ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 409 กุหลาบพันปีสีเลือดกลางฝนเย็น-18
บทที่ 409 กุหลาบพันปีสีเลือดกลางฝนเย็น-18
……….
เจ้าหมิงหมิงรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวจิ้งเหยาเปลี่ยนไปกะทันหัน
ความอ่อนโยนและสง่างามที่เขามีก่อนหน้านี้หายไปเสียแล้ว
แม้แต่กลิ่นอายนั้นก็ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบไปด้วย…
ราวกับไม่ใช่ฤดูใบไม้ผลิอีกต่อไป แต่เป็นช่วงฤดูหนาวที่หนาวเหน็บ
ดาบของจิ้งเหยาขาวเหมือนเงิน เยือกเย็นเหมือนหิมะ
แต่แม้จะเป็นความหนาวเหน็บของคมดาบที่น่าขนลุก ก็ยังระงับการหลั่งไหลและโถมทะลักของเลือดในที่มืดไม่ได้!
ในตอนนี้เอง เจ้าหมิงหมิงเห็นความเจิดจ้าของแสงดาบจิ้งเหยาพลันหายไปในชั่วพริบตา
ดาบยังคงอยู่ในมือ
แต่ความเจิดจ้าของมันกลับหายสิ้น
เกิดอะไรขึ้นกันแน่
เจ้าหมิงหมิงไม่รู้
นางคิดไม่ตก
ดาบของจิ้งเหยาดูแปลกและพิสดารอยู่แล้ว
ไม่เพียงแต่รูปลักษณ์ของมันที่แปลก แต่ยังแปลกตรงที่มันส่องแสงได้
แต่ตอนนี้แสงนั้นหายไปแล้ว
มันหายไปไหน
สีหน้าของจิ้งเหยายังคงเหมือนเดิม
ราวกับทุกอย่างเกิดขึ้นเอง
หลังจากประลองกับหลิวรุ่ยอิ่งครั้งล่าสุด ความเข้าใจเกี่ยวกับดาบของจิ้งเหยาก็เพิ่มขึ้นอีกระดับ
ไม่มีความเมตตาหรือความอดทนใดๆ
ส่วนดาบของหลิวรุ่ยอิ่ง ถึงแม้จะไม่มีความคมกริบเหมือนเขา แต่ก็มีความกลมกลึงมากกว่า
ดังนั้นสุดท้ายแล้ว จิ้งเหยาก็ยังแพ้ครึ่งกระบวน
การแพ้ไม่น่ากลัว
คนที่แพ้แล้วไม่ยอมรับน่ากลัวยิ่งกว่า
ผู้ใช้ดาบกับคนที่ดื่มสุราแรงต่างก็มีใจกว้างขวาง ตรงไปตรงมาเหมือนชายฉกรรจ์
ผู้ใช้กระบี่กับคนที่ดื่มสุราอ่อนๆ ต่างก็สุภาพเรียบร้อยเหมือนสุภาพบุรุษ
ผู้ที่ไม่ใช้ดาบและไม่ใช้กระบี่ก็เหมือนคนที่ไม่ดื่มสุรา ถ้าไม่เป็นสุภาพบุรุษก็เป็นชายฉกรรจ์
ไม่ก็เป็นคนซื่อสัตย์อย่างแท้จริง
หัวใจของจิ้งเหยาไม่เหมือนกับเจ้าหมิงหมิง
มันมักจะพลุ่งพล่านและไม่สงบ
และมักจะดุเดือดอยู่เสมอ
แม้แต่ดาบของเขาที่เต็มไปด้วยห้วงอารมณ์แห่งฤดูหนาวก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงจิตใจเขาได้
ในขณะที่เจ้าหมิงหมิงสงบนิ่งอยู่ตลอด
ไม่ว่าจะอยู่บนเขาเรียงรันหรือในโลกมนุษย์
นางก็ยังคงสงบนิ่ง
ไม่เพียงร่างกายเท่านั้น แต่รวมถึงจิตใจด้วย
ร่างกายที่สงบมักถูกมองว่าขี้เกียจ
แต่จิตใจที่สงบมักท้อแท้ง่าย
ทว่าเจ้าหมิงหมิงไม่ใช่คนขี้เกียจและไม่มีความท้อแท้
แม้จะอยู่ท่ามกลางถนนที่พลุกพล่านและตลาดที่วุ่นวาย ฟังเสียงพ่อค้าแม่ขายตะโกนขายของ นางก็ยังสามารถมองไปข้างหน้าโดยไม่สนใจสิ่งใด
ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจและไม่มีเป้าหมาย แต่นั่นคือสิ่งที่นางรอคอยมากที่สุด
ตลาดที่วุ่นวายมักเต็มไปด้วยคนมีชีวิตชีวา
และเต็มไปด้วยสินค้าที่หลากหลาย
สิ่งเดียวที่ขาดในตลาดคือนักพรต
ฟังแล้วดูเหมือนจะขัดแย้งกัน
เพราะนักพรตมักจะไปอยู่กลางป่าเขาหรือป่าไผ่
ดื่มสุราอ่อนสองสามจอกต้านสายลมเย็น
อยู่ในโลกเล็กๆ ที่ตนเองสร้างขึ้น
แต่เจ้าหมิงหมิงทำลายกฎเกณฑ์เหล่านี้
ใจของนักพรตก็มีความปรารถนา
ใครว่านักพรตต้องตัดขาดจากความรู้สึกทั้งหมด?
เพียงแต่เจ้าหมิงหมิงสามารถควบคุมความปรารถนาของตนได้เท่านั้น
ความปรารถนาของจิ้งเหยานั้นพลุ่งพล่าน
เหมือนกับหุบเหวลึกที่ไม่มีที่สิ้นสุด
แท้จริงแล้วนี่ก็คือความโศกเศร้า…
ในทางหนึ่ง นั่นก็คือการทำร้ายตนเองของจิ้งเหยา
คนที่ดุเดือดเลือดพล่านมานาน ในที่สุดก็ต้องเหนื่อยล้า
ไม่มีใครที่จะไม่ทุกข์ร้อนไปตลอดชีวิต
จริงๆ แล้วในใจของเจ้าหมิงหมิงก็เคยมีความปรารถนาแรงกล้าและหลงใหลในความรู้สึกที่รุนแรง
แต่หลังจากที่ไตร่ตรองแล้ว ก็เลือกที่จะทิ้งสิ่งเหล่านั้นไว้ข้างหลัง
แต่ธรรมชาติของมนุษย์คือการอยากครอบครองและกลัวที่จะสูญเสีย
สิ่งมีชีวิตใดๆ ที่มีสติปัญญาล้วนหนีไม่พ้นวัฏจักรนี้
นักปราชญ์เคยกล่าวไว้ว่า ชีวิตคนเราอยู่ท่ามกลางขวากหนาม ถ้าหัวใจไม่เต้น กายก็จะไม่เคลื่อนไหว ในเมื่อไม่ขยับเขยื้อนก็จะไม่เจ็บปวด แต่หากหัวใจยังเต้น ร่างกายที่เคลื่อนไหวตามไปด้วยก็จะรู้สึกเจ็บปวดทรมาน
ความทุกข์ทรมานทั้งหลายในโลกมาจากเหตุนี้
ชายหนุ่มมักต้องการความงามของดอกไม้และหิมะ ใครบ้างเล่าที่จะไม่หวั่นไหวเมื่อพบกับผู้งดงาม?
ทองคำมากมาย ชุดสวยงาม บ้านหรู ก็ไม่เห็นว่าใครจะคงสติไว้ได้…
ความต้องการนั้นเปรียบเสมือนดวงจันทร์บนท้องนภาที่เปลี่ยนแปลงไปมาตลอดเวลา
คิดอยากครอบครองไม่หยุด แต่ก็ต้องทนทุกข์เพราะกลัวจะสูญเสียมันไป
แต่เจ้าหมิงหมิงเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง
ความคิดของนางไม่มีทางเข้าใจได้ว่าบุรุษอย่างจิ้งเหยาคิดอย่างไร
หากเป็นหญิงสาวจากครอบครัวธรรมดา ก็อาจจะคิดเพียงหาคู่ครองที่รู้ใจและร่วมชื่นชมทิวทัศน์ระหว่างทางด้วยกัน
ยามว่างก็อาจจะเอนตัวพิงราวระเบียงและทอดสายตามองไกล
โดยเฉพาะหลังจากฝนปรอยในฤดูใบไม้ผลิก็จะพบเห็นป่าที่เขียวขจี
ในชั่วอึดใจจากสีเหลืองในฤดูหนาวสู่สีเขียวของฤดูใบไม้ผลิ
ดอกไม้ป่าหลากสีสันโรยราเร็วนัก แล้วจะทนลมหนาวฝนเย็นได้อย่างไร
เจ้าหมิงหมิงและจิ้งเหยาก็เหมือนดอกไม้ป่านี้ไม่ใช่หรือ
ดอกไม้เบ่งบานและร่วงโรยใช้เวลาเพียงใดกัน
ช่วงเวลาที่ร่วงหล่นมักจะยาวนานกว่ายามที่บานสะพรั่ง
เจ้าหมิงหมิงมายังโลกมนุษย์นี้ เพื่อต้องการสัมผัสกับความสนุกสนานและตามหาความสุขมากขึ้น
แต่ทิศทางของจิ้งเหยานั้นชัดเจนยิ่ง
แม้แต่ความเหงาในใจนางก็ยังคงอยู่ตำแหน่งเดิมเสมอ
……………………………
“ดาบของเจ้าเปลี่ยนไป”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“ดาบจะเปลี่ยนไปได้อย่างไร”
จิ้งเหยาถามตอบ
“ดาบของเจ้าไม่มีกลิ่นเลือดแล้ว กลิ่นอายแห่งการสังหารที่เคยมีไปไหนหมด”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
นางจะไม่เข้าประจันหน้าจนกว่าจะรู้จักคู่ต่อสู้อย่างละเอียด
“ดาบย่อมต้องมีกลิ่นเลือด ไม่ว่าจะใช้สังหารคนหรือสัตว์ก็ตาม”
จิ้งเหยากล่าว
เขาไม่ใส่ใจกับคำพูดก่อนหน้านี้ของเจ้าหมิงหมิง
“ดาบของเจ้าก่อนหน้านี้ดูบ้าอำนาจ แต่เมื่อครู่นี้จู่ๆ ก็หายไป…”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“ดาบยังอยู่ในมือข้า มันจะหายไปได้อย่างไร ส่วนที่ว่าบ้าอำนาจ…เจ้าคิดว่าข้าดูเหมือนคนบ้าอำนาจหรือ”
จิ้งเหยายิ้มแล้วกล่าว
“เทียบกับบ้าอำนาจแล้ว เจ้าดูเป็นคนที่ทะนงตนมากกว่า แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าภูมิใจในอะไร แต่เจ้าต้องมีสิ่งที่พอใจมากพอที่จะภูมิใจ”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ย
จิ้งเหยาเงียบครู่หนึ่ง
เขารู้สึกตกตะลึงท่ามกลางความเงียบ
จิ้งเหยารู้ดีว่าตัวเองเป็นคนที่ทะนงตนสูงมาก
แม้ว่ายังไม่ถึงขั้นดูถูกทุกสิ่งทุกอย่าง แต่คนที่เข้าตาเขาก็มีไม่เท่าไร
“ข้าไม่อยากสังหารเจ้า”
จิ้งเหยาพูดขึ้น
เขาไม่เพียงแค่ไม่อยาก ยิ่งกว่านั้นคือเขาไม่อาจทำได้
กล่าวกันว่าชีวิตนี้มีสหายรู้ใจเพียงคนเดียวก็พอแล้ว และจะปฏิบัติต่อสหายอย่างดี
การมีวาสนาได้รู้จักกันคือสิ่งล้ำค่าที่สุด
เมื่อมีความจริงใจต่อกัน จิตวิญญาณก็จะสัมพันธ์กัน
ท่ามกลางความยากลำบากมากมาย ผู้คนมักจะหวงแหนกันมากขึ้น
ภูผาสูงธาราไหล บทเพลงแห่งการรู้จักกัน
ทว่าเขาและเจ้าหมิงหมิงเพิ่งพบกันไม่เกินครึ่งชั่วยาม กลับถูกอีกฝ่ายมองทะลุปรุโปร่งเสียแล้ว
สตรีงามที่ละเอียดอ่อนและกล้าแกร่งเช่นนี้ จิ้งเหยาเองก็ลำบากใจที่จะใช้ดาบลงมือ
‘ชิ้ง!’
เสียงของจิ้งเหยาพึ่งจะหยุดลง
เจ้าหมิงหมิงกลับชักกระบี่ออกมากะทันหัน
แสงกระบี่สะท้อนครึ่งใบหน้าของนาง
มองจิ้งเหยาด้วยสายตาเย็นชาและสูงส่ง
นางปฏิเสธโอกาสที่จิ้งเหยามอบให้ด้วยการกระทำ
จิ้งเหยามองเจ้าหมิงหมิงออกกระบี่ และพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
ในใจเขาเต็มไปด้วยความหดหู่อย่างไร้เหตุผล
มารดาที่เข้าใจเขาที่สุดได้จากไปนานแล้ว
เมื่อมีสตรีที่อาจเข้ากับตนได้ ก็กลับต้องยกดาบเข้าใส่
เหตุใดชีวิตถึงผิดพลาดเพียงนี้
จิ้งเหยาวางดาบขวางอก
มือซ้ายผายมือทำท่า ‘เชิญ’
เจ้าหมิงหมิงก็ไม่อ้อมค้อม!
นางหมุนข้อมือวาดกระบี่บุปผา
ในขณะที่แสงเจิดจ้านี้ จิ้งเหยารู้สึกเหมือนมีแสงมากมายถาโถมเข้ามาตรงหน้า
แต่ดาบของเขากลับไม่ขยับเขยื้อน
ยังคงวางขวางอยู่ที่หน้าอกเขา
ราวกับถูกยึดไว้ที่นั่น
เมื่อแสงใกล้เข้ามา
จิ้งเหยาเคลื่อนพลังปราณแล้วออกแรงส่วนขา
ปลายเท้าพลันแตะพื้น กระโดดหลบไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว
กระบี่ของเจ้าหมิงหมิงฟันอากาศ
หลังจากแสงสลายไป จิ้งเหยายืนอยู่ข้างกระบี่ของเจ้าหมิงหมิง
ยังคงรักษาท่าทางเดิม
แม้เจ้าหมิงหมิงจะฟันกระบี่ไม่โดน แต่ก็ไม่มีทั้งความดีใจหรือความโกรธ
ในเมื่อเขาจะหลบ เหตุใดตนไม่ใช้แผนซ้อนแผนอาศัยแรงเมื่อครู่โจมตีต่อ?
กระบี่ยาวในมือยกขึ้น คมกระบี่ชี้ไปยังจิ้งเหยา
กระบี่ถูกชักออกมาเพื่อฟันขวาง
เป้าหมายของนางคือดาบโค้งในมือจิ้งเหยา
ด้วยระยะนี้ จิ้งเหยาไม่มีทางหลบหลีกได้
แต่เขาก็ยังรู้สึกประหลาดใจ เหตุใดเจ้าหมิงหมิงถึงออกกระบี่โจมตีดาบของเขา?
หรือนางกำลังบังคับให้เขาออกดาบ?
จริงๆ แล้วนั่นคือแผนการของเจ้าหมิงหมิง
การถอยของอีกฝ่ายหนึ่งดูเหมือนว่านางได้เปรียบ
แต่ในใจเจ้าหมิงหมิงกลับดูแคลนเล็กน้อย
กระบี่ของนาง ถ้าแม้แต่ดาบของจิ้งเหยายังไม่ยอมชักออกมา เช่นนั้นออกกระบี่ไปแล้วจะมีประโยชน์ใด?
ถึงแม้ว่าวิชากระบี่ไม่ใช่จุดแข็งของเจ้าหมิงหมิง
แต่เมื่อนางยกกระบี่ขึ้นมา ก็ต้องตั้งใจใช้มันจนถึงที่สุด
นางไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน…ไม่เช่นนั้นอาจนำมาซึ่งปัญหาใหญ่ยิ่งกว่านี้
ดังนั้นตอนนี้นางมีเพียงกระบี่ในมือเท่านั้นที่พึ่งพาได้
เจ้าหมิงหมิงอาจจะมองจิ้งเหยาทะลุปรุโปร่ง
แต่นางเองก็เป็นคนแบบเดียวกัน
ทะนงตนเป็นที่สุด ไม่เคยก้มหัว และไม่ยอมโค้งตัว
หากเจ้าถ่อมตัว ไม่ได้ทำให้นางคิดว่าเจ้าเป็นสุภาพบุรุษ
กลับกันจะคิดว่าเป็นการดูถูกอย่างยิ่ง
และก็เพราะทั้งคู่มีนิสัยเหมือนกัน พูดเพียงประโยคเดียวก็ทิ่มแทงใจแล้ว
‘ชิ้ง!’
กระบี่ของเจ้าหมิงหมิงฟันแน่นลงบนดาบของจิ้งเหยา
แรงกดมหาศาลที่ส่งมาทำให้จิ้งเหยาทานรับได้ยากอย่างยิ่ง
เขาไม่คิดว่าแม่นางเช่นเจ้าหมิงหมิงจะมีพละกำลังมากมายขนาดนี้
อีกอย่างกระบี่เมื่อครู่นี้เต็มไปด้วยพลังกายล้วนๆ
ไม่มีพลังปราณแม้แต่นิดเดียว
“ยังไม่ชักดาบอีกหรือ”
เจ้าหมิงหมิงถาม
นางกดแรงลงบนมือ และกดดาบของจิ้งเหยาถอยหลังไปอีกสองสามชุ่น
ด้ามดาบเกือบจะแนบชิดอกเขาแล้ว
“ไม่ชักดาบ ข้ายังควบคุมได้ แต่ถ้าชักออกมาแล้ว ข้าควบคุมไม่ได้”
จิ้งเหยากล่าว
“ควบคุมสิ่งใด”
เจ้าหมิงหมิงถาม
“ควบคุมการสังหารและเลือดที่เจ้าพูดถึงก่อนหน้านี้”
จิ้งเหยาตอบ
“เป็นเจ้าที่ใช้ดาบ หรือดาบที่ใช้เจ้า”
เจ้าหมิงหมิงถอนกระบี่แล้วถาม
หลังจากฟัง จิ้งเหยาตกใจกับคำถามและหยุดนิ่งชั่วขณะ
“เป็นข้าที่ใช้ดาบ”
หลังจากตั้งสติได้ จิ้งเหยายิ้มเล็กน้อยแล้วพูด
“ขอบใจ”
จากนั้นเอ่ยขอบใจเจ้าหมิงหมิง
เจ้าหมิงหมิงไม่ได้ตอบ แต่ถอยหลังไปสองจั้ง
เพราะนางรู้ว่า จิ้งเหยาเริ่มจริงจังแล้ว
และสัญชาตญาณของเจ้าหมิงหมิงบอกนางว่า ไม่ว่าจะเป็นคนผู้นี้หรือดาบเล่มนี้ ล้วนไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเอาชนะ
แม้ว่าเขาจะไม่มีเจตนาสังหารนางก็ตาม…
ยิ่งไปกว่านั้น ในชั่วขณะของจิตสังหาร ใครจะรู้ได้ว่าหลังจากจิ้งเหยาชักดาบออกมาแล้วจะเกิดอะไรขึ้น
……………………………………………………………
……….