ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 407 กุหลาบพันปีสีเลือดกลางฝนเย็น-16
บทที่ 407 กุหลาบพันปีสีเลือดกลางฝนเย็น-16
……….
“พวกเราช่วยกันยกนาง เจ้าช่วยพยุงขาซ้าย ข้าจะพยุงขาขวา เอานางขึ้นรถม้าแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นาง”
เจ้าหมิงหมิงพูดขึ้น
เกาลัดคั่วน้ำตาลพยักหน้า ทั้งคู่จึงช่วยกันยกแม่นางน้อยอย่างระมัดระวังและวางบนแผ่นไม้ด้านหน้าของรถม้า
เจ้าหมิงหมิงช่วยประคองศีรษะของแม่นางน้อยให้พิงกับตัวรถม้าเบาๆ และเริ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นาง
ชุดกระโปรงของนางติดแน่นกับชุดซับในเพราะโคลนและน้ำจากหิมะจนไม่สามารถถอดออกได้
เมื่อเกาลัดคั่วน้ำตาลเห็นสถานการณ์เช่นนี้ จึงเอื้อมมือไปที่เอวและดึงมีดสั้นออกมาทันที
“ตอนนี้เจ้ามีไหวพริบขึ้นมาแล้วนะ!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
เกาลัดคั่วน้ำตาลแลบลิ้นและยิ้มอย่างซุกซน
จากนั้นใช้มีดตัดเสื้อผ้าของแม่นางน้อยและถอดออกอย่างรวดเร็ว
ที่นี่มีแต่สตรีจึงไม่มีสิ่งใดให้ละอาย
อีกทั้งการช่วยชีวิตคนต้องมาก่อน
ถ้าเป็นบุรุษก็ต้องทิ้งจริยธรรมไว้ข้างหลังชั่วขณะหนึ่ง
“นี่…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลมองร่างของแม่นางน้อย รู้สึกตกใจจนพูดไม่ออก
ภายใต้ชุดกระโปรงนั้นเป็นชุดซับในสีขาวบริสุทธิ์
แต่ตอนนี้ชุดซับในนั้นกลับชุ่มไปด้วยเลือด
ไม่มีส่วนใดที่ยังคงสีขาวบริสุทธิ์ ทุกส่วนชุ่มมเลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผล
บางจุดก็แห้งจนแข็งตัว
‘บางทีนางอาจจะไม่รอดจริงๆ’
เกาลัดคั่วน้ำตาลคิดในใจ
นางไม่เคยเห็นใครได้รับบาดเจ็บหนักเช่นนี้ ไม่เคยเห็นใครเสียเลือดมากเช่นนี้
มนุษย์ผู้หนึ่งสามารถหลั่งเลือดได้มากเพียงใดกัน
โดยเฉพาะแม่นางน้อยตัวเล็กๆ ผอมบางอย่างนาง
เกรงว่าเลือดในกายนางครึ่งหนึ่งคงถูกชุดนี้ซึมไปแล้ว
“ถอดออกเถอะ…หาชุดที่สะอาดของเจ้าให้นางเปลี่ยน”
เจ้าหมิงหมิงตกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้า
หลังจากตั้งสติได้ นางก็เอ่ยปากขึ้น
ตอนแรกนางหาเพียงชุดนอกเท่านั้น
แต่ไม่คิดว่าชุดซับในของแม่นางน้อยจะมีสภาพน่าเวทนาขนาดนี้…
เจ้าหมิงหมิงพยุงร่างนาง พยายามเลื่อนนางเข้าไปด้านใน
แม้ว่าฝนจะหยุดตกแล้ว
แต่ลมยังคงพัดแรงอยู่
ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและคนเมาห้ามโดนลมเด็ดขาด
“หืม?”
ทันทีที่เจ้าหมิงหมิงวางมือลงข้างตัวนางแต่กลับรู้สึกถึงบางอย่าง
นางก้มลงไปดูใกล้ๆ แล้วพบว่าใต้วงแขนของแม่นางน้อยมีกระบี่สั้นห้อยอยู่
คืนฝนตก
แม่นางน้อยที่พกกระบี่นอนเลือดท่วมกลางถนน
การเชื่อมโยงทั้งหมดนี้ไม่อาจทำให้เจ้าหมิงหมิงมีเบาะแสใดๆ
ก่อนหน้านี้นางแค่คิดว่าแม่นางน้อยที่ตกเป็นเป้าหมายของการไล่ล่าโหดเหี้ยมเช่นนี้ต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่
ยามนี้เมื่อเห็นกระบี่สั้นเล่มนี้ เจ้าหมิงหมิงยิ่งมั่นใจในสัญชาตญาณของตัวเอง
นางใช้สองมือฉีกชุดซับในที่แม่นางน้อยสวมใส่ออก
เจ้าหมิงหมิงดึงกระบี่สั้นนั้นออกมา
ฝักกระบี่เคลือบเลือดหนาเตอะ
กระทั่งเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว
หลังจากดึงกระบี่ออกมา เจ้าหมิงหมิงเห็นว่าใบกระบี่เต็มไปด้วยเลือดที่แห้งกรัง
นางดมกลิ่นที่ปลายกระบี่ก็เข้าใจทุกอย่างทันที
“แม่นางน้อยคนนี้แสบไม่เบา…”
เจ้าหมิงหมิงวางกระบี่สั้นไว้ข้างๆ แล้วพูดขึ้น
“คุณหนูหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลถามขึ้น
นางเพิ่งหาชุดซับในเจอและกำลังจะเปลี่ยนให้แม่นางน้อยคนนี้
“ดูกระบี่นี่สิ!”
เจ้าหมิงหมิงยื่นกระบี่สั้นให้เกาลัดคั่วน้ำตาล
นางรับกระบี่สั้นมาอย่างงุนงง
เจ้าหมิงหมิงบอกให้นางดมกลิ่น
พอได้กลิ่น เกาลัดคั่วน้ำตาลก็ตกใจจนแทบทำกระบี่หล่น…
“คุณหนู…บนกระบี่สั้นนี้มีรอยเลือดอย่างน้อยยี่สิบเจ็ดหรือยี่สิบแปดคนเลยเจ้าค่ะ…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลพูดเสียงสั่น ตะกุกะกัก และยังมีภาษาอสูรที่ใช้กันทั่วไปในเขาเรียงรันปนอยู่ด้วย
เจ้าหมิงหมิงยิ้มแห้งและส่ายหัว
แม่นางน้อยคนนี้มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน
เดิมทีคิดว่านางเป็นเพียงคนที่ถูกตามล่า
ไม่คิดว่าจะฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็น
แม้จะเป็นเลือดเหมือนกัน แต่ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ก็ยังมีความแตกต่างเล็กน้อย
ความแตกต่างเหล่านี้ มีเพียงเจ้าหมิงหมิงและเกาลัดคั่วน้ำตาลซึ่งเป็นสัตว์อสูรเท่านั้นที่สามารถรับกลิ่นได้
ยิ่งไปกว่านั้น เผ่าจิ้งจอกมีประสาทสัมผัสด้านกลิ่นที่ไวมาก
“ถ้านางตื่นขึ้นมา นางจะฆ่าพวกเราด้วยหรือไม่เจ้าคะ…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลถามขึ้น
“เจ้ากลัวหรือ ก่อนหน้านี้กระตือรือร้นจะช่วยนางมากไม่ใช่หรือ”
เจ้าหมิงหมิงกล่าวพลางยิ้ม
นางชอบมองสีหน้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเกาลัดคั่วน้ำตาล
นี่เป็นนิสัยของนางตั้งแต่ก่อนที่จะลงมาจากเขาเรียงรัน
และเป็นหนึ่งในความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของนาง
“เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าแม่นางน้อยผู้นี้มีกลิ่นอายลึกลับบางอย่าง”
เจ้าหมิงหมิงมองเกาลัดคั่วน้ำตาลที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าให้แม่นางน้อยพลันกล่าวขึ้น
นั่นเป็นเพียงความรู้สึกของนาง แต่นางก็ไม่รู้ว่าจะใช้คำไหนมาอธิบาย
จึงเลือกใช้คำว่า ‘กลิ่นอาย’ แทน
“ข้าไม่รู้สึกอะไรเจ้าค่ะคุณหนู…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าว
เจ้าหมิงหมิงขมวดคิ้วและจ้องมองแม่นางน้อยที่ยังคงหลับตา
นางเคยได้ยินบิดาของนางพูดถึงความลับของโลกนี้
รวมถึงเหตุผลที่อสูรในเขาเรียงรันสามารถมีสติปัญญาและกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ภายในชั่วข้ามคืน
เจ้าเจ๋อกล่าวว่าในโลกนี้มีทฤษฎีความเป็นอมตะ หัวใจของมนุษย์สามารถก้าวข้ามสรรพสิ่งและท่องเที่ยวไปยังทุกส่วนของโลกได้
แต่สิ่งที่เป็นอมตะมีเพียงฟ้าดินเท่านั้น
สรรพสิ่งจากสารทิศล้วนสามารถเลือนหายไปตามกาลเวลา
แต่หัวใจของมนุษย์ไม่แปรเปลี่ยนตามกาลเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเป็นอมตะที่แน่วแน่ยิ่งกว่า
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าฟ้าดินจะเป็นอมตะ แต่มนุษย์ธรรมดาจะสามารถเข้าถึงสวรรค์ได้อย่างไร
หนทางที่ดีที่สุดก็คือการทุ่มเทหัวใจและจิตวิญญาณของตนไปกับการศึกษามรรคหรือวิชายุทธ์ เพื่อหาความเป็นอมตะ
แต่แม่นางน้อยผู้นี้ให้ความรู้สึกแก่เจ้าหมิงหมิงว่าจิตวิญญาณและร่างกายของนางไม่สอดคล้องกันอย่างมาก
แม้นางจะหลับตา แต่เจ้าหมิงหมิงก็รู้สึกได้ว่าจิตวิญญาณของนางผ่านชีวิตที่ยากลำบากมาอย่างโชกโชน
ในขณะที่ร่างกายของนางยังอ่อนวัยเหมือนเด็กหญิงที่ยังไม่เติบโตเต็มที่
เหตุใดโลกนี้จึงมีเรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้
ไม่ว่าจะเป็นอสูรหรือมนุษย์ก็ตาม
กาลเวลาชั่วชีวิตก็ไม่ต่างจากการหมุนเวียนของฤดูกาล
วสันต์ผันผ่านสารท เหมันต์เยือนคิมหันต์จาก
ในวัฏจักรที่ซ้ำซากนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่านจากเก่าไปใหม่เสมอ
ต้นไม้ยามวสันต์ผลิใบอยู่หน้าต้นที่เหี่ยวเฉา วัฏจักรของฤดูกาลจึงจะสามารถสะท้อนสีสันที่แท้จริงของชีวิตออกมาได้
แต่ความผันผวนของชีวิตต้องหมุนเวียนผ่านทุกฤดูกาลจึงจะแสดงออกมาได้
แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็ไม่น่าจะปรากฏบนตัวแม่นางน้อยเช่นนี้
แม้สติปัญญาดำรงอยู่ได้ด้วยความยากลำบาก แต่ก็ควรจะทำสิ่งต่างๆ ในเวลาที่เหมาะสม
วัยเด็กก็เหมือนฤดูใบไม้ผลิ
บุปผาบานสะพรั่งในเดือนสาม สายฝนปรอยๆ
สายฝนวสันต์ล้ำค่าหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง ลมวสันต์อุ่นพัดผ่านต้นหยาง
หลังพ้นฤดูจำศีล ผกาสะพรั่ง งดงามสูงส่ง ชีวิตเปี่ยมชีวา
แม้ในวันที่ฝนตกก็ไม่อาจบดบังความบริสุทธิ์และความสดใสของท้องนภาได้
เสียงหัวเราะที่ไร้ความกังวลและเป็นอิสระจะคงอยู่ไม่จางหาย
ดังกังวานตลอดสามสิบวัน
ช่วงฤดูใบไม้ผลิเช่นนั้น เจ้าหมิงหมิงได้สัมผัสมาแล้ว
ไม่มีความสงสัยหรือความวุ่นวายใดๆ
ความสุขกับความเศร้าสลักอยู่บนใบหน้า
หลังจากผ่านช่วงเวลานั้น นางก็เหมือนแม่นางน้อยผู้นี้ที่มาถึงกลางฤดูร้อน
แสงแดดจ้า แสงส่องสว่างทั่วแผ่นดิน
ความมุ่งมั่นและความหลงใหลทั้งหมดถูกปลดปล่อยออกมา
คำพูดโอ้อวดก็เหมือนวัชพืชที่พัดไม่ไปหรือนับไม่ถ้วน
แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็ไม่ใช่เวลาที่จะฆ่าคน
เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาถึง
หยาดน้ำค้างทำลายหญ้า สรรพสิ่งเงียบงัน
เทียบกับฤดูใบไม้ผลิในปีนั้น ช่างเศร้าหมองนัก
เทียบกับฤดูร้อนของวัยหนุ่มสาว ช่างเคร่งขรึมนัก
หลังจากผ่านพ้นไปสามฤดู
ไม่ว่าจะเป็นใครก็มีเหตุผลและแรงจูงใจที่จะฆ่าคน
ส่วนฤดูหนาว เจ้าหมิงหมิงยังไม่เข้าใจ
นางสามารถมองไปข้างหน้าได้เพียงหนึ่งฤดูกาล
และนั่นก็ถือเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากแล้ว
“สวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วพวกเราก็ไปเถอะ…”
เจ้าหมิงหมิงรีบเร่ง
“คุณหนู มีอะไรหรือเจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลสัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดของเจ้าหมิงหมิง
“ไม่มีอะไรหรอก…เพียงแต่รู้สึกไม่สบายใจเท่านั้น”
เจ้าหมิงหมิงโบกมือพูด
เกาลัดคั่วน้ำตาลไม่ได้ตอบกลับ
นางกระโดดเบาๆ แล้วนั่งลงบนแท่นไม้หน้ารถม้า
นางตะโกนและฟาดบังเหียนลง ไล่ให้ม้าวิ่งไปข้างหน้า
ฝนหยุดแล้ว ม้าก็วิ่งได้อย่างเต็มที่
เจ้าหมิงหมิงรู้สึกว่าความเร็วของม้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และความไม่สงบในใจของนางก็เริ่มลดน้อยลง
แต่อยู่ดีๆ ม้าก็ส่งเสียงร้อง!
และถีบเท้าลงบนพื้นหลายครั้ง ก่อนที่จะหยุดวิ่ง
“เกิดอะไรขึ้น”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยถาม
หากนางไม่จับผนังรถม้าไว้ ตอนนี้คงถูกเหวี่ยงออกไปแล้วเพราะจู่ๆ ม้าก็หยุดวิ่งกะทันหัน
ทว่าแม่นางน้อยคนนี้ดันโชคไม่ดี…
ในขณะนั้น เจ้าหมิงหมิงไม่สามารถดูแลนางได้
แม่นางน้อยที่ยังหมดสติอยู่นั้นกระแทกไปข้างหน้า
ชนเข้ากับผนังของรถม้าที่เกาลัดคั่วน้ำตาลควบคุมอยู่
“คุณหนูด้านหน้ามีแสงสว่างเจ้าค่ะ!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลพูดขณะช่วยแม่นางน้อยคนนั้นขึ้นมา
ในคืนที่ฝนตกหนัก ฟ้ายังไม่สดใส
เมฆบดบังดวงจันทร์
แสงสว่างนั้นมาจากไหน
แต่เจ้าหมิงหมิงกลับเห็นชัดเจนว่าด้านหน้าไม่ไกลมีแสงวาบหนึ่งที่จ้าตา
ราวกับดวงจันทร์กลางท้องนภา
เมื่อจ้องมองอย่างใกล้ชิดกลับพบว่ารอบๆ ‘ดวงจันทร์’ นั้นมีแสงแวววับเล็กๆ หลายจุด ราวกับดาวบนท้องนภา
“มีแสงสว่างจริงด้วย”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
น้ำเสียงของนางหนักแน่น
“คุณหนู นั่นคืออะไรเจ้าคะ…คงไม่ใช่…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลพยายามจะพูดคำว่า ‘ผี’
ไม่เพียงแต่มนุษย์ที่กลัวผี
แม้แต่อสูรที่มีความรู้สึกก็ดูเหมือนจะกลัวผีโดยไม่มีเหตุผล
นี่เป็นความรู้สึกทั่วไปของสิ่งมีชีวิต
ในความเป็นจริง สิ่งที่พวกเขากลัวไม่ใช่ผี แต่เป็นความไม่รู้ที่มากับผี
“ไม่ใช่ผี”
เจ้าหมิงหมิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“แล้วมันคืออะไรเจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลได้ยินว่าไม่ใช่ผีก็โล่งอกทันที
ตอนนี้นางไม่สนใจว่าคำตอบของเจ้าหมิงหมิงถูกต้องหรือไม่
ถึงอย่างไรคำตอบที่ได้ยินก็คือสิ่งที่นางต้องการ
นางแค่ต้องการความปลอดภัยเท่านั้น
“นั่นคือแสงกระบี่”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“แสงกระบี่?”
เกาลัดคั่วน้ำตาลร้องขึ้นด้วยความตกใจ
กระบี่จะเปล่งแสงได้เอง?
กระบี่ควรจะสะท้อนแสงแดดหรือแสงจันทร์เท่านั้น
“บางคนมีกระบี่ที่สามารถส่องแสงได้ด้วยตัวมันเอง”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
ความรู้สึกไม่สบายใจของนางก่อนหน้านี้ ในที่สุดก็ได้รับการยืนยัน
เจ้าหมิงหมิงออกจากตัวรถม้าและยืนอยู่ข้างรถม้า
มือขวาของนางวางไว้บนด้ามกระบี่ที่เอว
จากนั้น นางก็หันกลับไปมองแม่นางน้อยที่ยังไม่ได้สติอีกครั้ง คิดในใจว่าการเป็นคนดีนั้นไม่ง่ายเลย…
…………………………………………