ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 406 กุหลาบพันปีสีเลือดกลางฝนเย็น-15
บทที่ 406 กุหลาบพันปีสีเลือดกลางฝนเย็น-15
……….
กลิ่นในฝนเป็นสิ่งที่แพร่กระจายได้ยากอยู่แล้ว
โดยเฉพาะฝนที่ตกหนักและเม็ดใหญ่เช่นนี้
เจ้าหมิงหมิงเป็นอสูร ประสาทสัมผัสของนางย่อมคมกว่ามนุษย์อยู่แล้ว
หากเป็นคนธรรมดา คงไม่สามารถได้กลิ่นเลือดแม้แต่น้อย
ทว่าเมื่อมีกลิ่นเลือด ย่อมหมายความว่ามีคนกำลังเสียเลือด
แน่นอนว่าคนนั้นไม่ใช่เจ้าหมิงหมิงหรือเกาลัดคั่วน้ำตาล
นอกจากพวกนางแล้ว บนเส้นทางนี้ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่
มีเพียงร่างที่นอนคว่ำหน้าอยู่กลางถนนหน้ารถม้าเท่านั้น
“คุณหนู…เป็นมนุษย์หรือเจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลถาม
ดูเหมือนนางจะรู้สึกกลัวอยู่บ้าง
นางเคยเห็นคนตายมาก่อน
แต่ไม่ว่าจะเห็นคนตายมากี่ครั้งก็ยังรู้สึกหวาดกลัว
ตามคำเล่าลือว่ากันว่า เคยมีนักฆ่าที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในยุทธภพ
ทุกครั้งหลังจากสังหารเสร็จ เขามักจะอาเจียนไม่หยุดเหมือนนักฆ่ามือใหม่ที่พึ่งเริ่มทำงาน
หลังจากอาเจียนเสร็จ เขาก็จะไปดื่มเหล้า
สหายของเขาไม่เคยเข้าใจพฤติกรรมนี้
ใช่แล้ว นักฆ่าก็มีสหายเช่นกัน
แต่สหายของเขา หากไม่ใช่คนที่เขาฆ่าไม่ได้ ก็ต้องเป็นคนที่เขาไม่ต้องการฆ่า หรือไม่ก็คนที่เป็นนักฆ่าเหมือนกันกับเขา
และอาหารที่ว่านี้ก็ไม่ควรเป็นอาหารที่มันเลี่ยนหรือรสจัดมากเกินไป ดื่มน้ำแกงอ่อนๆ หรือโจ๊กจะดีที่สุด
แต่ไม่ควรดื่มเหล้าเด็ดขาด
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับนักฆ่าคือร่างกาย
ไม่ว่าจะเป็นท่าทางที่ว่องไวขณะสังหารคน หรือท่าร่างที่คล่องแคล่วขณะหลบหนี ล้วนต้องอาศัยร่างกายที่แข็งแรง
แต่นักฆ่าผู้นี้ไม่เป็นเช่นนั้น
เขาชอบดื่มสุรา
เหตุผลของเขาคือสุราหมักจากอาหารและน้ำ
โจ๊กก็ทำจากข้าวและน้ำเหมือนกัน
ดื่มสุรากับกินโจ๊กก็ไม่มีอะไรต่างกัน
กินโจ๊กอาจจะทำให้เขาพะอืดพะอมอยากอาเจียนกว่าเดิมด้วยซ้ำ
แต่ดื่มสุราไม่เป็นเช่นนั้น
กลับจะทำให้เขารู้สึกสบายทั้งกายและใจ
แม้เกาลัดคั่วน้ำตาลไม่ใช่นักฆ่า
แต่ตอนนี้นางอยากดื่มสุรามาก…
ในถุงกระดาษที่อยู่ข้างมือยังมีเกาลัดคั่วน้ำตาลเหลืออยู่ครึ่งถุง
นางหยิบขึ้นมากินและเคี้ยวอยู่นาน แต่ก็ยังกลืนลำบาก…
นางรู้สึกเหมือนถูกคนยัดฝ้ายเข้าไปติดอยู่กลางลำคอ
ไม่เหลือช่องว่างแม้แต่นิดเดียว
แม้แต่น้ำก็ดื่มไม่ลง
เกาลัดคั่วน้ำตาลแปลกใจที่ตัวเองอยากจะดื่มสุรา เพราะนางเคยดื่มไม่กี่ครั้ง…
ไม่มีทางเลือก จึงหันหน้าไปด้านข้างและพ่นเมล็ดเกาลัดคั่วน้ำตาลที่เคี้ยวแล้วออกมาทั้งหมด
ไม่เพียงเท่านั้น เกาลัดคั่วน้ำตาลยังขย้อนออกมาเสียงดังอีกด้วย
“ไร้ประโยชน์จริงๆ…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลตบหัวตัวเองอย่างแรงพลางเอ่ยปาก
เมื่อนางหันกลับไปมองด้านหน้าอีกครั้ง ก็เห็นว่าเจ้าหมิงหมิงเดินไปแล้ว
“เป็นมนุษย์นี่!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลวิ่งตามไปดูและกล่าว
“ทั้งยังเป็นเด็กสาวอีกด้วย”
เจ้าหมิงหมิงพยักหน้ากล่าว
เด็กสาวนอนคว่ำอยู่กับพื้น
พื้นดินที่เปียกโคลนกลายเป็นหลุมลึกมีรูปร่างเหมือนกับร่างของนาง
ดูเหมือนว่านางจะอยู่ที่นี่มาสักพักแล้ว
นางสวมชุดกระโปรงลายดอกไม้
เจ้าหมิงหมิงสังเกตเห็นว่าลายดอกไม้นี้ล้วนเป็นดอกโบตั๋นทั้งหมด
มีสีสันสดใส รวมกันเป็นกระจุกๆ อย่างหนาแน่น
ในโลกมนุษย์มักจะเรียกดอกโบตั๋นว่าเป็นดอกไม้แห่งความมั่งคั่งร่ำรวย
มักจะเชื่อมโยงกับเงินทองและสถานะอย่างแนบแน่น
เด็กสาวคนนี้สวมชุดกระโปรงที่มีลายดอกโบตั๋น ต่อให้ต่ำต้อยเพียงใด ก็น่าจะเป็นบุตรสาวของตระกูลใหญ่
เพียงแต่ทำไมถึงได้นอนอยู่ที่นี่ในคืนฝนตก?
เจ้าหมิงหมิงพลันรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ชุดกระโปรงของเด็กสาวคนนี้ไม่ใช่ลายดอกโบตั๋น
แต่เป็นดอกกุหลาบพันปี
ดอกกุหลาบพันปีสีขาว
ส่วนใหญ่ดอกกุหลาบพันปีจะมีสีแดง โดยเฉพาะทางใต้ที่นิยมกันอย่างมาก
ดอกกุหลาบพันปีสีขาวก็มีอยู่บ้าง แต่หาได้ยาก
สิ่งที่หายากย่อมมีค่า
ถึงแม้จะไม่ใช่ดอกโบตั๋น แต่ดอกกุหลาบพันปีสีขาวก็มีค่ายิ่งกว่าดอกโบตั๋นมาก
แต่เหตุใดเจ้าหมิงหมิงถึงได้มองผิด
ไม่ใช่เพราะนางไม่เข้าใจเรื่องดอกไม้ในโลกมนุษย์
แต่แม้ชุดกระโปรงของเด็กสาวจะมีลายดอกกุหลาบพันปีสีขาว ทว่าตอนนี้กลับถูกเลือดเปรอะเปื้อนเป็นจุดสีแดงเข้ม
เจ้าหมิงหมิงเข้าไปดูใกล้ๆ กลิ่นเลือดฉุนขึ้นสมองจนนางขมวดคิ้ว
ดอกกุหลาบพันปีสีขาวบนชุดกระโปรงถูกโลหิตสดๆ ของเด็กสาวย้อมเป็นสีแดงล้วน
จนทำให้แวบแรกมองผิดคิดว่าเป็นดอกโบตั๋น
“นางบาดเจ็บสาหัส”
เจ้าหมิงหมิงกล่าวแล้วหยัดตัวขึ้น
“คุณหนู ใครกันที่ทำร้ายเด็กสาวตัวน้อยๆ คนหนึ่งได้ถึงเพียงนี้?!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลพูดอย่างโกรธเกรี้ยวพลางกระทืบเท้า
แม้นางจะฉลาด แต่ก็เหมือนที่เจ้าหมิงหมิงพูดไว้ ในเวลาสำคัญนางมักลืมใช้สมอง
เด็กสาวที่มีบาดแผลเต็มตัวนอนอยู่กลางถนน
แค่จุดนี้ก็พิสูจน์ได้ว่านางไม่ใช่เด็กสาวธรรมดา
ในยุคนี้ สตรีที่ยังไม่ออกเรือนมักจะหนีออกมาจากสถานที่สองแห่ง
หนึ่งคือบ้าน สองคือหอนางโลม
หากหนีออกมาจากบ้าน ถ้าไม่ถูกบังคับแต่งงาน ก็ขัดแย้งกับบิดามารดา
ส่วนที่หนีออกมาจากหอนางโลม ทุกคนล้วนแต่หวังจะหลบหนีจากความทุกข์ยากและโหดร้ายนั้น
แต่สตรีที่หนีออกมาจากบ้าน ครอบครัวจะต้องรีบออกตามหาด้วยความวิตกกังวล ส่วนการต่อว่าสั่งสอนนั้นเป็นเรื่องที่ต้องทำหลังจากกลับบ้าน
ทว่าสตรีที่หนีออกมาจากหอนางโลมกลับไม่มีจุดจบดีๆ…
หลังจากโดนทุบตีอย่างโหดร้ายก็หาไม่พบอีกเลย
อย่างไรก็ตาม หัวหน้าคณิกาในหอนางโลมมีวิธีสั่งสอนหญิงสาวที่พยายามหลบหนีด้วยไม้เรียวพิเศษ
มีความกว้างเหมาะสมและความหนาที่พอดี
เมื่อตีลงไปที่ร่างกายของเหล่าหญิงสาวจะรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก แต่กลับทิ้งรอยแดงเพียงผิวเผิน
ถึงอย่างไร หญิงสาวในหอนางโลมล้วนเป็นต้นไม้เขย่าเงินที่มีชีวิต
แม่เล้าก็ไม่ยอมให้พวกนางถูกทำร้ายจนเสียโฉม…
ไม่เช่นนั้นเมื่อถึงเวลารับงาน ถอดเสื้อผ้าออกแล้วเห็นแผลเป็นเต็มไปหมด มีรอยช้ำเป็นจ้ำๆ จะทำให้ลูกค้าที่มาเสาะหาความรื่นรมย์หนีหายกันหมด
สิ่งที่ทำให้เจ้าหมิงหมิงแคลงใจมากที่สุดก็คือ เด็กสาวคนนี้ไม่ได้หนีออกมาจากบ้านหรือหอนางโลม
เพราะลำตัวนางมีแผลจากดาบที่ค่อนข้างลึกอยู่
และยังมีรอยแผลเล็กๆ ที่เหมือนจะเกิดจากอาวุธลับที่ไม่ธรรมดา ดูเหมือนเป็นผลจากอาวุธเฉพาะของบางคน
รอยแผลเช่นนี้ย่อมเกิดจากการไล่ล่าเอาเป็นเอาตาย
หอนางโลมและครอบครัวธรรมดาไม่มีทั้งพลังและโอกาสทำเช่นนี้ได้
“บางทีอาจเป็นเพราะนางหาเรื่องใส่ตัวเอง”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
หากเป็นตอนที่นางเพิ่งลงจากเขา
เจ้าหมิงหมิงต้องเต็มใจพาเด็กสาวคนนี้ขึ้นรถม้าและสั่งให้เกาลัดคั่วน้ำตาลควบม้าเร็วไปยังเมืองที่ใกล้ที่สุดโดยเร็ว เพื่อตามหมอมารักษานาง
แต่ในตอนนี้ เจ้าหมิงหมิงกลับเพียงยืนอยู่ข้างๆ ร่างของเด็กสาว
หลังจากเห็นการหลอกลวงและความเย็นชาของมนุษย์มามากมาย จิตใจของเจ้าหมิงหมิงก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
โลกมนุษย์ไม่จำเป็นต้องมีเก้าบรรพต
ท้ายที่สุดมนุษย์ก็ไม่ใช่อสูร
พวกเขามักจะให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าผลประโยชน์ส่วนรวม
เจ้าหมิงหมิงคิดว่าหากนางตัดสินใจจะใช้ชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ นางก็ควรทำตัวให้เหมือนมนุษย์
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ สนใจแค่เรื่องตนเอง
นางเคยได้ยินคนข้างๆ พูดคุยกันตอนที่กินข้าวในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง
คำพูดหนึ่งที่ทำให้นางจำขึ้นใจ
“ยิ่งยุ่งเรื่องคนอื่นยิ่งเจอเรื่องเดือดร้อน สนใจแค่เรื่องตนเองชีวิตจะสบายกว่า”
ครั้งแรกที่ได้ยิน เจ้าหมิงหมิงต้องใช้ความพยายามอย่างมากไม่ให้หัวเราะออกมา
ทว่ามือที่กำลังถือตะเกียบและไหล่ที่สั่นเทาจากการพยายามกลั้นเสียงหัวเราะก็ปิดไว้ไม่มิด
ตอนนี้เมื่อคิดย้อนกลับไป คำพูดนั้นถึงแม้จะดูหยาบคายแต่ก็มีเหตุผล
เรื่องของโลกมนุษย์เป็นเช่นนั้น
ทุกคนควรสนใจแค่เรื่องของตัวเอง
ด้วยวิธีนี้ ใต้หล้าก็จะสงบสุข
แต่หากนางจะทิ้งเด็กสาวคนนี้ไปโดยไม่สนใจ นางก็ไม่อาจทำได้ลง
เหมือนเกาลัดคั่วน้ำตาลจะเห็นความลังเลในใจของคุณหนูจึงยืนเงียบอยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไร
ฝนในตอนนี้เริ่มเบาลงแล้ว
แต่ก็ยังทำให้เสื้อผ้าและเส้นผมของเจ้าหมิงหมิงเปียกชุ่ม
หยดน้ำค่อยๆ ไหลลงมาจากปลายผมของนาง
บ้างก็ตกลงมาจากแพขนตาที่ยาวของนาง
“พวกเราไปกันเถอะ…”
เจ้าหมิงหมิงถอนหายใจและพูด
“คุณหนู…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลพูดอย่างอดสงสารไม่ได้
จิตใจนางอ่อนโยนและดีงาม
นางคิดว่าคุณหนูก็น่าจะเป็นเช่นนั้น
แต่ไม่รู้ทำไมครั้งนี้ถึงเลือกที่จะนิ่งดูดาย
“โลกนี้กว้างใหญ่ไพศาล คนที่น่าสงสารมีมากมาย พวกเราไม่สามารถช่วยทุกคนได้หมดหรอก”
เจ้าหมิงหมิงพูดกับเกาลัดคั่วน้ำตาล
“อีกอย่าง เด็กสาวคนนี้อาจจะตายแล้วก็ได้”
เจ้าหมิงหมิงหันมองพื้นแล้วพูดต่อ
แต่พอนางพูดจบก็เห็นมือของเด็กสาวกระตุกเล็กน้อย
“คุณหนู! นางยังไม่ตายเจ้าค่ะ!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลตะโกนออกมาด้วยความตกใจ
เจ้าหมิงหมิงก็รู้สึกประหลาดใจไม่แพ้กัน
ก่อนหน้านี้ นางตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว
แม้ว่าร่างกายยังอุ่นอยู่
แต่แทบสัมผัสไม่ได้ถึงลมหายใจหรือชีพจรเลยแม้แต่น้อย
แต่การกระตุกเมื่อครู่นั้นกลับเกิดขึ้นจริง
ไม่เพียงเกาลัดคั่วน้ำตาลที่มองเห็น เจ้าหมิงหมิงก็เห็นเช่นกัน
ทั้งคู่ไม่น่าจะมองผิดในเวลาเดียวกัน
“คุณหนู? นางยังไม่ตาย!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลเห็นว่าเจ้าหมิงหมิงนิ่งเฉยจึงพูดขึ้นอีกครั้ง
ถึงขั้นจับแขนคุณหนูของตน
น้ำเสียงและท่าทางอ้อนวอน
“เอาละๆ…พานางขึ้นรถไปก่อน…”
เจ้าหมิงหมิงพูดขึ้น
เกาลัดคั่วน้ำตาลได้ยินก็ยิ้มออกมาทันที
หลังจากตอบรับคำ นางก็ถกแขนเสื้อเตรียมพยุงเด็กสาวคนนี้ขึ้นจากพื้น
เจ้าหมิงหมิงหันหลังและเดินกลับไปที่รถม้า
ในรถยังมีเสื้อผ้าสะอาดอีกหลายชุด
ดูแล้วรูปร่างของเด็กสาวคนนี้ก็ขนาดเท่าๆ เกาลัดคั่วน้ำตาลพอสมควร
ชุดที่นางสวมใส่ตอนนี้เต็มไปด้วยโคลนและเลือด ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดๆ ให้นางก่อน
เกาลัดคั่วน้ำตาลจับแขนเด็กสาวและพยายามใช้แรงยกขึ้นเล็กน้อย
เด็กสาวก็ครางออกมาเบาๆ…
ชัดเจนว่าเพราะการดึงของเกาลัดคั่วน้ำตาลจึงทำให้นางรู้สึกเจ็บที่บาดแผล
“คุณหนู ข้าคนเดียวอาจจะทำได้ไม่ดีนัก…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าวขึ้น
เจ้าหมิงหมิงเพิ่งจะหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่และสะอาดออกมาจากห่อผ้า
เมื่อได้ยินเกาลัดคั่วน้ำตาลพูดเช่นนี้ จึงทำได้เพียงวางมันไว้ในรถม้าและหันกลับไปช่วย
เมื่อตัดสินใจช่วยคนแล้ว ก็ควรจะทำอย่างเต็มที่
เจ้าหมิงหมิงพยุงไหล่ของเด็กสาวและพลิกตัวนางกลับมาให้นอนหงาย
เด็กสาวไอเบาๆ หลายครั้ง จากนั้นก็พ่นโคลนออกมา
ตามด้วยเลือดอีกหลายคำ
ทำให้ด้านหน้าของเสื้อถูกย้อมเป็นสีแดง
“ไม่รู้ว่าจะช่วยนางให้รอดหรือไม่…”
เจ้าหมิงหมิงมองดูบาดแผลรุนแรงของเด็กสาวและรู้สึกหวั่นใจ
ร่างกายของมนุษย์แตกต่างจากอสูร
แม้ว่าหลังอสูรกลายร่างจะมีลักษณะเหมือนมนุษย์จนดูไม่ต่างกัน แต่นั่นก็เป็นเพียงภายนอก
ภายในยังคงแตกต่างกันอย่างมหาศาล
หากเด็กสาวนี้เป็นอสูรที่กลายร่างมา เจ้าหมิงหมิงก็มีวิธีช่วยให้นางรอดชีวิต
แต่สำหรับมนุษย์ นางไม่มีทางเลือกจริงๆ
หลังจากนอนอยู่สักพัก และเห็นว่าลมหายใจของเด็กสาวเริ่มเป็นปกติ เจ้าหมิงหมิงและเกาลัดคั่วน้ำตาลจึงพยายามช่วยกันยกนางขึ้นคนละข้าง
ครั้งนี้ แม้ว่าเด็กสาวจะยังดูเจ็บปวด แต่ถ้าเทียบกับก่อนหน้านี้แล้วก็ดูดีขึ้นมาก
…………………………………………