ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 414 อารมณ์ไม่จีรัง-2 ..........
บทที่ 414 อารมณ์ไม่จีรัง-2
……….
เขาเป็นชาวทุ่งหญ้า
สำหรับแก่นแท้ของเรื่องทางโลกในอาณาจักรห้าอ๋องและสำนักปากสอบ เขาไม่เข้าใจแม้แต่น้อย
ท่ามกลางผู้คนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ มีเพียงเจ้าหมิงหมิงและเกาเหรินเท่านั้นที่มองเห็นถึงวีถีที่ซุกซ่อนอยู่
เจ้าหมิงหมิงเองก็เล่นฉินเป็น
ย่อมเข้าใจในทฤษฎีดนตรีดี
ใน ‘คัมภีร์คีตะ’ บันทึกไว้ว่า ดนตรีมีไว้เพื่อประสานความสัมพันธ์ที่สับสนและยุ่งเหยิง เมื่อมีดนตรีเข้ามาประสาน ผู้คนจึงสามารถใกล้ชิดกันได้ แต่หากดนตรีเกินพอดี ก็จะทำให้ผู้คนหลงระเริงจนเกินขอบเขตได้
แม่นางน้อยผู้นี้ย่อมไม่ใช่คนหลงระเริงเป็นแน่
ดังนั้น ดนตรีในหัวใจของนางคงเกิดจากความรู้สึกและสิ้นสุดที่จารีต
“เจ้าเต้นรำเป็นหรือไม่”
กระแสเสียงของเกาเหรินขัดจังหวะดนตรีข้างหูจิ้งเหยา
“เต้นรำ?”
จิ้งเหยารู้สึกประหลาดใจ
เหตุใดอีกฝ่ายจึงถามว่าตนเต้นรำได้หรือไม่
ชาวทุ่งหญ้ามีลักษณะนิสัยเปิดเผย ร้องรำทำเพลงเป็นเรื่องปกติ
ถึงแม้จะไม่เข้าใจทฤษฎีดนตรี แต่จิ้งเหยาเต้นรำได้ไม่เลวทีเดียว
“ระฆังชุด กลอง แตรเขาสัตว์ ชิ่ง[1] เครื่องสาย ขลุ่ย โหวต ขิม ล้วนเป็นเครื่องดนตรี เมื่อมีดนตรีย่อมมีการเต้นรำ ท่วงท่าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการโค้ง การยืด การก้ม การเงย การประกบ การขยับ การผ่อนแรง หรือการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วล้วนสัมพันธ์กับเสียงดนตรี การเต้นรำที่พลิ้วไหวหรือเร่งรีบล้วนสะท้อนถึงจังหวะและอารมณ์ของดนตรีทั้งสิ้น”
กระแสเสียงของเกาเหรินดังขึ้นอีกครั้ง
หากการเต้นรำสามารถทำลายกระบวนท่าของกระบี่ได้ สำหรับจิ้งเหยาแล้วกลับไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร
ลักษณะเด่นในการเต้นรำของชาวทุ่งหญ้าคือจังหวะที่รวดเร็ว
ไม่เพียงสะท้อนถึงนิสัยเปิดเผย ร่าเริง และกล้าหาญของพวกเขา ยังแสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์ที่เด่นชัดของดินแดน และในการแสดงยังแสดงออกถึงลักษณะเฉพาะที่แข็งแกร่งของเขตแดน
การเต้นรำของชาวทุ่งหญ้า มักเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายที่มาจากวิถีชีวิต ผสมผสานความดุดันกล้าหาญของบุรุษชาวทุ่งหญ้ากับความละเอียดอ่อนและสง่างามของสตรีเข้าด้วยกัน จนเกิดเป็นท่วงท่าที่สมดุลและกลมเกลียว
แม้จิ้งเหยาจะไม่เข้าใจอาณาจักรห้าอ๋อง และไม่รู้จักสำนักปากสอบ
แต่เขารู้และเข้าใจทุ่งหญ้า
ผืนหญ้าทุกส่วนบนทุ่งหญ้าคือบิดา
สายน้ำทุกสายคือมารดา
คนผู้หนึ่งจะไม่เข้าใจบิดามารดาของตนได้อย่างไรเล่า
แทนที่จะพยายามฝืนทำสิ่งที่ตนเองไม่ถนัด ไม่สู้ฟังคำแนะนำของเกาเหรินและลองเสี่ยงทำตามดูสักครั้ง
นับตั้งแต่ชาวทุ่งหญ้าค้นพบไฟและพิชิตฝูงหมาป่าได้ ก็มีขึ้นชื่อเรื่องทักษะการร้องรำทำเพลง
บุรุษชาวทุ่งหญ้าล้วนเชี่ยวชาญในการเต้นรำเพื่อแสดงออกถึงวิถีชีวิตและความรู้สึกที่งดงามของตน
เผ่าของจิ้งเหยาก็เช่นกัน พวกเขาเต้นรำเมื่อมีเรื่องน่ายินดี และเมื่อเศร้าโศกก็จะเต้นรำรอบกองไฟที่เต็มไปด้วยเถ้ากระดูกบรรพชน เพื่อขอให้เคราะห์ร้ายผ่านพ้นไป
คุณลักษณะทางจิตใจเหล่านี้เกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ชีวิตในทุ่งหญ้า ความกล้าหาญ ความกระตือรือร้น และนิสัยที่ตรงไปตรงมาของพวกเขาสะท้อนอยู่ในการเต้นรำ
แม้การเต้นรำของจิ้งเหยาจะไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับดนตรี…การเต้นรำของชาวทุ่งหญ้ามักเกี่ยวพันกับสุราเป็นหลัก
เนื่องจากชนเผ่าทุ่งหญ้าดำรงชีวิตด้วยการเลี้ยงสัตว์และล่าสัตว์อยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมเช่นนี้มานาน พวกเขานับถือทั้งฟ้า ดิน ขุนเขา และนกอินทรีผู้กล้า
จิ้งเหยายกดาบขึ้น
แต่ไม่มีทีท่าว่าจะจู่โจมแต่อย่างใด
เขาใช้มือซ้ายเคาะเบาๆ ที่ตัวดาบของดาบโค้ง
จากนั้นยืดอกหลังตรง
ร่างกายท่อนบนเอนไปด้านหลัง แผ่นหลังเอนเล็กน้อย
เงยหน้าขึ้นมองจันทร์บนท้องนภา ศีรษะเอนไปด้านหลังเล็กน้อย
จากนั้นใช้มือซ้ายกระชากเสื้อคลุมออก เผยให้เห็นชุดชาวทุ่งหญ้าที่อยู่ข้างใน
เสื้อคลุมสีขาวประดับลวดลายของนกและเหล่าสัตว์ป่าที่ดุร้าย
ยามนี้ลวดลายเหล่านั้นเริ่มเคลื่อนไหวตามจังหวะร่างกายของจิ้งเหยาราวกับมีชีวิต
สภาพแวดล้อมและอารมณ์สามารถส่งผลต่อเสียงดนตรีในหัวใจของผู้คนได้
แต่ในทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ ก็ได้ถือกำเนิดการเต้นรำที่เป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ขึ้น
หากแม่นางน้อยสามารถผสานเสียงฉินเข้ากับกระบี่ได้ เช่นนั้นเหตุใดจิ้งเหยาจะผสานการเต้นรำเข้ากับดาบไม่ได้เล่า
ลักษณะพิเศษของทุ่งหญ้า ไม่เพียงมอบพื้นที่และแรงบันดาลใจในการเต้นรำแก่ชาวทุ่งหญ้าเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญต่อการก่อร่างและพัฒนาการเต้นรำของชาวทุ่งหญ้าอีกด้วย
ชาวทุ่งหญ้าเคารพยกย่องเหล่าวีรบุรุษอย่างลึกซึ้ง และภาพลักษณ์ของสตรีก็เน้นความอ่อนโยนและสง่างาม ทำให้การต่อสู้ของพวกเขามีทั้งความอ่อนโยนและความแข็งแกร่ง
แม่นางน้อยมองดูจิ้งเหยาเต้นรำ ก็พลันขมวดคิ้วแน่น…
นางไม่คาดคิดว่ากระบี่ที่ปลุกด้วยเสียงฉินของนางจะถูกจิ้งเหยาทำลายได้ง่ายดายเช่นนี้
นางไม่อาจยอมรับได้…
เพลงนี้มีนามว่า ‘ทะเลครามบุปผาร่วง’
แต่ในตอนนี้มันไม่ใช่แค่บทเพลงหรือดอกไม้ชนิดหนึ่ง ทว่าเป็นท่วงท่ากระบี่
เมื่อใดที่นางบรรเลง ก็คล้ายกับทะเลกว้างใหญ่ที่โหมซัด และดอกไม้ที่ปลิวว่อนในศาลา
อย่างไรก็ตาม ตอนแรกเริ่ม ‘ทะเลครามบุปผาร่วง’ เป็นเพียงบทเพลงหนึ่งเท่านั้น
กระบวนท่ากระบี่สามารถมองเห็นได้ แต่บทเพลงแค่ได้ยินเท่านั้น
กระบวนท่ากระบี่ใช้สำหรับสังหาร แต่บทเพลงมีไว้เพื่อผ่อนคลายและปลอบประโลมใจ
ในเวลานั้น แม่นางน้อยยังไม่ใช่คนเย็นชาเช่นวันนี้
นางมีคนที่นางรัก และนางก็รักทุกสิ่งรอบตัว
แต่เมื่อรักใครสักคนต้องพยายามสร้างสรรค์สิ่งที่งดงามขึ้น
นั่นเป็นเหตุผลที่นางแต่งเพลง ‘ทะเลครามบุปผาร่วง’
วันนั้น แม่นางน้อยสวมอาภรณ์สีคราม ยืนอยู่บนหัวสะพานกลางสำนักปากสอบ
สายลมเอื่อยๆ พัดผ่านต้นไม้ ทำให้เงาของต้นไม้พลิ้วไหว
ปล่อยผมยาวสลวย
แม่นางน้อยยืนต้านลม ในขณะที่อาภรณ์ปลิวไสวตามลม
เส้นผมสีดำขลับปะทะกับใบหน้าที่งดงามของนาง แต่ก็ไม่สามารถบดบังดวงตาที่ใสกระจ่างดุจสายน้ำของนางได้
เสียดายที่ตอนนั้นนางยังไม่รู้…
แม้นางจะรักบุรุษผู้นั้นอย่างลึกซึ้ง แต่เขากลับทุ่มใจให้แก่หมู่ดาราบนฟากฟ้า
แม่นางน้อยหยิบฉินขึ้นมา ท่ามกลางราตรีที่เงียบสงัด เสียงฉินดังกังวาน
เสียงฉินไหลเรียงไปพร้อมกับสายน้ำที่ไหลรินอยู่ใต้สะพาน
เสียงเพราะพริ้งอ่อนหวาน แต่ล่องลอยเบาหวิว ราวกับท่วงทำนองจากสรวงสวรรค์ชั้นฟ้าร่วงหล่นลงมา
แม้แต่แสงจันทราก็ยังถูกเสียงฉินของนางทำให้ดูซีดเซียวลงและผลักไสออกไปไกล
ดอกไม้ราตรีร่วงหล่นลงสู่ผิวน้ำแล้วไหลล่องไปไกล เหมือนดั่งสายตาที่คู่รักมอบให้แก่กัน
แต่ในขณะที่นางกำลังเล่นฉินอยู่นั้น จู่ๆ น้ำตาของแม่นางน้อยก็ไหลรินออกมา
อารมณ์แปรเปลี่ยน ปลายนิ้วที่เคยบรรเลงเสียงอย่างราบรื่นกลับเริ่มสะดุด เพลงที่ควรจะสงบนิ่งและไหลลื่นกลับเต็มไปด้วยความติดขัด
แม่นางน้อยหยุดชะงัก นางไม่รู้ว่าน้ำตาของตนมาจากที่ใด ทั้งที่เคยบรรเลงเพลงนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกครั้งก็จะร้องไห้และผิดพลาดที่จุดเดียวกันอยู่ร่ำไป…
นางรู้สึกขมขื่นในใจอย่างยิ่ง
“เพลงนี้ ข้าไม่คิดจะเล่นมันอีกแล้ว”
แม่นางน้อยพูดขึ้น
เพิ่งสิ้นเสียง เสียงดนตรีที่ดังอยู่ในหูของจิ้งเหยาพลันหยุดลง
เขาหยุดเต้นรำ สายตามองไปยังแม่นางน้อยอย่างเรียบนิ่ง
แต่ในดวงตาคู่นั้นกลับแฝงความสงสาร
“เพลงนี้เจ้าคงแต่งไว้นานแล้วใช่หรือไม่”
จิ้งเหยาเอ่ยถาม
“นานมากแล้ว นานจนข้าจำไม่ได้แล้ว”
แม่นางน้อยตอบ
“แต่เจ้าก็ยังจำได้ว่าบทเพลงนี้ควรเล่นอย่างไร”
จิ้งเหยากล่าวต่อ
“เจ้าก็ยังจำได้ว่าควรเต้นรำเช่นไรไม่ใช่หรือ”
แม่นางน้อยย้อนถาม
ดาบโค้งของจิ้งเหยา กระบี่สั้นของแม่นางน้อย ล้วนเปลี่ยนไปเป็นท่วงทำนองแห่งการเต้นรำ
เจ้าหมิงหมิงมองดูทุกอย่าง ความเข้าใจในโลกมนุษย์ของนางลึกซึ้งขึ้นอีกขั้น
………………………………………………