ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 401 กุหลาบพันปีสีเลือดกลางฝนเย็น-10
บทที่ 401 กุหลาบพันปีสีเลือดกลางฝนเย็น-10
……….
“ใช่ ท่านสะดวกหรือไม่”
เจ้าหมิงหมิงเดินไปข้างหน้าพร้อมเอ่ยถาม
“เป็นเรื่องปกติที่คนอยู่บนภูเขาจะถูกคนผ่านทางขอน้ำดื่มหรือค้างแรมบ่อยๆ…ไม่มีอะไรไม่สะดวกหรอก…”
ชายชราหลังค่อมตอบ
“พวกเราไม่ได้มาขอค้างแรม รอจนฝนหยุดก็จะเดินทางต่อ”
เจ้าหมิงหมิงพูด
“ได้ๆ แม่นางทั้งสองเข้าไปนั่งในบ้านเถอะ!”
ชายชราหลังค่อมกล่าว
ลุกขึ้นและใช้ไม้เท้าเดินเข้าไปในบ้าน ในขณะที่เจ้าหมิงหมิงและเกาลัดคั่วน้ำตาลเดินตามหลังเขาอย่างระมัดระวัง
“ท่านผู้เฒ่า ฝนจวนจะตกลงมาแล้วของในลานพวกนี้ไม่เก็บหรือ”
เจ้าหมิงหมิงถาม
นางรู้สึกว่าชายชราหลังค่อมใจดีมาก ดังนั้นนางควรจะทำบางอย่างตอบแทนบ้าง
อย่างน้อยเรื่องที่เหนือบ่ากว่าแรง นางก็พร้อมที่จะช่วยเหลือ
“ไม่ต้องๆ ลูกชายข้าจะดูสภาพอากาศแล้วกลับมาเอง งานพวกนี้เขาทำเองตลอด ถ้าคนอื่นทำแทน เขาจะไม่พอใจ!”
ชายชราหลังค่อมบอกพร้อมกับโบกมือ
เจ้าหมิงหมิงและเกาลัดคั่วน้ำตาลเดินเข้าไปในบ้าน
บ้านนี้ไม่สามารถเทียบกับห้องของเจ้าหมิงหมิงได้เลย
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกนางได้เห็นว่าชาวบ้านธรรมดาในโลกมนุษย์ใช้ชีวิตกันอย่างไร
ตรงกลางบ้านมีโต๊ะสี่เหลี่ยมวางอยู่
แต่แสงจากตะเกียงนั้นวูบไหวไม่คงที่
กลิ่นแปลกๆ กระจายอยู่ในอากาศ ทำให้เจ้าหมิงหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย
“นั่งสิ! ในบ้านไม่มีชา ได้แค่ต้มน้ำร้อนดื่ม”
ชายชราหลังค่อมกล่าว
เกาลัดคั่วน้ำตาลยืนนิ่งไม่พูดจา
หลังจากที่นางเพิ่งโดนชายฉกรรจ์และเหล่าหลี่เจ้าของแผงในตลาดหลอก ทำให้นางไม่มีความรู้สึกดีหรือเชื่อใจมนุษย์อีกเลย
แม้แต่ชายชราหลังค่อมที่ดูเป็นคนใจดีเบื้องหน้าก็เช่นกัน…
“ท่านผู้เฒ่า ลูกชายท่านไปไหนหรือ”
เจ้าหมิงหมิงถาม
“ลูกชายข้า? ก็ไปล่าสัตว์บนภูเขาสิ! ที่บ้านกำลังรอเขากลับมาเพื่อเตรียมมื้อเย็น…เมื่อวานเขากลับมามือเปล่า แต่เขาบอกว่าเห็นรอยเท้าหมูป่าบนภูเขา จึงกลับบ้านมาเอาพลั่วและบ่วงแล้วก็รีบออกไป วันนี้เขายังพาภรรยาไปด้วย บอกว่าจะไปดูกับดักที่วางไว้ว่าจะจับได้หรือไม่”
ชายชราหลังค่อมเล่า
“หมูป่า?”
เกาลัดคั่วน้ำตาลพึมพำ
“ใช่ หมูป่า! หมูที่มีเขี้ยวยื่นออกมานั่นไง! มันดุร้ายมาก…และไม่กลัวคน! แต่แม่นางจากในเมืองน่าจะไม่เคยเห็น ก่อนหน้านี้เราปลูกผักนอกกำแพงบ้าน แต่ก็ดึงดูดหมูป่ามาสามรอบต่อวัน…ทนได้แค่ปีเดียว เพราะไม่มีทางเลือกก็เลยทำพื้นให้ราบเรียบ หลังจากนั้นหมูป่าก็หายเข้าป่าลึกและไม่กลับมาอีก ครั้งนี้ที่เห็นร่องรอยของมันก็นับว่าหายากนัก!”
ชายชราหลังค่อมกล่าว
ดูเหมือนเขาไม่ได้พูดกับใครมานาน
หรืออาจเป็นเพราะตื่นเต้นที่ได้เจอคนแปลกหน้า
เจ้าหมิงหมิงถามอะไร ชายชราหลังค่อมก็ตอบอย่างละเอียด
เจ้าหมิงหมิงยิ้มบางๆ
แต่นั่นก็ดีแล้ว การยึดมั่นในความคิดแรกมักยากจะเปลี่ยนแปลง
คุณหนูจากในเมืองคนหนึ่งพาหญิงรับใช้ออกมาเที่ยวเล่น กระทั่งฝนตกจนไม่สามารถกลับไปได้จึงมายังบ้านของนายพรานเพื่อหลบฝนชั่วคราว ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
“หมูป่าอร่อยหรือไม่”
เกาลัดคั่วน้ำตาลถามต่อ
อาหารที่พวกนางทานเมื่อครู่ธรรมดาเกินไป…
แค่บะหมี่กับเต้าหู้ นางยังกินไม่อิ่มเลย
แม้ว่าอสูรจะกลายร่างเป็นมนุษย์แล้ว แต่ยังคงกินเนื้อเป็นหลัก
เพียงแต่ไม่กินดิบๆ และการกินก็ดูสุภาพขึ้นมาก
“อร่อยสิ! เนื้อหมูป่าหอมมาก! แต่ต้องเอามาต้มกับน้ำร้อนก่อนหนึ่งรอบ เติมเหล้าขาวลงไปหน่อย ไม่เช่นนั้นจะคาว ที่จริงแล้วตอนนี้ไม่ใช่ฤดูที่ดีที่สุดสำหรับการกินหมูป่า แต่คนที่อยู่บนภูเขาก็ต้องพึ่งภูเขาเพื่อยังชีพ เราไม่มีทางเลือกมากมายนักหรอก”
ชายชราหลังค่อมกล่าว
พูดจบ เขายังซวนเซไปมาขณะตักน้ำสองถ้วยมาวางที่โต๊ะให้เจ้าหมิงหมิงและเกาลัดคั่วน้ำตาลดื่ม
น้ำยังไม่เดือดด้วยซ้ำ
หากปล่อยให้เดือดพล่านก็ต้องใช้ฟืนมากเกินไป
น้ำบนภูเขาเป็นน้ำแร่
ดื่มทันทีก็ไม่มีปัญหา
เมื่อครู่เขาเพียงแค่ทำให้น้ำอุ่นขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น
“หมูป่าในช่วงเวลาไหนถึงจะเป็นช่วงที่ดีที่สุดหรือ”
เจ้าหมิงหมิงถาม
นางรู้ว่าหมูป่ามีลักษณะอย่างไร แต่ไม่เคยได้ลิ้มลอง
นางเคยได้ยินมานานแล้วว่ามนุษย์ชอบกินอาหารตามฤดูกาล แต่ละฤดูควรทานสิ่งใด แต่เจ้าหมิงหมิงยังไม่เข้าใจถึงเหตุผลที่แท้จริง ตอนนี้เจอคนที่ยินดีเล่าให้ฟังแล้ว นางจึงต้องการคำตอบที่ชัดเจน
“ฤดูใบไม้ร่วง ช่วงฤดูใบไม้ร่วงหมูป่าจะอ้วนที่สุด!”
ชายชราหลังค่อมตอบ
เขาดื่มน้ำเล็กน้อยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ลำคอ
“จากตรงนี้เดินไปทางทิศตะวันออกสิบกว่าลี้ จะมีป่าผลไม้ป่าที่มีมาตั้งแต่ตอนข้ายังเล็ก แต่เป็นผลไม้อะไรนั้น ข้าก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วง พวกมันก็จะกลายเป็นสีแดงสด พวกเราที่นี่ก็แทบไม่มีใครไปเก็บมากิน เพราะมันขึ้นเยอะแยะไปหมดแต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้แก่จัดพอที่จะทานได้ แต่พอถึงฤดูใบไม้ร่วง ผลไม้เหล่านั้นจะหล่นลงมาพร้อมกับใบไม้ กองทับกันเป็นชั้นหนาบนพื้นดิน”
ชายชราหลังค่อมกล่าว
พูดถึงตรงนี้ เขาก็หยุดพูดทันที
เจ้าหมิงหมิงและเกาลัดคั่วน้ำตาลรู้สึกสงสัย…
ถามเรื่องหมูป่าอยู่ดีๆ ชายชราหลังค่อมกลับเปลี่ยนไปพูดถึงผลไม้ป่าแทนได้อย่างไร
“ในฤดูใบไม้ร่วงอากาศบนเขาจะเปลี่ยนแปลงมาก ตอนเช้าและตอนเย็นจะหนาวจัด แต่กลางวันกลับร้อนมาก ผลไม้ป่าเหล่านี้ก็ถูกกองทิ้งไว้บนพื้น ไม่มีใครสนใจจนสุดท้ายก็เริ่มหมักช้าๆ หากมีฝนในฤดูใบไม้ร่วงตกลงมาสองสามรอบ ผลไม้ก็จะหมักบ่มได้เร็วขึ้น ลมพัดกลิ่นเปรี้ยวจนมาถึงที่นี่ ทุกปีเมื่อได้กลิ่นนี้ ทุกคนก็จะไปรออยู่รอบๆ ป่าผลไม้เพราะมักจะมีหมูป่ามากินผลไม้เหล่านั้น แต่ผลไม้ที่หมักแล้วก็มึนเมาเหมือนกับเหล้า! หมูป่าตัวเล็กๆ บางตัวกินเข้าไปจนเมาไม่รู้ตัว จนกระทั่งนอนคว่ำหลับไป ลูกชายข้าก็ใช้เชือกมัดขามันทั้งหน้าและหลังเข้าด้วยกัน แล้วลากมันกลับมา”
ชายชราหลังค่อมกล่าว
“หมายความว่าหมูป่าพวกนั้นเมาจนไม่สามารถตอบสนองได้เลยหรือ”
เจ้าหมิงหมิงถาม
“ฮ่าๆ พูดถึงเรื่องนี้แล้ว สัตว์ป่ากับมนุษย์ก็ไม่ต่างกันหรอก…คนเราถ้าเมามากๆ ก็เป็นเหมือนเนื้อเน่ากองอยู่ตรงนั้น ไม่ว่าจะถูกต่อยหรือถูกเตะก็ไม่รู้สึก หมูป่าก็เช่นกัน ถูกลากมาถึงหน้าบ้านแล้วยังเมาอยู่เลย”
ชายชราหลังค่อมหัวเราะขณะพูด
เขาคิดไม่ถึงว่าสองแม่นางจากในเมืองจะสนใจเรื่องราวป่าเขาขนาดนี้
ในเมื่อพวกนางอยากฟัง ตนก็อยากเล่า เช่นนั้นก็ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
“หมูป่าที่เมาแล้ว หากคนกินเข้าไป คนจะเมาหรือไม่”
เกาลัดคั่วน้ำตาลถาม
“แน่นอนว่าไม่…”
ชายชราหลังค่อมตะลึงแล้วกล่าว
คำถามของเกาลัดคั่วน้ำตาลนั้นสมเหตุสมผลแต่เขาก็ไม่สามารถอธิบายได้
แต่ตลอดชีวิตของเขาก็ยังไม่เคยเห็นใครเมาเช่นนั้นมาก่อน
“ดูท่าเจ้าทั้งสองยังไม่เคยดื่มสุราเป็นแน่!”
ชายชราหลังค่อมวางถ้วยใส่น้ำลงและกล่าว
“ไม่เคยดื่มสุราก็ดูออกด้วยหรือ”
เจ้าหมิงหมิงถามอย่างประหลาดใจ
“ดูออกสิ! ไม่เพียงแค่ดูออกเท่านั้น แต่ใช้จมูกดมก็ยังรู้”
ชายชราหลังค่อมชี้จมูกของตัวเองแล้วพูด
เจ้าหมิงหมิงกลับหัวเราะออกมา
มนุษย์คนหนึ่งที่บอกว่าตนจมูกไวต่อหน้าอสูรเหล่านี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับมะพร้าวห้าวขายสวนไม่ใช่หรือ?
“ตอนนี้พวกเราไม่ได้ดื่มสุรา แต่ท่านผู้เฒ่ารู้ได้อย่างไรว่าพวกเราไม่เคยดื่มมาก่อน”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยถาม
“คนที่เคยดื่มสุราไม่เหมือนกับพวกเจ้า”
ชายชราหลังค่อมพูดพลางโบกมือ
แต่เขาก็ไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม
ตอนนี้เอง ประตูบ้านก็ถูกผลักเปิดอย่างแรง
ผู้ที่เดินเข้ามาเป็นชายและหญิง คงเป็นลูกชายและลูกสะใภ้ของชายชราหลังค่อมผู้นี้
“เฟยเอ๋อร์กลับมาแล้ว!”
ชายชราหลังค่อมตาเป็นประกาย รีบลุกขึ้นทันที
ยังไม่ทันหยิบไม้เท้าที่ทำจากกิ่งไม้ก็รีบเดินออกไปแล้ว
“ท่านพ่อ! พวกเรากลับมาแล้ว!”
ชายผู้นั้นพูดขึ้น
น้ำเสียงทุ้มต่ำ
เจ้าหมิงหมิงโผล่หน้าออกไปดู และเห็นว่าเป็นหนุ่มชาวเขาที่แข็งแรงกำยำ
ผิวเข้มเพราะโดนลมแดดจนคล้ำ
โกนผมสั้น และดูมีชีวิตชีวามาก
มีมีดยาวห้อยอยู่ที่เอว
ที่แขนซ้ายและลำคอคล้องบ่วงบาศ
เพียงแต่เขากลับเข้าบ้านมามือเปล่า
ดูเหมือนว่ากับดักที่เขาวางไว้ล่าหมูป่าคงไม่ได้ผล…
“เป็นอย่างไร จับไม่ได้หรือ”
ชายชราหลังค่อมถาม
“ไม่ได้…สัตว์พวกนี้…มันเจ้าเล่ห์ขึ้นเรื่อยๆ แล้ว!”
ชายหนุ่มบ่น
จากนั้นก็ค่อยๆ แกะบ่วงบาศที่พันอยู่รอบตัวออกแล้วโยนไปข้างๆ
“ฝนใกล้จะตกแล้ว พวกเราต้องรีบเก็บหนังสัตว์เหล่านี้เข้าบ้าน!”
ชายหนุ่มบอกกับภรรยาของเขา
แม้ว่าเจ้าหมิงหมิงจะเป็นคนนอก แต่นางก็มองออกว่าดูเหมือนสะใภ้ผู้นี้จะมีปัญหาบางอย่างกับสามีและพ่อสามีของนาง…
ไม่อย่างนั้นนางคงไม่ถึงกับไม่พูดคำปลอบใจสักคำ แต่ยังทำหน้าบึ้งอีก
แต่ใบหน้าของสะใภ้ผู้นี้ก็ยาวเป็นทุนเดิม พอทำท่าทางเช่นนี้ก็ยิ่งยาวขึ้นไปอีก ดูคล้ายๆ ม้าหรือลา
“ท่านพ่อ มีคนมาบ้านเราหรือ”
จู่ๆ ลูกสะใภ้ก็เอ่ยถามขึ้น
จำต้องกล่าวว่าสตรีละเอียดรอบคอบเพียงใด
เจ้าหมิงหมิงและเกาลัดคั่วน้ำตาลนั่งนิ่งอยู่ในบ้านไม่ส่งเสียง แต่สะใภ้คนนี้ก็ยังสังเกตเห็น
“มีแม่นางสองคนมาจากในเมือง เห็นว่าฝนใกล้จะตกจึงมาขอหลบฝนที่นี่!”
ชายชราหลังค่อมอธิบาย
เมื่อเจ้าหมิงหมิงเห็นว่าชายชราหลังค่อมแนะนำตัวนางก็รู้สึกไม่สบายใจที่จะนั่งนิ่งอยู่ต่อไป
นางจับมือเกาลัดคั่วน้ำตาลแล้วเดินออกไปนอกบ้านด้วยกัน อย่างน้อยก็ควรจะทักทาย เพื่อไม่เป็นการเสียมารยาท
“คุณหนูใหญ่จากในเมืองจริงๆ หรือนี่…”
สะใภ้ผู้นี้ถลึงตามองเจ้าหมิงหมิงและเกาลัดคั่วน้ำตาล
เงียบอยู่นานพอควรกว่าจะพูดคำที่ไม่เข้าหูและเต็มไปด้วยความริษยาออกมา
“รบกวนแล้ว!”
เจ้าหมิงหมิงพยักหน้าเล็กน้อยขณะพูด
“มาจากเมืองไหนล่ะ”
ลูกสะใภ้ถามขณะที่เก็บหนังสัตว์ในลาน
แสร้งทำทีไม่ใส่ใจพลางเหล่ตามองเจ้าหมิงหมิงสองสามครั้ง
“เมืองติ้งซีอ๋อง”
เจ้าหมิงหมิงตอบ
“โอ้โห! ไม่ธรรมดา…คุณหนูใหญ่จากเมืองอ๋อง เหตุใดถึงแจ้นมาที่ที่ห่างไกลอย่างนี้ได้เล่า…”
ลูกสะใภ้เอ่ย
น้ำเสียงเหยียดหยามยิ่งขึ้น!
“พวกเราออกมาเดินเล่นเพื่อผ่อนคลาย ยิ่งเดินยิ่งไกลขึ้นเรื่อยๆ พลันพบว่าฝนใกล้จะตก ไร้ทางเลือกจึงต้องมารบกวนแล้ว”
เจ้าหมิงหมิงกล่าวอย่างมีมารยาท
บนใบหน้ายังมีรอยยิ้มอบอุ่นอยู่เสมอ
เกาลัดคั่วน้ำตาลมองคุณหนูของตน รู้สึกว่านางรับมือได้ไม่ต่างจากที่เคยทำตอนอยู่เขาเรียงรัน
ในที่สุดเจ้าหมิงหมิงก็เข้าใจเรื่องหนึ่ง
นั่นคือหญิงสาวที่งดงามมักจะได้รับความรักและความเอ็นดูจากบุรุษเท่านั้น
แต่สำหรับสตรีด้วยกันกลับต้องเผชิญกับการแข่งขัน อิจฉาริษยา และเป็นปรปักษ์ต่อกัน
………………………………………….