ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 405 กุหลาบพันปีสีเลือดกลางฝนเย็น-14
บทที่ 405 กุหลาบพันปีสีเลือดกลางฝนเย็น-14
……….
ตลอดการเดินทางนี้ นางไปที่ใดก็จดจำทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้พบเห็นอย่างจริงจัง
หวังว่าเมื่อกลับไปยังเขาเรียงรันแล้ว บันทึกเหล่านี้จะสามารถเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในใจบิดานางบ้าง
ถึงอย่างไร นี่ก็เป็นสิ่งเดียวที่นางสามารถทำได้ในตอนนี้…
“เจ้าว่า ถ้าพวกเราจากเก้าบรรพตได้ลงมายังโลกมนุษย์จริงๆ จะเป็นอย่างไร”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยขึ้น
ประโยคนี้ดูเหมือนจะถามเกาลัดคั่วน้ำตาล แต่จริงๆ แล้วเจ้าหมิงหมิงพูดกับตัวเอง
แม้ว่าปกตินางจะดูเย็นชา เหมือนสิ่งรอบตัวไม่เกี่ยวกับนางจึงไม่สนใจ
แต่ในใจนางนั้นร้อนรุ่มอยู่เสมอ
นี่ไม่ใช่เจตนาหรือนิสัยของนางเอง
แต่เป็นความรับผิดชอบที่ติดตัวนางมาตั้งแต่กำเนิด
เป็นหลักจริยธรรมแห่งมนุษย์ที่นายพรานหนุ่มพูดถึง
ในฐานะลูกสาว นางต้องคำนึงถึงอนาคตของบิดาและครอบครัวของนาง
แต่บิดาของนางเป็นผู้นำเผ่าและผู้ปกครองเขาเรียงรัน
คนนอกมองเห็นเพียงการใช้ชีวิตอย่างสุขสบายของของเจ้าหมิงหมิง ไหนเลยจะรับรู้ถึงภาระที่นางต้องแบกรับ
“หากมาโลกมนุษย์กันหมด? คงต้องเลือดตกยางออกไม่น้อยเจ้าค่ะ…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลเอ่ย
“หมายความว่าอย่างไร”
เจ้าหมิงหมิงถาม
คำพูดของเกาลัดคั่วน้ำตาลทำให้นางเบิกตาโต
“เพราะมนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่เห็นแก่ตัวมากเจ้าค่ะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าว
“หากเห็นแก่ตัวก็ไม่น่าจะยุ่งเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตนเองไม่ใช่หรือ ทำไมจึงต้องมีเลือดตกยางออกล่ะ”
เจ้าหมิงหมิงถามต่อ
“ถ้าไม่มีแรงกดดันจากภายนอก มนุษย์ก็จะสู้กันเองไม่หยุดหย่อน…สุดท้ายไม่มีใครยอมใครหรอก คุณหนูดูอย่างอาณาจักรห้าอ๋องสิเจ้าคะ ภายนอกดูสุภาพถ่อมตน แต่ในความเป็นจริงจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือ พวกเราที่เก้าบรรพตก็ไม่ได้สนิทสนมกันมากมายนักหรอกเจ้าค่ะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าว
เจ้าหมิงหมิงพยักหน้า
และเริ่มมองเกาลัดคั่วน้ำตาลด้วยสายตาใหม่
นางนึกว่าเด็กน้อยคนนี้ก็แค่ชอบเล่นสนุก
ขอแค่มีของอร่อยและเล่นสนุกได้ก็จะมีความสุขไปวันๆ ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
ใครจะคิดว่าความคิดของนางจะลึกซึ้งและทะลุปรุโปร่งถึงเพียงนี้
“แต่เมื่อมีอำนาจภายนอกเข้ามา มนุษย์ก็สามารถรวมเป็นหนึ่งได้ในพริบตา ตอนที่มนุษย์บุกรุกเก้าบรรพตในอดีต พวกเราเก้าบรรพตก็ละความขัดแย้งภายในและร่วมมือกันต่อสู้เช่นกันไม่ใช่หรือ หากไม่ร่วมมือกันจะมีวันนี้ได้หรือเจ้าคะ พวกเราคงถูกมนุษย์ล่าสังหารจนหมดสิ้น เยาตันในร่างคงถูกดึงออกไปนานแล้วเจ้าค่ะ…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าวต่อ
“ดังนั้นทางที่ดีที่สุดก็คืออยู่อย่างสงบ”
เจ้าหมิงหมิงพูดขึ้น
“ใช่แล้ว! พวกนักปราชญ์เหล่านั้นก็ยกย่องความพอดีไม่ใช่หรือเจ้าคะ เราก็ควรเรียนรู้จากพวกเขา!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าว
เจ้าหมิงหมิงยิ้มเบาๆ คำว่า ‘ความพอดี’ นั้นพูดง่าย แต่ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานนี้ ในโลกมนุษย์ก็มีไม่กี่คนที่ทำได้จริง
ตัวมันเองก็เพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจแล้ว
หากยังคงดื้อดึงต่อก็อาจนำไปสู่การล่มสลาย
เมล็ดของถั่วลิสงฝังลึกใต้ชั้นดิน
อันหนึ่งซ่อนเร้น อันหนึ่งเปิดเผย
เจ้าหมิงหมิงก็ไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าวิธีไหนดีกว่ากัน แต่การมีทั้งสองอย่าง ไม่เลือกเดินสุดโต่งเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด
ซ่อนไว้แต่ไม่ปิดบัง สืบไปชั่วอายุคน
เปิดเผยแต่ไม่ซ่อนเร้น อันตรายข้างกาย
เพียงรู้จักซ่อนเร้นและเปิดเผยให้พอดี นั่นแหละคือหลักความพอดี
เจ้าหมิงหมิงตั้งใจจะพูดคุยกับบิดาของนางถึงหลักการนี้ก่อนที่นางจะออกเดินทาง แต่เมื่อนึกถึงท่าทีของเขาครั้งก่อน ก็ตัดสินใจไม่พูดดีกว่า
ไม่ต้องพูดถึงว่าอสูรเกลียดชังหลักการเหล่านี้ของมนุษย์ตั้งแต่แรกเกิด
โดยเฉพาะหลักความสมดุลและความพอดี พวกมันรู้สึกว่าเป็นเพียงวิธีครึ่งๆ กลางๆ ไม่เด็ดเดี่ยว และคลุมเคลือ
“พวกเราต้องหาจังหวะที่เหมาะสมเสียก่อน…”
เจ้าหมิงหมิงพูดขึ้น
“คุณหนูคิดว่าเมื่อไรจึงจะเป็นจังหวะที่เหมาะสมหรือเจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลถาม
“ข้าไม่รู้…แต่ไม่ใช่ตอนนี้แน่นอน!”
เจ้าหมิงหมิงพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ไม่รู้ว่าพวกเราจะได้เห็นจังหวะนั้นมาถึงหรือไม่”
เกาลัดคั่วน้ำตาลพลันทอดถอนใจ
เจ้าหมิงหมิงมองแผ่นหลังของนาง รู้สึกว่านางดูเหมือนคนแก่
“อย่าคิดมาก! รีบหาที่หลบฝนเถอะ! ข้าว่าม้าก็เหนื่อยและหิวแล้ว…”
เจ้าหมิงหมิงพูด
“มันไม่เหนื่อยหรอก! ข้าจะบอกให้ม้าตัวนี้มันขี้เกียจจะตายเจ้าค่ะ!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลพูด
“เพราะอะไรหรือ เจ้าทำร้ายมันหรือ”
เจ้าหมิงหมิงถาม
“คุณหนู…เป็นมันที่ทำร้ายข้ามากกว่าเจ้าค่ะ…เมื่อเจอทางราบเรียบ ไม่ว่าจะตะโกนดุด่าแค่ไหนมันก็ไม่ยอมเดิน…แต่พอเจอทางขรุขระ ไม่ต้องไล่ด้วยซ้ำ มันก็วิ่งราวกับบินได้ทีเดียว ทำเอาข้าที่นั่งอยู่เจ็บก้นไปหมด…คุณหนูว่าข้าคือผู้ถูกกระทำหรือไม่ล่ะเจ้าคะ!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลพร่ำบ่นอย่างน้อยใจ
“อาจจะเป็นเพราะก่อนหน้านี้เจ้าไม่ดีกับมัน มันจึงหาโอกาสแก้แค้นเจ้า! แม้ม้าตัวนี้จะยังไม่มีสติปัญญา แต่มันก็มีความคิดและสำนึก เจ้าทำกับมันอย่างไร มันย่อมจดจำจนเอาคืนเจ้าเหมือนกัน”
เจ้าหมิงหมิงพูด
“ทำไมคุณหนูถึงชอบพูดเข้าข้างคนอื่นนักล่ะเจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลมุ่ยปาก พูดอย่างไม่พอใจ
“ข้าไม่เคยพูดเข้าข้างใคร ข้าพูดตามเหตุผลเสมอ”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“มิน่าล่ะชาวเผ่าถึงพูดกันว่าคุณหนูไร้น้ำใจไร้คุณธรรม…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลพึมพำเบาๆ
เจ้าหมิงหมิงได้ยินเข้าก็ตกตะลึง
จากนั้นหัวเราะออกมาอย่างเศร้าสร้อย
นางมีความรักล้นเหลือต่อเผ่าพันธุ์ของตัวเองและต่อเขาเรียงรันมาโดยตลอด
ในประวัติศาสตร์มนุษย์ มีเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับการทำลายความสัมพันธ์เพื่อความชอบธรรม
สิ่งเหล่านั้นคือตัวอย่างของผู้ที่ยืนอยู่ข้างเหตุผล แต่ไร้น้ำใจไร้คุณธรรม
เจ้าหมิงหมิงทำไม่ได้ถึงขนาดนั้น
หลายครั้งความเยือกเย็นของนางก็เพียงเพื่อไม่ให้ถูกอารมณ์ความรู้สึกพัดพาไป และสามารถตัดสินใจได้ดีที่สุดเพื่อเผ่าพันธุ์และเขาเรียงรัน
แต่ความไม่เข้าใจและการตำหนิจากคนในเผ่าก็ทำให้นางรู้สึกเหนื่อยหน่าย
“ไร้น้ำใจใช่เป็นวีรบุรุษผู้กล้า ความรักใช่มีเพียงบุรุษ….”
เจ้าหมิงหมิงกล่าวเบาๆ
“คุณหนู ท่านเป็นสตรี บุรุษที่กล้าหาญอะไรกันเจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลพูดพลางหัวเราะ
“พวกที่เรียกว่าวีรบุรุษผู้กล้ามักประกาศก้องว่าตนทำเพื่อผู้อื่นมากน้อยเพียงใด และพวกเขาตัดสินใจทุกอย่างได้โดยไม่มีอคติหรืออารมณ์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง คนเช่นนั้นจะมีจริงหรือไม่นั้นไม่ต้องพูดถึง แต่ท่านคิดว่านั่นคือทางที่ถูกต้องจริงหรือเจ้าคะ ต่างว่ากันว่า ‘เสือยังไม่กินลูก’…ตอนเรายังไม่มีสติปัญญาและเป็นเพียงสัตว์ป่ายังรู้จักการปกป้องครอบครัวและลูกหลาน แต่ท่านดูพวกมนุษย์สิ รวมถึงเก้าบรรพตของเราด้วย มีกี่คนที่เมื่อมีสติปัญญาแล้วกลับละทิ้งกระทั่งสิ่งที่พื้นฐานที่สุดนี้? คุณหนูคิดว่านี่คือความก้าวหน้าหรือการถดถอยล่ะเจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าวต่อ
“คำพูดนี้ของเจ้าเหมือนกำลังตำหนิข้านะ…”
เจ้าหมิงหมิงกล่าวเรียบๆ
“ไม่เลยเจ้าค่ะคุณหนู…ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลพูดด้วยความหวาดกลัว
นางหันกลับไปมองเล็กน้อย
กลัวว่าเจ้าหมิงหมิงจะโกรธจริงๆ
“ผู้อื่นเป็นอย่างไรข้าไม่รู้ ข้าไม่กล้าพูดในสิ่งที่ไม่รู้ ส่วนตัวข้า ข้าไม่คิดอย่างนั้น คนในเผ่าเราเมื่อดื่มสุรา พวกเขาเคยฉุกคิดบ้างหรือไม่ว่าพรุ่งนี้จะยังมีเหล้าให้ดื่ม? เมื่อกินเนื้อ พวกเขาเคยฉุกคิดหรือไม่ว่าพรุ่งนี้จะยังมีเนื้อให้กิน? พวกเขามักมองว่าการเตรียมพร้อมล่วงหน้าคือการทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่โต แม้แต่บิดาของข้าก็เช่นกัน…แต่ถ้าเจ้าจริงจังพอที่จะคิดถึงเรื่องเหล่านี้ เจ้าก็คงจะเหมือนข้า ไม่สามารถดื่มเหล้าหรือกินเนื้อได้อีกต่อไป”
เจ้าหมิงหมิงพูดต่อ
เกาลัดคั่วน้ำตาลไม่ตอบ
นางกลัวว่าหากไม่ระวังจะพลั้งพูดไม่เข้าหูอีก
ถึงแม้นางจะสนิทสนมกับเจ้าหมิงหมิง แต่ถึงอย่างไรพวกนางก็เป็นนายกับข้ารับใช้
ข้ารับใช้ทำให้นายไม่พอใจย่อมเป็นการกระทำที่ไม่เคารพ
ตอนนี้เกาลัดคั่วน้ำตาลจะกล้าพูดอะไรได้หรือ
“นายพรานหนุ่มคนนั้นดื่มเหล้าเพื่อคลายหนาว ชีวิตและสภาพแวดล้อมบังคับไม่อาจเลี่ยงได้ ในหัวเมืองรัฐติง พวกเราดื่มสุรากับหลิวรุ่ยอิ่งเพื่อความสนุกสนานเป็นส่วนใหญ่ อีกส่วนหนึ่งก็เพื่อเรียนรู้มนุษย์มากขึ้นใช่หรือไม่”
เจ้าหมิงหมิงกล่าวต่อ
“คุณหนูพูดเช่นนี้เหมือนกำลังล้อเล่น!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าว
พูดจบนางก็รู้สึกเสียใจทันที…
เหตุใดตัวเองถึงควบคุมปากไม่ได้
เมื่อครู่นี้คุณหนูก็ดูไม่ค่อยจะมีความสุขอยู่แล้ว…ทำไมตนไม่พูดตามน้ำนางไป
รอให้นางพูดจนสบายใจแล้ว ความไม่สบายใจทั้งหลายก็จะมลายหายไป
ตนกลับพูดเรื่องที่ไม่ควรพูด…
“ไม่ผิด…แท้จริงแล้วไม่มีใครดีเด่อย่างที่ตัวเองคิดหรอก ข้าดื่มกับเขาเพราะข้ารู้สึกว่าเขาเป็นคนที่น่าสนใจ นั่นเป็นความรู้สึกส่วนตัวของข้า ไม่เกี่ยวกับสิ่งอื่นใด”
เจ้าหมิงหมิงถอนหายใจและพูดอย่างช้าๆ
เกาลัดคั่วน้ำตาลไม่คิดว่าคุณหนูจะยอมรับมันออกมาตรงๆ เช่นนี้
“คุณหนูมีความรู้สึกต่อเขา…”
“ข้ามีความรู้สึกที่แตกต่างต่อเขา”
เจ้าหมิงหมิงรีบพูดตัดบท
“หมายความว่าคุณหนูชอบเขาหรือเจ้าคะ แต่เขาเป็นมนุษย์นะ!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลพูดด้วยความตกใจ
“เป็นมนุษย์แล้วอย่างไร ก็เป็นอย่างที่เจ้าพูด พวกเราทุกคนล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาในโลกนี้เท่านั้น ในเมื่อมีสติปัญญาแล้วจะแบ่งแยกอะไรกันอีก สูงต่ำงั้นหรือ”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
ในเมื่อพูดออกไปแล้ว นางก็ไม่ปิดบังอีกต่อไป
“ถ้ามองข้ามจุดนี้ไป…จริงๆ แล้วหลิวรุ่ยอิ่งก็เป็นคนที่น่าสนใจคนหนึ่ง แต่ติดที่ดูซื่อบื้อไปหน่อยเจ้าค่ะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าว
“เขาไม่ซื่อบื้อเลยสักนิด”
เจ้าหมิงหมิงยิ้มและกล่าว
“คุณหนูก็เริ่มพูดปกป้องเขาแล้ว”
เกาลัดคั่วน้ำตาลเย้าแหย่
“ผู้คนมักคิดว่าคนที่จดจ่อกับเป้าหมายหนึ่งๆ คือคนโง่ แต่นั่นแหละที่เป็นสัญญาณของความฉลาดที่แท้จริง”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“เช่นนั้นคุณหนูคิดว่าข้าฉลาดหรือไม่”
เกาลัดคั่วน้ำตาลถาม
“เจ้าน่ะ…ฉลาดเกินไป! ระวังจะฉลาดเกินไปจนเสียรู้!”
เจ้าหมิงหมิงตอบ
เกาลัดคั่วน้ำตาลแค่นเสียงเบาๆ อย่างไม่พอใจ
“คุณหนู นั่นอะไรน่ะ”
จู่ๆ เกาลัดคั่วน้ำตาลก็เอนตัวไปข้างหน้า พูดพลางชี้ไปยังสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า
เจ้าหมิงหมิงได้ยินจึงมองไปข้างหน้า เหมือนจะมีคนนอนตะแคงอยู่กลางทาง
แต่ฝนตกหนัก…จนทำให้มองไม่ชัด
“มีกลิ่นคาวเลือดจางๆ…”
เจ้าหมิงหมิงพูดขณะดมกลิ่นในอากาศ
……………………………………………
……….