ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 410 รอคอยชื่นชมเพียงลำพัง-1
บทที่ 410 รอคอยชื่นชมเพียงลำพัง-1
……….
จิ้งเหยาไม่เคยสนใจฝึกฝนดาบจริงจัง
ดังนั้นดาบในมือเขาจึงไม่ใช่การควบคุม แต่เป็นการปล่อยวาง
การปล่อยวางดาบก็คือการปล่อยวางตัวเอง ทั้งร่างกายและจิตใจ
ดาบมีหน้าที่เดียวคือการฆ่า
ดาบที่ให้มาแก่จิ้งเหยาเพียงแต่คือการทำลายที่ไม่มีที่สิ้นสุด
คำพูดของเจ้าหมิงหมิงที่เพิ่งกล่าวไปทำให้เขาตื่นรู้
เมื่อคนใช้ดาบ นั่นหมายถึงการควบคุม
การตัดสินใจว่าใครควรจะตาย ใครควรจะปล่อย
เมื่อใดควรฆ่า และเมื่อใดควรไว้ชีวิต
ถ้าดาบใช้คน นั่นคือการปล่อยวาง
ฆ่าไม่เลือกหน้า
ไม่ถามเหตุผล ไม่สนใจกรรม
เพียงแต่ต้องตาย
ท้ายที่สุดจิ้งเหยาไม่ใช่คนที่มีเมตตา
คนที่ไม่มีเมตตามักจะตกอยู่ในอารมณ์ที่ตัวเองสลัดไม่หลุด
และเมตตาไม่ใช่อารมณ์ที่ติดมาแต่กำเนิด
มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากสภาวะจิตใจถึงระดับหนึ่งแล้วเท่านั้น
แต่ไม่ว่าอย่างไร จิ้งเหยาก็ยังคงเป็นมนุษย์
เมื่อเทียบกับอสูรที่โหดเหี้ยม เขาควรจะใกล้เคียงกับคำว่าเมตตามากกว่า
เจ้าหมิงหมิงรู้สึกถึงความเมตตาครั้งแรกในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว
ลมฤดูใบไม้ร่วงที่แสนเยือกเย็นพัดผ่าน ทำให้คลื่นในใจของนางโหมกระหน่ำ
ภูมิทัศน์บนไหล่เขาเรียงรันเต็มไปด้วยสีสันมากกว่าบนยอดเขา
ลมหนาวพัดผ่านผ้าบางแล้วกระจายไปทั่วทุกอณูในร่างกาย
แม้จะยังไม่มีฝนตก แต่บรรยากาศของฤดูใบไม้ร่วงที่แจ่มใสก็ยังกระจายอยู่ทั่วทุกหนแห่ง
นักปราชญ์มักจะรู้สึกเศร้าโศกเสียใจเมื่อถึงเวลาที่ฤดูกาลผันเปลี่ยน
สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อความเสียใจและความสุข และคนธรรมดาไม่สามารถแก้ไขได้
แม้เจ้าหมิงหมิงจะยังไม่รู้สึกลึกซึ้งเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่นางก็รู้ว่าทุกฤดูกาลมักจะไม่แน่นอนและไม่สมบูรณ์เหมือนกับความรู้สึกของนาง
แทนที่จะทอดถอนใจผ่านน้ำเสียง ไม่สู้วางใจให้สงบ
ไม่ว่าความเจ็บปวดจะมากะทันหันเพียงใด ก็ยังสามารถเผชิญหน้าอย่างสงบและยิ้มแย้มได้
ในใจนางไม่มีความเสียใจเลยหรือ?
แน่นอนว่ามี
และไม่น้อย
เมื่อทุกความเสียใจและความเศร้าของนางซ้อนทับกัน และเมื่อนางมองย้อนกลับไปในอดีตอีกครั้ง ก็ยังคงมองด้วยรอยยิ้มและใจที่ไม่มีความเคียดแค้น
เมื่อมองดอกไม้ร่วงและใบไม้ที่พลิ้วไหว การได้รับและความสูญเสียเหล่านั้นก็ค่อยๆ กลายเป็นจุดสีแดงที่สว่างเจิดจ้า
จนถึงช่วงเวลานี้ ใจเจ้าหมิงหมิงก็เปี่ยมไปด้วยความเมตตา
“เหตุใดต้องถอยหลัง”
จิ้งเหยาถาม
“เพราะข้าไม่ค่อยถนัดใช้กระบี่”
เจ้าหมิงหมิงตอบ
นี่ไม่ใช่การโกหก
หรือเพื่อทำให้จิ้งเหยาลดการระวังตัวลง
แต่เป็นเพราะถึงแม้เจ้าหมิงหมิงจะพกกระบี่ติดตัว แต่การใช้กระบี่ของนางก็ไม่ได้ถือว่าชำนาญนัก
ถึงอย่างไรร่างกายของอสูรเหล่านี้ก็คมกริบที่สุด พวกมันไม่จำเป็นต้องพึ่งพาดาบหรือกระบี่
เจ้าหมิงหมิงถือกระบี่ยาวในมือ ปลายกระบี่ชี้ลงพื้น มือซ้ายลูบไปตามตัวกระบี่เบาๆ
จากนั้นนางก็ยกกระบี่ขึ้น ราวกับดอกไม้ร่วงหล่นจากฟ้า
แม้ในคืนที่ไม่มีแสงจันทร์ ก็ทำให้จิ้งเหยารู้สึกตาพร่ามัว
จิ้งเหยาเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยให้เจ้าหมิงหมิง
สำหรับเขาที่ทะนงตนอย่างยิ่ง นี่ถือเป็นการกระทำที่ต่ำต้อยที่สุดแล้ว
เหมือนแสดงความเคารพต่อเจ้าหมิงหมิง
จากนั้นฟันดาบโค้งทำลายกระบี่ดอกไม้และแสงกระบี่ของเจ้าหมิงหมิง แล้วพุ่งเข้าหานาง
เมื่อเจ้าหมิงหมิงเห็นดาบนี้ของจิ้งเหยา นางสะบัดข้อมือเบาๆ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้ง
บรรยากาศที่แข็งแกร่งและกลมกลืนก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้น
ดาบของจิ้งเหยาเหมือนนกนางแอ่นฝ่าพายุ
ในขณะที่กระบี่ของเจ้าหมิงหมิงกลับเหมือนคลื่นหลอกใต้ร่างนกนางแอ่น
ดูเหมือนจะมีเพียงหนึ่งกระบี่ แต่ความจริงซ่อนอยู่หลายชั้น
เมื่อเห็นกระบี่ที่มหัศจรรย์เช่นนี้ ในใจจิ้งเหยาก็ตกใจไม่น้อย!
“นี่คือสิ่งที่เจ้าพูดว่าใช้กระบี่ไม่ถนัด?”
จิ้งเหยาพูดแกมประชด
เขาเคยคิดว่าเจ้าหมิงหมิงเป็นหญิงสาวที่กล้าแกร่ง
คนที่กล้าแกร่งจะไม่ยโสหรือถ่อมตัวเกินไป
แต่เจ้าหมิงหมิงเพิ่งพูดว่านางไม่ถนัดใช้กระบี่ ชัดเจนว่าเป็นการโกหก…
ใช้ทักษะวิชากระบี่ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ แต่ยังบอกว่าตนเองไม่ถนัดใช้กระบี่ นี่จะไม่ตลกไปหน่อยหรือ?
เจ้าหมิงหมิงสีหน้าเย็นชา นิ่งเงียบไม่พูดจา
นางรู้ว่าจิ้งเหยาเข้าใจนางผิด
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะอธิบายได้
การอธิบายต้องใช้จังหวะที่เหมาะสม
ไม่เพียงแต่ต้องใช้เวลาเพียงพอ แต่ยังต้องมีโอกาสที่แม่นยำ
ยิ่งเป็นเรื่องเล็ก ยิ่งต้องใช้เวลาอธิบายนาน
มีหลายครั้งที่ไม่สามารถอธิบายเรื่องที่เข้าใจผิดในวันนี้ได้ แต่พอปล่อยไว้คืนหนึ่ง เรื่องเหล่านั้นก็จะกระจ่างขึ้นมาเอง
แต่เมื่อเกิดความเข้าใจผิดขึ้นแล้ว การอธิบายอาจไม่มีประโยชน์
สำหรับความเกี่ยวพันทางอารมณ์ วิธีที่ดีที่สุดคืออย่าให้มันเกิดขึ้น
การรักแต่ไม่ได้รับกลับมานั้นเจ็บปวด ดังนั้นก็อย่าไปรัก
เกลียดชังแต่ไม่สามารถทำอะไรได้นั้นก็เจ็บปวด ดังนั้นก็อย่าไปเกลียด
การถูกเข้าใจผิดเป็นเรื่องที่ยุ่งยากอย่างยิ่ง…
เช่นนั้นเหตุใดไม่เลือกที่จะอยู่ห่างๆ นิ่งเงียบเข้าไว้ตั้งแต่ต้น?
เจ้าหมิงหมิงไม่ได้ถอยห่างออกไปแค่ร่างกายเท่านั้น
หัวใจของนางก็ถอยห่างไปด้วย
ถอยห่างคือการไกลห่าง
แต่การไกลห่างนั้นเป็นแนวคิดที่คลุมเครืออย่างยิ่ง
ไกลอยู่ที่ใด
ไกลสุดขอบฟ้า
แล้วขอบฟ้านั้นอยู่ที่ใด
ทุกหนแห่งคือขอบฟ้า
เมื่อเทียบกับมนุษย์ในอาณาจักรห้าอ๋อง บ้านของเจ้าหมิงหมิงก็ไกลมาก
สำหรับมนุษย์แล้ว เก้าบรรพตนั้นไกลห่าง
ไกลแปลว่ายาก
ทางไกลยากที่จะไปถึง
คนไกลยากที่จะพบ
ไกลห่างไม่เคยเป็นเรื่องง่าย
แต่สิ่งที่ไม่ง่ายนั้น บ่อยครั้งก็ยิ่งเต็มไปด้วยความลึกลับและความงดงาม
ยอดเขาอยู่ไกล แต่ที่มนุษย์ปีนเขาก็ไม่ใช่เพื่อความลึกลับและความงามของยอดเขา รวมถึงการมองทุกอย่างได้ในคราวเดียวหรอกหรือ?
ความไกลห่างเช่นนี้นำมาซึ่งความสุขที่ไร้ขีดจำกัด
เวลาที่ยืดเยื้อ
ที่ว่างอันเวิ้งว้าง
จิตวิญญาณที่ห่างไกล
เมื่อสามสิ่งนี้ผสานรวมกันก็คือหนทางแห่งการดำรงชีวิตของเจ้าเหมิงหมิง และเส้นทางแห่งการใช้กระบี่ของนาง…
หิมะโปรยปรายบนเรือหลายหมื่นลี้
หิมะอยู่ตรงหน้า ไม่รู้ว่าเรือหลายหมื่นลี้จะจอดที่ใด
สีขาวหิมะผสมน้ำเงิน
การเคลื่อนไหวและความสงบนิ่งผสมผสานกัน
ความลึกลับที่เต็มไปด้วยความคลุมเครือ
เช่นเดียวกับเจ้าหมิงหมิง แม้จะสูงศักดิ์ แต่ใจของนางเศร้าหมองอย่างยิ่ง…
ดังนั้นกระบี่ของนางจึงมีการเปลี่ยนแปลงแปลกประหลาดมากมาย นอกเหนือจากความกว้างใหญ่
แท้จริงแล้ว นางไม่ถนัดกระบี่ ที่ไม่สามารถทำได้ก็แค่กระบวนกระบี่เท่านั้น
แต่หากความคิดในใจของนางถึงจุดนี้แล้ว กระบี่ก็เป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้น
ดาบของจิ้งเหยาใกล้มาก
แสงดาบของเขาสว่างไสว แต่ก็ส่องสว่างได้แค่ห้าก้าวเท่านั้น
ภายในห้าก้าวนั้น ไม่ว่าจะเป็นใคร จิ้งเหยามั่นใจว่าจะชนะด้วยการหวดดาบ
แต่นอกเหนือระยะห้าก้าวนั้นไกลเกินไป…
จิ้งเหยาไม่มีความมั่นใจ
สองคนนี้ คนหนึ่งใกล้ดาบ อีกคนใกล้กระบี่
ดาบค่อยๆ พุ่งเข้าหา
กระบี่ค่อยๆ ถอยห่าง
นี่คือทางตัน เป็นการต่อสู้ที่ไม่มีผลลัพธ์แน่นอน
คนส่วนใหญ่มักทำสิ่งที่รู้ว่าตนทำไม่ได้
จิ้งเหยาพลันตกตะลึงเมื่อเห็นกระบี่นี้ของเจ้าหมิงหมิงเข้ามาใกล้จากมุมที่คาดไม่ถึง!
ด้วยขั้นพลังยุทธ์และประสบการณ์ที่กว้างขวางของเขา ก็ยังไม่เคยเห็นท่ากระบี่ที่แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน
แม้ชาวทุ่งหญ้าจะใช้ดาบเป็นหลัก แต่ก็มีผู้ฝึกกระบี่
แต่ไม่ว่าจะเป็นทุ่งหญ้าหรืออาณาจักรห้าอ๋อง กระบี่นี้ของเจ้าหมิงหมิงก็แปลกประหลาดเกินไป!
แต่เขาก็ยังคงคิดและรู้สึกตกตะลึงอยู่ในหัว!
มือเขาช้าลงเพียงเสี้ยววินาที
พยายามตอบสนอง แต่เพียงหลบไปมา ก็เผยให้เห็นความอัปยศอดสู
“เจ้าเป็นอะไรไป”
เกาเหรินส่งกระแสเสียงไปยังจิ้งเหยา
“ข้าไม่เป็นไร”
จิ้งเหยาตอบกลับอย่างเย็นชา
“หรือว่าเจ้าก็เริ่มอยากสร้างความสัมพันธ์”
เกาเหรินถาม
แต่ในน้ำเสียงไม่มีการล้อเล่นแม้แต่น้อย
“ข้าไม่ใช่พวกตัณหา”
จิ้งเหยากล่าว
แม้ว่าเจ้าหมิงหมิงจะงดงามมาก แต่จิ้งเหยาไม่ใช่พวกตัณหาจริงๆ
เขาเพียงแค่ชื่นชมเจ้าหมิงหมิงเล็กน้อย
เทียบกับสตรีแล้ว เขาชื่นชอบสุราและการสู้รบมากกว่า
“พวกเรามีเวลาจำกัด หวังว่าเจ้าจะทำตัวดีๆ!”
เกาเหรินกล่าว
จิ้งเหยาไม่ได้พูดอะไรอีก
ดีที่หลังจากฟันกระบี่นั้นเจ้าหมิงหมิงก็ยังยืนอยู่กับที่ ไม่ได้โจมตีอีก
“ตอนนี้เจ้าจะเปิดทางได้หรือยัง”
เจ้าหมิงหมิงถาม
เจ้าหมิงหมิงเห็นว่าแม้จิ้งเหยาจะต้านรับการโจมตีของนางไว้ได้ แต่ก็ค่อนข้างยากลำบาก…
จึงเอ่ยปากถามขึ้น
“ข้าจะไม่ยอมหลีกทาง”
จิ้งเหยากล่าว
เขาส่ายหัว
คำว่า ‘ไม่’ ที่พึ่งพูดออกไปนั้น เจ้าหมิงหมิงก็ฟันกระบี่ออกไปอีกครั้งหนึ่ง
ไม่เหมือนครั้งก่อน กระบี่ครั้งนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่หวือหวามากมาย
ดูเหมือนจะมีเพียงความเรียบง่ายและธรรมดา
แต่เมื่อจิ้งเหยาเห็น ใจก็ยิ่งตึงเครียด
กระบี่แรกยังมีเล่ห์เหลี่ยมบ้าง แต่กระบี่นี้กลับเรียบง่ายสง่างาม
มีความสุขุมที่มองโลกทะลุปรุโปร่ง
มีบางอย่างที่จิ้งเหยาไม่เข้าใจจริงๆ
สตรีที่ทั้งเยาว์วัยและงดงามเช่นนี้ควรจะกำลังเพลิดเพลินกับชีวิต แต่เหตุใดกระบี่ของนางถึงมีความโดดเดี่ยวหนักหน่วงเพียงนี้?
กาลเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนล้วนมีความทรงจำที่ประทับใจและน่าจดจำ
แต่ความทรงจำก็คือความทรงจำ คนที่ยึดติดกับอดีต ก็ทำได้เพียงปล่อยให้มันผ่านไปตลอดกาล
ความเศร้าโศกและความปรารถนาอาจแปรเปลี่ยนเป็นแรงจูงใจได้ภายในช่วงเวลาหนึ่ง แต่มากยิ่งกว่านั้นก็คือความรู้สึกไร้ที่ยืนและไม่สามารถหลุดพ้นได้
กระบี่ของเจ้าหมิงหมิงเหมือนกับชะตากรรมของผู้คน
เหมือนสายลมที่พัดผ่านแล้วสะกิดใจของจิ้งเหยาโดยตรง
กระตุ้นให้เขานึกถึงความทรงจำในวันที่เคยเงียบสงบและงดงาม
ราวกับว่ากระบี่นี้คือตลอดชีวิต
อ่านน้อยลง
………………………………………………