน
ก็เหมือนกับตอนที่ทั้งคู่หิวก็ต้องหาอะไรกิน
ไม่จำเป็นต้องถามว่าจะทำอย่างไร
“เช่นนั้นเจ้าก็หาที่หลบฝนเถอะ ข้าจะตามเจ้าไป”
เจ้าหมิงหมิงพูดขึ้น
คำพูดนี้ทำให้แม้แต่เกาลัดคั่วน้ำตาลที่มักจะไม่วิตกกังวลอะไรก็ยังรู้สึกลำบากใจ…
ตลาดเก็บแผงแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้า ผู้ชม หรือผู้ซื้อล้วนแต่จากไปเป็นกลุ่มๆ
พวกเขาล้วนมีที่หมายปลายทางของตัวเอง
แม้แต่คนที่ไม่มีที่หมายก็ยังรู้ว่าตนควรหลบฝนที่ไหน
เกาลัดคั่วน้ำตาลและเจ้าหมิงหมิงมีปลายทางคือเขาเรียงรัน
แน่นอนว่าเขาเรียงรันก็สามารถใช้เป็นที่หลบฝนได้
แต่หากเพียงเพราะฝนตกไม่มีที่ไป ทำให้ต้องกลับไปยังเขาเรียงรัน เจ้าหมิงหมิงก็ภาวนาว่าที่ตกลงมาจะไม่ใช่ฝน แต่เป็นดาบและกระบี่มากกว่า
เพราะการตายใต้ฝนดาบกระบี่นั้น ยังดูเป็นเรื่องที่น่าพิศวงกว่าการกลับไปยังเขาเรียงรันเพียงเพราะไม่มีที่หลบฝนเป็นไหนๆ
อสูรก็เช่นกัน
หลังจากที่มีสติปัญญาแล้ว สิ่งแรกที่มันเข้าใจก็คือเกียรติยศ
บางครั้งเกียรติยศนั้นไม่มีค่า
แต่บางครั้งก็อาจหมายถึงทุกอย่าง
ขอทานถือชามแตก ร้องเพลงขอทานตามถนนเพื่อท้องอิ่ม นั่นคือการละทิ้งเกียรติยศไป
ในยามนี้เกียรติยศจะมีค่าอะไรเมื่อเทียบกับการทำให้ท้องอิ่ม?
แต่สำหรับคนที่กินอิ่มแล้วรอจนหิวอีกรอบ เกียรติยศหมายถึงทุกอย่าง
บางคนต้องการชื่อเสียงโด่งดัง ในขณะที่บางคนกลับไม่แยแสชื่อเสียงและความมั่งคั่ง
แต่คนเหล่านั้นมีอย่างหนึ่งเหมือนกัน นั่นคือพวกเขากินอิ่ม ไม่หิวโหย
คนที่หิวไม่มีเวลาไปคิดถึงเรื่องเหล่านี้ที่เป็นเพียงมายาคติ
เจ้าหมิงหมิงและเกาลัดคั่วน้ำตาลเพิ่งกินบะหมี่กับเต้าหู้เสร็จ
พวกนางก็เป็นคนจำพวกไม่โหยหิว
แต่พวกนางไม่ต้องการชื่อเสียง หรือต้องการเลี่ยงชื่อเสียงและความมั่งคั่ง
พวกนางแค่ต้องการหาที่หลบฝน
“เจ้าดูทางนั้นสิ!”
เจ้าหมิงหมิงชี้ไปยังทิศทางที่ห่างไกล
ที่ป่าเนินเขาไม่ไกลนั้นมีกลุ่มควันสีขาวลอยขึ้น
เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นสูงและอากาศดี ควันบางๆ เหล่านี้ยากที่จะสังเกตเห็น
แต่ตอนนี้ท้องฟ้ามืดครึ้มและเมฆดำลอยต่ำ กลุ่มควันจึงเด่นชัดยิ่ง
เจ้าหมิงหมิงรู้ว่านั่นคือควันจากการปรุงอาหาร
มีควันก็แสดงว่ามีกองไฟ
และที่ที่มีกองไฟย่อมมีบ้านเรือนของผู้คน
ธรรมชาติของอสูรไม่ชอบไฟ…
ความกลัวไฟถูกสลักอยู่ในกระดูกและเลือดของพวกมัน
แต่ถึงอย่างไร หลายสิ่งหลายอย่างไม่ได้เป็นเช่นนั้นมาตั้งแต่แรกเริ่ม
หลังจากที่พวกมันกลายร่างแล้ว หากยังกลัวไฟอยู่ก็จะไม่สมเหตุสมผล
ในเรื่องนี้ อสูรก็ทำได้ดีกว่ามนุษย์อย่างเห็นได้ชัด
ปัญญาเอาชนะอารมณ์
นึกถึงเมื่อครั้งอดีต ชาวทุ่งหญ้าเริ่มมีไฟ และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเอาชนะฝูงหมาป่าบนทุ่งหญ้าได้
ส่วนอสูรหลังจากกลายร่าง พวกมันก็ปรับตัวเข้ากับการมีอยู่ของไฟ
ในยามค่ำคืน พวกมันก็จะจุดไฟ
แทนที่จะยึดติดอยู่กับความมืดที่ให้การปกป้องจากธรรมชาติ
“นั่นคือควันจากการปรุงอาหารหรือเจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลถาม
เจ้าหมิงหมิงส่ายหัว
นางไม่แน่ใจว่านั่นคือควันจากการปรุงอาหารหรือไม่
ในจิตสำนึกของนาง ควันจากการปรุงอาหารควรจะเกิดขึ้นเมื่อมีการทำอาหารเท่านั้น
ด้วยระยะทางที่ไกลเช่นนี้ นางไม่มีทางรู้ได้เลยว่าควันนั้นมาจากการทำอาหารหรือไม่
ต้องกล่าวว่าเจ้าหมิงหมิงยึดติดกับความเป็นจริงอย่างมาก
ในโลกมนุษย์ ผู้คนเมื่อเห็นควันขาวๆ เช่นนี้ เกรงว่าล้วนเรียกมันว่าควันจากการปรุงอาหาร
แม้แต่กลุ่มควันเล็กๆ ที่ลอยขึ้นมักจะกระตุ้นความคิดถึงและความรู้สึกที่น่าสะเทือนใจในหมู่มนุษย์
ความรู้สึกเหล่านี้ยังคงเป็นสิ่งที่เจ้าหมิงหมิงยังไม่เข้าใจ
เหมือนที่นางได้อ่านในหนังสือ เรื่องของนักปราชญ์ที่จะร่ำสุราใต้แสงจันทร์และร้องเพลงกับสายลมในยามราตรี
ในสายตาของเจ้าหมิงหมิงพฤติกรรมเหล่านี้ถือเป็นสิ่งที่ยากจะเข้าใจ
แสงจันทร์เย็นเหมือนน้ำ หนาวเหน็บดั่งเงา
ไม่ต้องพูดถึงการไม่ได้กิน ต่อให้กินลงไปได้ก็เกรงว่ารสชาติไม่ดีเอาเสียเลย…
ไม่ใช่ว่าอาหารชั้นดีของมนุษย์ต้องพิถีพิถันเรื่องสีสัน กลิ่น และรสชาติที่ลงตัวหรอกหรือ
เหตุใดเมื่อมองไปบนดวงจันทร์ สิ่งจืดชืดถึงกลายเป็นกับแกล้มได้เล่า
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมื่อพายุโหมกระหน่ำ…
ที่เขาเรียงรันแม้ว่าจะไม่มีลมพัด
แต่เมื่อเจ้าหมิงหมิงมองจากยอดเขาลงไปด้านล่าง เคยเห็นต้นไม้พืชพรรณที่ถูกลมพัดจนสั่นไหวไปมา
มันสะบัดไปมาไร้ทิศทาง สนุกสนานอย่างน่าประหลาด
แต่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ยังมีคนที่มีกะจิตกะใจร้องเพลง
เจ้าหมิงหมิงไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ
“พวกเราลองเดินไปทางนั้นก่อน บางทีอาจจะมีบ้านเรือนคนอยู่”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“แต่นายท่านบอกให้พวกเราพักแค่ที่โรงเตี๊ยมพูนโชคเท่านั้นไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลถาม
“เจ้าคิดว่าที่นี่ดูมีโรงเตี๊ยมหรือ”
เจ้าหมิงหมิงคลายมือออก มองไปรอบๆ แล้วกล่าว
ถ้ามีตลาดแสดงว่าบริเวณใกล้เคียงจะต้องมีหมู่บ้านอยู่ไม่น้อย
ตลาดมักจะตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางของหมู่บ้าน
เจ้าหมิงหมิงรู้สึกเสียดายเล็กน้อย…
ถ้านางถามคนที่ผ่านทางไปเมื่อครู่ก็คงจะดี
ตอนนี้นางก็ไม่ต้องมายืนอยู่ในสถานการณ์ที่อึดอัดเช่นนี้
เหมือนแมลงวันไม่มีหัวที่บินไปมาอย่างไร้ทิศทาง
ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะยินดีบอกนางหรือไม่ เจ้าหมิงหมิงก็ไม่เคยกังวล
ประการแรก นางเป็นหญิงสาว
เมื่อหญิงสาวสอบถาม โดยทั่วไปแล้วมักจะเป็นเรื่องง่ายกว่าชายหนุ่ม
แม้ว่าชายผู้นั้นจะสุภาพและมีมารยาทเพียงใดก็ตาม
ประการที่สอง นางงดงามยิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรืออสูรต่างก็ลดความระแวงลงมากเมื่อพบกับสิ่งสวยงาม
เด็กๆ อาจหลงใหลในผีเสื้อที่บินอยู่ในหมู่ดอกไม้และดอกไม้ป่าริมบึง
ผู้ใหญ่ก็มักหลงใหลในเสน่ห์ของหญิงงาม
ดังนั้นหญิงงามคนหนึ่ง ชีวิตนี้ย่อมราบรื่นไร้ปัญหา
เพราะคนมักจะหาเหตุผลในการปฏิเสธนางได้ยาก
แต่เจ้าหมิงหมิงกลับมีความความคิดเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับเรื่องนี้
นางละเลยปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งไป
เจ้าหมิงหมิงพาเกาลัดคั่วน้ำตาลเดินไปทางเนินนั้น
หลังจากเดินผ่านพุ่มไม้และป่าไปแล้ว พวกนางก็พบว่ามีบ้านเรือนอยู่จริงๆ
บ้านเรือนเหล่านี้ต่างก็มีหนังสัตว์ขนาดใหญ่แขวนอยู่เต็มไปหมด เพื่อตากแดดให้แห้ง
มีหนังหมีดำ มีเขากวาง และยังมี…สุนัขจิ้งจอก
กำแพงบ้านไม่สูงนัก
เจ้าหมิงหมิงมองแวบเดียวก็สามารถมองเห็นข้างในได้
บนขอบหน้าต่างของบ้านในสวนยังมีตอกไม้ไผ่วางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ
บนตอกไม้ไผ่เหล่านั้นวางหนังงูที่ถูกม้วนอย่างเป็นระเบียบ
“นี่มันบ้านของใครกันแน่…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลขมวดคิ้วพูด
ถึงแม้พวกนางจะมีสติปัญญา กลายร่างเป็นมนุษย์แล้ว และจัดเป็นอสูรซึ่งแตกต่างจากสัตว์ป่าที่ถูกถลกหนังเหล่านี้
แต่ไม่ว่าอย่างไรเลือดย่อมข้นน้ำ สุดท้ายก็มีที่มาที่ไปเดียวกัน
อย่างน้อยก็เคยมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกันมาก่อน
เมื่อเห็นเพื่อนร่วมสายเลือดของตนถูกแขวนไว้อย่างโหดร้าย เป็นใครก็คงรู้สึกยากที่จะยอมรับได้
“ที่นี่น่าจะเป็นที่อยู่ของกลุ่มนายพราน”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“นายพราน? หมายถึงผู้ที่ไม่ทำนาไม่ทอผ้า แต่ใช้ชีวิตด้วยการล่าสัตว์หรือเจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลเอ่ยถาม
เจ้าหมิงหมิงพยักหน้า
เมื่อเห็นหนังสัตว์มากมายขนาดนี้กะทันหัน ในใจนางก็รู้สึกสั่นไหวอยู่บ้าง
แต่นางก็ยังสามารถควบคุมอารมณ์ไว้ได้
หลายครั้งที่ความรู้สึกพังทลายลงมักจะเกิดขึ้นเพราะไม่สามารถเข้าใจหรือยอมรับได้
ถ้าสามารถเข้าใจและยอมรับได้ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะทำให้รู้สึกไม่ดีแค่ไหนก็ยังสามารถควบคุมได้
เจ้าหมิงหมิงเข้าใจดีว่านางแตกต่างจากสัตว์ป่าที่ตายไปเหล่านี้
พวกมันถูกมนุษย์ล่า เป็นส่วนหนึ่งของกฎธรรมชาติในโลกนี้ที่ผู้แข็งแกร่งอยู่รอด ผู้ที่อ่อนแอย่อมพ่ายแพ้
ไม่มีใครสามารถแทรกแซงกฎแห่งธรรมชาตินี้ได้
มนุษย์ล่าสัตว์ป่า สัตว์ป่าก็กินมนุษย์
เจ้าหมิงหมิงเห็นว่าทางด้านตะวันตกไม่ไกลจากบ้านเรือนเหล่านั้นมีสุสานไม่ใหญ่นัก
คงเป็นที่ฝังศพของคนในกลุ่มนายพรานเหล่านี้
เจ้าหมิงหมิงส่งสัญญาณให้เกาลัดคั่วน้ำตาลมองไปที่สุสานนั้น และนางก็เข้าใจทันที
ความอึดอัดที่ยังคงตกค้างอยู่ในใจนางพลันสลายหายไปในพริบตา
“ชีวิตอาจไม่ยุติธรรม แต่ความตายนั้นยุติธรรมที่สุด”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“สัตว์ป่าเหล่านี้ แม้จะไม่ถูกนายพรานฆ่า พวกมันก็จะต้องตายอยู่ดี อีกอย่างแม้พวกมันจะไม่ฉลาดเหมือนเรา แต่ก็ย่อมไม่เข้าไปในสถานการณ์ที่มันรู้ว่าจะต้องตาย หลังการต่อสู้กัน พวกมันก็ยอมรับชะตากรรมของตน นั่นคือหลักธรรมชาติของโลกใบนี้”
เจ้าหมิงหมิงกล่าวต่อ
เกาลัดคั่วน้ำตาลพยักหน้า เร่งฝีเท้าไปด้านหน้า
นางรู้ดีว่าเจ้านายของนางต้องการหาที่หลบฝนในบ้านของกลุ่มนายพรานเหล่านี้
การเคาะประตูย่อมเป็นหน้าที่ของนาง
ขณะที่เดินไป เกาลัดคั่วน้ำตาลยังลูบๆ ตั๋วเงินที่เหลืออยู่ในอก
นายพรานล่าสัตว์ขายหนังและเนื้อเพื่อดำรงชีพ
หากนางมีเงินก็สามารถต่อรองได้
“มีใครอยู่หรือไม่?!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลผลักประตูบ้านของครอบครัวหนึ่งเข้าไปและเอ่ยถาม
ในความคิดของนาง ไม่จำเป็นต้องเคาะประตูหรือประพฤติตัวอย่างมีมารยาท
แม้แต่ห้องนอนส่วนตัวของเจ้าหมิงหมิง นางก็เคยผลักเข้าไปโดยไม่คิดอะไร
ได้ยินเสียงจากทางประตู
ชายชราหลังค่อมคนหนึ่งค่อยๆ เดินซวนเซออกมาจากประตู
มือเขายังจับกิ่งต้นส้มเพื่อช่วยพยุงตัว
“แม่นางหาใครอยู่รึ”
ชายชราหลังค่อมถามเสียงดัง
เขาหรี่ตาพยายามมองเกาลัดคั่วน้ำตาล
“ท่านผู้เฒ่า พวกเราไม่ได้มาหาใคร!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลตอบ
“อ้อ…ถ้าเช่นนั้นมาซื้อของหรือ ของที่มีก็อยู่ในลานนี่แหละ เจ้าดูเอาเองเลย ถ้าชอบอะไรก็บอกข้า แต่ราคาตายตัวนะ ลูกชายข้าไม่อยู่ ข้าไม่สามารถตัดสินใจหรือต่อรองกับเจ้าได้”
ชายชราหลังค่อมกล่าว
แล้วหมุนตัวกลับไปนั่งบนก้อนหินใหญ่ในลาน
“ท่านผู้เฒ่า ข้ากับคุณหนูของข้าเห็นว่าฝนกำลังจะตกจึงอยากขออาศัยหลบฝนที่นี่!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลพูดขึ้น
“ฝนตก?”
ชายชราหลังค่อมดูเหมือนจะมีปัญหาเรื่องการได้ยิน
สิ่งที่เกาลัดคั่วน้ำตาลพูด ชายชราต้องทวนอีกครั้งถึงจะเข้าใจ
ไม่แปลกที่เขาตอบกลับด้วยเสียงที่ดังลั่น
คนเราเวลาพูดจะต้องได้ยินตัวเองก่อน
คนที่หูไม่ดีย่อมพูดด้วยเสียงที่ดังกว่าปกติ
………………………………………….
……….