ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 404 กุหลาบพันปีสีเลือดกลางฝนเย็น-13
บทที่ 404 กุหลาบพันปีสีเลือดกลางฝนเย็น-13
……….
“คุณหนู ฝนตกแล้วเจ้าค่ะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลเอ่ยขึ้น
ทว่าเจ้าหมิงหมิงไม่ตอบ
ฝนในฤดูใบไม้ร่วงทำให้หนาวเหน็บ ส่วนฝนในฤดูใบไม้ผลิกลับนำความอบอุ่นมาให้
เจ้าหมิงหมิงยืนนิ่งอยู่ข้างๆ บึงน้ำ จ้องมองหยดฝนที่เริ่มตกหนักขึ้น
ฝนทางพายัพไม่ตกชุกเหมือนทางใต้
มันตกลงมาเหมือนประทัด
บางครั้งก็ทำให้คนสดชื่น บางครั้งก็ทำให้คนจมดิ่ง
ไม่มีใครรู้ได้เลยว่าเวลานี้เจ้าหมิงหมิงรู้สึกอย่างไร
ไม่ว่าผู้ใดหากยืนนิ่งอยู่กับที่ คนอื่นมักจะคิดว่าเขากำลังครุ่นคิดบางอย่าง
แต่ที่จริงแล้วส่วนใหญ่นางกลับไม่ได้คิดอะไรเลย
เพียงแค่ปล่อยจิตให้ว่างเปล่าเท่านั้นเอง
………………………
“คุณหนู?…ฝนตกแล้วเจ้าค่ะ?!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลพูดขึ้นอีกครั้ง
น้ำเสียงดูเร่งรีบ
เจ้าหมิงหมิงหันกลับมาทันที ภาพตรงหน้ากลับเริ่มดูเหมือนภาพลวงตา
“ข้าหลับไปนานแค่ไหน”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยถามหลังจากลืมตาขึ้น
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าว
“สี่ห้าวัน? สรุปว่าสี่วันหรือห้าวันกันแน่”
เจ้าหมิงหมิงถาม
นางที่พึ่งตื่นขึ้นมายังรู้สึกมึนงงเล็กน้อย…
“น่าจะห้าวัน แต่ยังไม่ห้าวันเต็มๆ เจ้าค่ะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลตอบ
“ก่อนหน้านี้ยังคลุมเครืออยู่เลย แต่ทำไมตอนนี้เจ้าถึงมั่นใจแล้วล่ะ”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยถาม
“เพราะว่าข้าจะซื้อเกาลัดคั่วน้ำตาลมากินทุกๆ สองวันอย่างไรเล่าเจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลตอบ
“ข้ากลับไม่รู้สึกหิวเลยสักนิด…”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
อสูรไม่เหมือนมนุษย์
แม้จะกลายร่างแล้วก็สามารถหลับไปเป็นเวลานานได้
ต่อให้เจ้าหมิงหมิงจะหลับไปหนึ่งเดือน ก็ไม่ทำให้เกาลัดคั่วน้ำตาลรู้สึกแปลกใจ
“คุณหนูนอนหลับสบายดีหรือไม่เจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลเอ่ยถาม
“ก็ดี…แต่ข้าฝันไปเรื่อยเปื่อย”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“ฝันถึงอะไรหรือเจ้าคะ ไม่ใช่ว่า… ฮี่ฮี่!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลพูดพร้อมกับเสียงหัวเราะเย้าแหย่
“อันที่จริงข้าก็ไม่รู้ว่านั่นเรียกว่าฝันหรือไม่…หรือข้าเพียงทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ก่อนพวกเราลงจากเขาไปจนถึงเข้าเมืองใหม่อีกครั้ง”
เจ้าหมิงหมิงพูด
“แล้วเหตุใดจู่ๆ คุณหนูถึงนึกถึงเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาล่ะเจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลถาม
“ข้าก็ไม่รู้…บางทีอาจเป็นเพราะออกจากบ้านมานานเกินไป”
เจ้าหมิงหมิงพูดขณะยืดเส้นยืดสาย
“หรือคุณหนูต้องการกลับบ้านแล้วเจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลถาม
“แล้วเจ้าล่ะ”
เจ้าหมิงหมิงถามกลับ
“ข้าก็ยังปกติดีเจ้าค่ะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลตอบ
เจ้าหมิงหมิงพยักหน้า
นางก็รู้สึกเช่นนั้น
จนกระทั่งตอนนี้ นางถึงเพิ่งได้ยินเสียงดังมาจากหลังคารถม้า
“ฝนตกหรือ”
เจ้าหมิงหมิงถาม
“ฝนตกแล้วเจ้าค่ะคุณหนู เพิ่งเริ่มตกได้สักพักเองเจ้าค่ะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลตอบ
“บังเอิญจริง…ในฝันของข้าก็เพิ่งจะมีฝนตกเหมือนกัน”
เจ้าหมิงหมิงพูดพลางยิ้ม
“โลกมนุษย์ก็มีแต่เรื่องบังเอิญเช่นนี้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลหันกลับมา ยิ้มและขยิบตาให้เจ้าหมิงหมิง
“ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหน”
เจ้าหมิงหมิงถาม
นางหลับไปหลายวัน
ไม่รู้ว่าเกาลัดคั่วน้ำตาลพานางไปที่ไหนมาบ้าง
“คุณหนู พวกเรามาถึงอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องแล้ว ตอนนี้คือเขตรัฐเยี่ยน ข้ามแม่น้ำอีกหนึ่งสายก็จะเป็นรัฐหงแล้วเจ้าค่ะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลเอ่ย
แต่เจ้าหมิงหมิงกลับประหลาดใจเล็กน้อย
นางไม่คิดว่าเกาลัดคั่วน้ำตาลจะจัดการเรื่องราวต่างๆ ได้ชัดเจนถึงเพียงนี้
“พวกเราไปรัฐหงทำไม”
เจ้าหมิงหมิงถาม
นางคิดว่าเกาลัดคั่วน้ำตาลคงจะสำรวจมาล่วงหน้าแล้ว รัฐหงคงจะมีบางอย่างที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
“รัฐหงเป็นรัฐใหญ่ที่สุดในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง ไม่เพียงแค่มีทหารและอาหารครบครัน แต่หัวเมืองรัฐหงยังใหญ่รองลงมาจากเมืองอ๋องของอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องเลยทีเดียวเจ้าค่ะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลตอบ
“ไม่คิดว่าเจ้าจะศึกษามาดีถึงเพียงนี้ สี่วันที่ผ่านมาช่างไม่เสียเปล่าจริงๆ”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ย
“อีกอย่างรัฐหงก็เป็นที่ตั้งของสายแร่ในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องด้วยเจ้าค่ะ!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลเอ่ย
เจ้าหมิงหมิงถาม
“ข้าก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันเจ้าค่ะ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นทองคำก็ได้!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลพูด
“เจ้านี่นะ ช่างหลงรักเงินจริงๆ…หรือเจ้ายังคิดถึงตั๋วเงินที่ทำหายพวกนั้นอยู่”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยพลางยิ้ม
“แน่นอนสิเจ้าคะ! นั่นเป็นของของพวกเรานะ! พวกเราก็ต้องหามาคืนไม่ใช่หรือ!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลพูดพลางมุ่ยปาก
ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ
เดิมขาสองข้างของนางแกว่งไปมานอกรถม้า ตอนนี้ดึงกลับมานั่งขัดสมาธิแล้ว
พื้นดินเริ่มแฉะเละเทะมากขึ้น ความเร็วของรถม้าจึงช้าลง
“รถม้านี่ไม่เอาไหนจริงๆ…ฝนตกแค่นี้ก็วิ่งไม่ได้แล้ว!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าวอย่างโมโห
จากนั้นก็ยกสายบังเหียนขึ้นแล้วฟาดลง
ม้าร้องเสียงดัง แต่ความเร็วยังคงเท่าเดิม
“แน่นอนว่ามันไม่เหมือนรถม้าคันก่อน…แต่หายไปแล้วก็คือหายไป เปิดใจกว้างหน่อย อย่าคิดหยุมหยิมนักเลย!!”
เจ้าหมิงหมิงตอบ
“ไอ้พวกมนุษย์สมควรตาย…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลพึมพำด้วยความหงุดหงิด
“มนุษย์ก็ไม่ได้แย่หมดหรอก…อย่างน้อยชายชราที่เจอก่อนหน้านี้หรือนายพรานหนุ่มก็ไม่ได้แย่!”
เจ้าหมิงหมิงพูด
เกาลัดคั่วน้ำตาลพูด
“เจ้าก็คิดเสียว่าเป็นความสมดุลแล้วกัน ระหว่างพวกเราเก้าบรรพตก็เป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ ตราบใดที่เป็นสิ่งมีชีวิต เมื่อมีสติปัญญาก็จะต่อสู้ไม่รู้จบ สิ่งนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงไม่ได้”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“คุณหนูพูดถูก!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลตอบ
แม้ว่านางจะไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของเจ้าหมิงหมิง
แต่คำพูดของคุณหนูถูกต้องเสมอ
หลังจากเจ้าหมิงหมิงพูดจบ นางก็จมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง
แม้ว่าอสูรในเก้าบรรพตจะลงนามในข้อตกลงกับอาณาจักรห้าอ๋องของมนุษย์ แต่ความขัดแย้งและข้อพิพาทก็ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เจ้าหมิงหมิงปรารถนาอย่างยิ่งว่าเก้าบรรพตกับโลกมนุษย์จะสามารถรักษาสมดุลพื้นฐานร่วมกันไว้ได้
ไม่ต้องถึงกับเป็นมิตรไมตรีกัน แค่ไม่รุกรานกันเป็นพอ
ทว่าเจ้าเจ๋อบิดาของนางกลับมองว่าข้อตกลงกับมนุษย์เป็นเพียงแผนการยืดเวลาเท่านั้น
เมื่อเวลาอันเหมาะสมมาถึงและพลังอำนาจเพียงพอ เก้าบรรพตจะระดมอสูรทั่วทุกหัวระแหง เพื่อย้อนกลับไปโจมตีโลกมนุษย์
ทุกครั้งที่เจ้าหมิงหมิงคิดเรื่องเหล่านี้ นางก็จะรู้สึกกังวลอย่างยิ่ง…
โดยเฉพาะหลังจากที่นางเดินทางในโลกมนุษย์มาเนิ่นนาน ความกังวลในใจของนางก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
แม้ว่าอสูรจะมีข้อได้เปรียบตามธรรมชาติมากมาย แต่ในฐานะที่เท่าเทียมกับมนุษย์และมีสติปัญญาแล้ว สุดท้ายแล้วพวกมันก็เป็นผู้มาทีหลัง
แม้ในอดีตมนุษย์เคยล่าอสูรจำนวนมาก ซึ่งถือว่าเป็นการทำลายสมดุลก่อน แต่ในเมื่อลงนามข้อตกลงกันและสร้างสมดุลใหม่ขึ้นแล้ว ก็ควรหยุดความคิดที่อันตรายและทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ
ไม่ว่าจะเป็นในโลกมนุษย์หรือเก้าบรรพต
สิ่งที่โลกนี้ต้องการที่สุดก็คือความสมดุล
แต่การจะทำให้โลกนี้สมดุลนั้น ความรู้สึกและความคิดของทุกคนก็จะต้องมีความสมดุลด้วย
อสูรมักจะรุนแรง พวกมันเชื่อว่าความสมดุลหมายถึงความอ่อนแอและถดถอย
แต่เจ้าหมิงหมิงคิดว่าความสมดุลเป็นเพียงการแสดงออกทางอารมณ์และเหตุผลที่เป็นกลางเท่านั้น
หากเข้าใจความสมดุลได้ ก็จะสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ รอบข้างและสภาพแวดล้อมได้ดียิ่งขึ้น และความสามารถในการควบคุมตัวเองต่อโลกอันกว้างใหญ่นี้ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
หากสูญเสียความสมดุลนี้ไป ไม่เพียงแต่มนุษย์เท่านั้น แต่ทั้งโลกก็จะพังทลายลง
สงครามก็เกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ไม่ใช่หรือ
แต่ถึงอย่างไรอสูรก็มีความลำบากใจของพวกมันเอง…
แม้ที่อยู่อาศัยของเจ้าหมิงหมิงจะดีแค่ไหน แต่สภาพแวดล้อมที่อสูรส่วนใหญ่อาศัยอยู่ก็ยังย่ำแย่อย่างยิ่ง
เมื่อเป็นเช่นนี้ความคิดที่ไม่สมจริงมากมายจึงถือกำเนิดขึ้น แต่เมื่อต้องการทำให้ความคิดเหล่านั้นเป็นจริง ก็ยังคงถูกขัดขวางด้วยสภาพแวดล้อมที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง
ผู้ปกครองเก้าบรรพตทุกตนกำลังพยายามอย่างเต็มที่ที่จะลดข้อจำกัดเหล่านี้ลง
แต่หากต้องการปลดปล่อยตนเองออกจากข้อจำกัดเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง ก็ต้องพร้อมที่จะทำลายสมดุลโดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา
ในตอนแรก เจ้าหมิงหมิงยังชอบที่จะพูดคุยกับบิดาของนางอยู่บ้าง
พูดถึงมุมมองของนางเกี่ยวกับอนาคตของเก้าบรรพต พูดถึงโลกมนุษย์และเก้าบรรพตจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร
ความคิดของสตรีมักจะละเอียดอ่อน
ก่อนที่เจ้าหมิงหมิงจะมุ่งหาความสมดุลระหว่างเก้าบรรพตกับโลกมนุษย์ นางยังปรับทัศนคติของตนเองอยู่เสมอ
หากใจของนางเอนเอียงไปทางใดทางหนึ่งเพียงเล็กน้อย ก็จะไม่สามารถหาทางออกที่ถูกที่ควรได้
สิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาทุกตนต่างก็ต้องการที่พึ่งทางอารมณ์
มนุษย์จะไปจุดธูปที่ศาลเจ้า ไปสักการะบรรพบุรุษในวันเช็งเม้ง
อสูรก็เช่นกัน
ทว่าพวกมันกลับวางอารมณ์ไว้ในโลกมนุษย์
มักจะรู้สึกว่าในโลกอันงดงามนี้ พวกมันได้แต่อยู่ในซอกหลืบ หลบซ่อนอยู่บนเก้าบรรพตอย่างไม่เป็นธรรม
ถึงขั้นถือว่าเป็นการดูถูก
ความทะเยอทะยานไม่แบ่งแยกว่าใครมาก่อนหรือมาหลัง
อสูรเหล่านั้นสามารถทุ่มเทความปรารถนาอันแรงกล้านี้ได้อย่างไม่ลังเล
เมื่ออุทิศตนจนถึงขั้นต้องเสียสละ แล้วย้อนกลับมามองตัวเองก็จะพบกับสภาวะที่สมดุลแล้ว
พลังอำนาจของตัวเองและการแสวงหาความทะเยอทะยาน
เจ้าหมิงหมิงเคยบอกบิดาของนางว่า
“ในโลกนี้ ทุกสิ่งที่อยู่ขั้นสุดโต่งมักจะเป็นเพียงความสุขชั่วคราว มีเพียงวิถีทางแห่งความสมดุลเท่านั้นจึงจะสามารถรองรับทุกสรรพสิ่งได้ และมีเพียงการกระทำที่เป็นกลางเท่านั้นจึงจะยั่งยืนยาวนาน หากเอนเอียงไปทางใดทางหนึ่ง สุดท้ายทุกสิ่งก็จะพังทลายลงและสูญสลายไม่เหลืออะไรในที่สุด”
แต่เจ้าเจ๋อกลับดูแคลนความคิดเช่นนี้
ถึงขั้นคิดว่าเจ้าหมิงหมิงอ่านหนังสือของมนุษย์มากเกินไป จนทำให้ความคิดของนางไม่เอนเอียงไปทางเผ่าพันธุ์ของตนเอง!
เจ้าหมิงหมิงรู้สึกจนปัญญาอย่างยิ่ง…
นางอ่านหนังสือมนุษย์เยอะก็จริง
แต่หนังสือเหล่านี้ล้วนเป็นหนังสือที่บิดาของนางหยิบยื่นให้นางอ่านตั้งแต่แรก
อีกอย่าง ความคิดที่เน้นความสมดุลนี้ ก็ไม่ใช่เพื่อให้เก้าบรรพตและเผ่าพันธุ์ของนางยืนหยัดได้อย่างภาคภูมิในโลกนี้นานขึ้นหรอกหรือ
ทำไมบิดาของนางกลับไม่เข้าใจ…
มนุษย์เป็นผู้ปกครองโลกมนุษย์ เป็นเรื่องที่กฎของธรรมชาติยอมรับแล้ว
หากอสูรยังคงดิ้นรนอยู่ฝ่ายเดียว ความโศกเศร้าที่จะเกิดขึ้นนั้นไม่ต้องเอ่ยถึง…
เจ้าหมิงหมิงรู้สึกว่าบิดาของนางมั่นใจในความสามารถของอสูรเก้าบรรพตมากเกินไป
ในขณะที่เจ้าเจ๋อกลับคิดว่าบุตรสาวของตัวเองไม่มีความกล้าหาญเลยสักนิด!
ที่จริงแล้ว แต่ไรมาจิตใจของเจ้าหมิงหมิงก็ไม่ถ่อมตนหรืออวดดีเกินไป และไม่เย็นหรือร้อนจนเกินไป
ถึงอย่างไร ‘ผู้รู้จักปรับตัวตามสถานการณ์คือคนฉลาด’ ก็ไม่ใช่คำพูดที่ไร้เหตุผล
แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงในสามสิบปีที่ผ่านมา แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ใช่ช่วงที่อสูรเก้าบรรพตจะรุ่งเรือง
ก่อนที่ช่วงเวลานั้นจะมาถึง สิ่งที่ทำได้มีเพียงอดทน
อดทนและยืดหยุ่นจึงจะเป็นวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลที่สุด
ท้ายที่สุดแล้ว ความปรารถนาย่อมไม่มีที่สิ้นสุด หากควบคุมตนเองที่จะสร้างความสมดุลระหว่างการสูญเสียและการได้รับมาได้ไม่มากพอ ก็มีแต่จะถูกไฟเผามือเหมือนกับการถือคบเพลิงต้านลม
หากแข็งข้อไป มักจะก้าวไปสู่ความรุนแรงสุดขั้ว สุดท้ายจะสูญเสียตัวตนและความสามารถในการคิดไปในที่สุด
เจ้าหมิงหมิงจึงมองว่าความคิดเช่นนี้ของอสูรคือความไม่รู้
……………………………………………
……….