ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 419 ยังคงมีกลิ่นอายเดิม-1
บทที่ 419 ยังคงมีกลิ่นอายเดิม-1
……….
“เดินต่อไปอีกหน่อยจะมีหมู่บ้านหนึ่ง”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
ความรู้ของเขาเกี่ยวกับรัฐหงนั้นลึกซึ้งกว่าคนอื่นๆ อยู่มาก
นายท่านจินอาศัยอยู่ในเหมืองที่ห่างไกลมานาน การเปลี่ยนแปลงของรัฐหงและหัวเมืองในปัจจุบันถึงขั้นทำให้เขาหลงทางได้ รายละเอียดทางภูมิศาสตร์เช่นนี้ เขาย่อมไม่รู้
ชิงเสวี่ยชิงหิวโซ ร่างกายเริ่มเย็นเล็กน้อยและเริ่มง่วง
ว่าไปก็แปลก คนเราเวลาหิวมักจะรู้สึกง่วง
ก็เหมือนกับสัตว์ป่าหลายชนิดที่ในฤดูหนาวหาอาหารไม่ได้ก็จะเลือกที่จะจำศีล
การนอนหลับช่วยลดการใช้พลังงานของร่างกายให้ต่ำที่สุดและน้อยที่สุด นี่ก็เป็นวิธีการปกป้องตัวเอง
“หมู่บ้านนั้นคงไม่มีอะไรที่น้องชิงชอบกินหรอก…”
เหวินฉีเหวินกล่าว
“เมื่อออกมาข้างนอก เจ้าไม่ใช่คุณชายจวนผู้ควบคุมรัฐและนางก็ไม่ใช่คุณหนูจวนชิง ไม่มีที่ของมากมายที่จะเลือกสรร อีกอย่างการเลือกสรรเช่นนั้นก็ไม่นับว่าสูงศักดิ์”
นายท่านจินกล่าวอย่างเย็นชา
ในสายตาของเขา ความสูงศักดิ์เป็นเพียงสิ่งที่มีอยู่ภายในกฎเกณฑ์
จวนชิงคือกฎเกณฑ์หนึ่ง รัฐหงก็เป็นอีกกฎเกณฑ์หนึ่ง
ในขอบเขตของกฎเกณฑ์นี้ หากเงื่อนไขเอื้ออำนวย ชิงเสวี่ยชิงและเหวินฉีเหวินก็สามารถแสดงความยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้อย่างเต็มที่
แต่ความสูงศักดิ์นั้นมักมาจากภายในสู่ภายนอก หากไม่มีเลือดของความสูงศักดิ์ แล้วจะได้เลือดเนื้อความสูงศักดิ์มาจากไหน? คนที่สูงศักดิ์อย่างแท้จริง เจ้าสามารถเห็นความแตกต่างจากทุกรูขุมขนและทุกเส้นผมของเขาได้
แม้นายท่านจินจะมีกรงเหยี่ยวหรูหรามากมาย แต่เขาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสูงศักดิ์
คุณสมบัติของความสูงศักดิ์ เริ่มต้นจากการไม่มีความคิดที่ต่ำช้า
ไม่มีความคิดที่ต่ำช้า ก็จะไม่มีการกระทำที่ต่ำช้า
แต่นายท่านจินเคยทำงานสกปรกและใช้กลอุบายมากมาย
ดังนั้นเพียงแค่สองข้อนี้ เขาย่อมไม่สูงศักดิ์
หัวไชเท้าหนึ่งหลุม ดึงขึ้นก็มีดินติดมาด้วย
นี่คือสิ่งที่นายท่านจินประเมินตัวเอง
หากพูดกันตรงๆ ความสูงศักดิ์ของนายท่านจินก็เป็นเพียงจิตวิญญาณที่เรียบง่ายเท่านั้น
สุดท้าย เขายังคงจดจำความเจ็บแค้น ใจก็ไม่ได้กว้างขวาง
หากทำให้ความสูงศักดิ์ซับซ้อนเกินไป มันก็ไม่ใช่ความสูงศักดิ์อีกต่อไป แต่เป็นความจอมปลอม
มีเพียงคนจอมปลอมที่จิตใจซับซ้อนเท่านั้น ถึงจะยกยอตัวเองว่าสูงศักดิ์
แต่ความสูงศักดิ์ที่ไม่มีแก่นสารนั้น ก็เพียงอาศัยวัตถุเชิดหน้าชูตา จริงๆ แล้วก็ไม่ต่างอะไรจากความไร้แก่นสาร
เหวินฉีเหวินโดนนายท่านจินค่อนแขวะจึงลูบจมูกอย่างเก้อกระดาก จากนั้นนิ่งเงียบไม่พูดจา
นายท่านจินหันกลับไปส่งเสียงบอกคนทั้งขบวน ก่อนจะเดินไปยังทิศทางของหมู่บ้านที่หลี่จวิ้นชางชี้
แทนที่จะเรียกว่าหมู่บ้าน เรียกว่าเมืองภูเขาจะดีกว่า
รัฐหงมีภูเขาจำนวนมาก ดังนั้น ที่อยู่ของผู้คนมักจะอยู่ในหุบเขา
แน่นอนว่าทรัพยากรอยู่ในภูเขา หากมีภูเขาน้อย ก็จะไม่มีทรัพยากรแร่มากมายเช่นนี้
ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่ใช่สถานที่เล็กๆ มีประมาณหลายร้อยครัวเรือน
หลี่จวิ้นชางบอกว่า เมื่อครั้งที่เขาเดินทางผ่านที่นี่ก็เป็นเวลาหลายปีมาแล้ว
ตอนนั้นหมู่บ้านนี้ยังไม่มีขนาดใหญ่เท่าทุกวันนี้ อย่างมากก็ประมาณร้อยครัวเรือนเท่านั้น
ตอนนี้ก็นับว่ารุ่งสางแล้ว
แต่แสงอรุณยังไม่สามารถส่องผ่านภูเขาที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆ ไปยังหมู่บ้านได้ ดังนั้นหมู่บ้านจึงยังมืดสนิท
แต่หน้าบ้านของแต่ละครัวเรือนต่างก็จุดไฟไว้ ทุกคนต่างรู้สึกแปลกใจ
นายท่านจินและหลี่จวิ้นชางสบตากัน แต่ที่นี่ก็คือสถานที่ที่ใกล้ที่สุด
ไม่เพียงแต่ชิงเสวี่ยชิงเท่านั้น แม้แต่คนจากจวนผู้ควบคุมรัฐหงก็เหนื่อยล้ามากแล้ว
เมื่อเข้าไปในหมู่บ้าน ทุกคนถึงได้เห็นทหารหลายคนถืออาวุธกำลังตรวจค้นทั่วทั้งหมู่บ้าน
เหวินฉีเหวินเคยเจอนายทหารผู้ที่ดูเป็นหัวหน้าในที่ทำการหัวเมืองมาก่อน นั่นก็คือผู้สั่งการหัวเมืองรัฐหง นามว่าจางเจี้ยนหลง
เมื่อเห็นคนรู้จัก ก็พลันโล่งใจ
“ผู้สั่งการหัวเมืองจางกำลังปฏิบัติหน้าที่หรือ”
เหวินฉีเหวินขี่ม้าไปข้างหน้า ประสานมือแล้วเอ่ยถาม
อาจเป็นเพราะจางเจี้ยนหลงตื่นเช้านอนไม่พอ ใบหน้าเคร่งขรึม กำลังยืนต่อว่าผู้ใต้บังคับบัญชาสองคน
“ไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังมีธุระ ไปไกลๆ ซะ ไม่เช่นนั้นจะกักตัวเจ้าด้วย!”
ท้องฟ้ามืดมิด และเขาไม่ค่อยรู้จักเหวินฉีเหวิน คุณชายจวนผู้ควบคุมรัฐเท่าไรนักจึงเอ่ยปากด่ากลับไป
เหวินฉีเหวินยิ้มและไม่ได้ใส่ใจ
จากนั้นลงจากม้าและจูงสายบังเหียนมายืนข้างจางเจี้ยนหลงเงียบๆ
จางเจี้ยนหลงกำลังไม่มีที่ระบายความโกรธ เมื่อเห็นว่าคนผู้นี้กล้าเดินเข้ามาหา ในใจพลันมีความสุขขึ้นมา…
เขาคิดว่าหากเขาพาคนนี้ไป ตัวเขาเองก็สามารถเอาดาบออกมาได้อย่างแน่นอนและสามารถทำให้พวกเขาหนีไปได้ และอาจจะได้สนุกสนานหน่อย
หลังจากนั้นเขาจะหาเรื่องขังเขาไว้หลายวันก็ได้ เป็นเรื่องสนุกและทำให้โล่งใจ
‘ฉบ!’
เมื่อเหวินฉีเหวินอยู่ห่างจากจางเจี้ยนหลงเพียงสองสามก้าว ดาบเขาก็ออกจากฝักแล้ว
ในชั่วพริบตา เห็นเพียงประกายแสงวาบ
พอจางเจี้ยนหลงตั้งสติได้ก็พบว่าดาบของตนกลับเข้าฝักไปได้อย่างไรก็ไม่อาจรู้ได้
สถานการณ์ลี้ลับเช่นนี้ ทำให้บนหน้าผากของเขาเริ่มมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นมา
ในขณะที่ถอยหลังอย่างต่อเนื่อง เขาก็เตรียมจะตะโกนออกมา
“บังอาจ! กล้าใช้ดาบต่อคุณชายได้อย่างไร?!”
จางเจี้ยนหลงเพิ่งจะอ้าปาก เสียงเพิ่งจะเริ่มเคลื่อนจากหน้าอกมายังลำคอ เหล่าทหารของจวนผู้ควบคุมรัฐที่อยู่ข้างหลังเหวินฉีเหวินก็พุ่งเข้ามา
พวกเขาพุ่งเข้ามาปกป้องเหวินฉีเหวิน และยังล้อมจางเจี้ยนหลงไว้
เมื่อจางเจี้ยนหลงสังเกตดูรอบตัวก็เห็นเพียงแสงวาวของดาบที่เปล่งประกาย ใจไม่อาจสงบนิ่งได้ จึงต้องชักดาบอีกครั้ง
แต่คำที่คนเหล่านี้เรียกว่า ‘คุณชาย’ ก็ทำให้เขาลังเลไม่น้อย…
และด้วยแสงที่สะท้อนจากคมดาบจำนวนมาก ในที่สุดเขาก็เห็นหน้าเหวินฉีเหวินชัดเจน
จำต้องกล่าวว่า หน้าตาของเหวินฉีเหวินนั้นคล้ายกับเหวินทิงไป๋ผู้ควบคุมรัฐหงบิดาของเขาอย่างยิ่ง
ความต่างเพียงอย่างเดียวคือ ผิวของเหวินทิงไป๋เข้มกว่า ในขณะที่เหวินฉีเหวินมีผิวที่เนียนขาวอย่างยิ่ง ซึ่งน่าจะได้มาจากมารดาที่เสียชีวิตไปแล้วของเขา
“ที่แท้เป็นคุณชายนี่เอง! ข้าน้อยไม่รู้ว่าเป็นคุณชายขอรับ คิดว่าเป็นโจรพาล! หวังว่าคุณชายจะยกโทษให้ข้าน้อย!”
หลังจากที่จางเจี้ยนหลงมองเห็นชัดเจน เขาทิ้งอาวุธลงกับพื้นทันที จากนั้นก้มหัวคำนับเหวินฉีเหวิน
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าก็แค่นึกสนุก อยากล้อผู้สั่งการหัวเมืองจางเล่นเท่านั้นเอง!”
เหวินฉีเหวินยิ้มกล่าว
เดินเข้าไปจับแขนจางเจี้ยนหลงให้หยัดตัวตรง
จางเจี้ยนหลงรู้สึกประทับใจอย่างยิ่ง…
ได้ยินมานานแล้วว่าคุณชายผู้นี้เป็นคนฉลาดหลักแหลม ปกติไม่เคยถือตัว ตอนนี้ได้พบเห็นกับตาก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
เพียงแต่ผู้ใต้บังคับบัญชาที่จางเจี้ยนหลงด่าทอไปเมื่อครู่ ตอนนี้เห็นหัวหน้าตัวเองเสียหน้าก็กลั้นหัวเราะแทบไม่อยู่
ไม่ได้หัวเราะออกมา แต่ในใจกลับสุขใจไม่น้อย!
ความรู้สึกนี้ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าที่พวกเขาจะเข้าไปตบจางเจี้ยนหลงด้วยตัวเองเสียอีก!
จางเจี้ยนหลงเป็นทหารมาจากปลายแถว ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือ
หากพูดถึงเรื่องวัฒนธรรมนั้น เขาก็รู้จักแค่ตัวอักษรบางตัวเท่านั้น
แม้กระทั่งชื่อของเขาเอง ตอนนี้ก็ยังเขียนผิดๆ ถูกๆ
เขาสามารถถือว่าเป็นครึ่งหนึ่งของชาวนา ตัวเขาเองมีกลิ่นอายของคนในยุทธภพ และทหารใต้บังคับบัญชาของเขาก็เช่นกัน…
เขาด่านายทหาร แล้วนายทหารก็ไปด่าหัวหน้ากอง หัวหน้ากองก็ไปด่าทหารชั้นประทวน สุดท้ายก็เป็นทหารเก่ารังแกทหารใหม่ ทหารใหม่ไม่มีที่ระบายความโกรธ ก็ได้แต่ไปบ่นกับทหารในครัวว่าอาหารวันนี้ไม่มีเนื้อ
“ผู้สั่งการหัวเมืองจางกำลังปฏิบัติหน้าที่หรือ”
เหวินฉีเหวินถาม
คำถามนี้เหมือนกับที่ถามครั้งแรกไม่ผิดเพี้ยน
แต่คำตอบที่ได้รับกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง…
ครั้งก่อนเมื่อเหวินฉีเหวินถามเช่นนี้ สิ่งที่เขาได้กลับมาคือจางเจี้ยนหลงชักดาบ
แต่ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา จางเจี้ยนหลงกลับเคารพนบนอบขึ้นมา
“เรียนคุณชาย ข้าน้อยได้รับคำสั่งจากผู้ควบคุมรัฐให้เดินทางมาที่นี่เพื่อตรวจสอบเรื่องเบี้ยหวัดที่ถูกปล้นขอรับ”
จางเจี้ยนหลงกล่าว
เหวินฉีเหวินพยักหน้า
พวกเขาเดินทางไปที่เหมืองเป็นการเคลื่อนไหวอย่างลับๆ
เหวินทิงไป๋ต้องการปิดบังสายตาผู้คน จึงส่งกลุ่มเล็กๆ จำนวนมากแยกย้ายกันไปทั่วดินแดนรัฐหงเพื่อตรวจสอบในแต่ละเมือง
ด้วยวิธีนี้ ไม่เพียงแต่สามารถชี้แจงแก่วังเจิ้นเป่ยอ๋องได้ แต่ยังดึงดูดสายตาคนอื่นๆ ได้อีกด้วย
“คุณชายท่านมายังที่ห่างไกลนี้ได้อย่างไรขอรับ”
แต่พอพูดจบ เขาก็รู้สึกเสียใจทันที…
ตนเพิ่งจะทำให้คุณชายจวนผู้ควบคุมรัฐขุ่นเคือง และตอนนี้กลับไปสอบถามเรื่องส่วนตัวของคุณชายอีก หรือคิดว่าคอของตนแข็งแกร่งเกินไป ดาบที่ใช้ไม่คมพอที่จะหั่นคอเขาได้?
“ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ในหัวเมืองรัฐหงมีทหารและม้าเคลื่อนไหวอยู่บ้าง ทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจ จึงพาสหายสนิทสองสามคนและน้องชิงออกมาเที่ยวเล่น แต่ไม่คิดว่าจะมาพบกับผู้สั่งการหัวเมืองจางโดยบังเอิญเช่นนี้”
เหวินฉีเหวินกล่าว
คำพูดนี้พูดได้อย่างรัดกุม
นายท่านจินฟังแล้วก็ชื่นชมในใจไม่หยุด
นึกว่าเหวินฉีเหวินจะไร้ประโยชน์
การไปยังเหมืองในครั้งนี้ ก็แค่เพิ่มประสบการณ์และความสูงค่าให้ตัวเองเท่านั้น
แต่จากการที่เขาชิงดาบจากจางเจี้ยนหลงสำเร็จและคืนกลับเข้าฝักได้ดังเดิม นายท่านจินและหลี่จวิ้นชางก็เริ่มมองเห็นว่าเหวินฉีเหวินไม่ใช่แค่ของประดับที่ไร้ค่า
และด้วยคำพูดที่เขาเลือกใช้ ยิ่งทำให้นายท่านจินรู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา
จริงๆ แล้วเหวินฉีเหวินก็จงใจทำเช่นนี้
ความคิดของเขานั้นละเอียดและรอบคอบมาก
ก่อนออกจากบ้าน เหวินทิงไป๋บิดาของเขากำชับเป็นพิเศษว่าคราวนี้ให้นายท่านจินเป็นผู้นำหลัก คนจากจวนผู้ควบคุมรัฐของพวกเขาไม่ต้องออกหน้ามาก
แต่การไม่ออกหน้าอาจโดนดูถูก
นอกจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นอายุหรือประสบการณ์ เขาก็ยังห่างไกลจากนายท่านจินและหลี่จวิ้นชาง
สิ่งที่เขาใส่ใจยิ่งกว่าก็คือ ไม่ว่าอย่างไรนายท่านจินก็ยังเป็นพี่ชายของคนที่เขาหลงรัก
ไม่ว่าอย่างไร เหวินทิงไป๋ก็ไม่สามารถเข้มงวดหรือบีบบังคับเขาได้
ก่อนหน้านี้ เขาเพียงแค่เป็นห่วงเรื่องอาหารของชิงเสวี่ยชิงเท่านั้น ก็ยังถูกนายท่านจินค่อนแขวะไปหนึ่งที
ทางเดียวที่จะทำให้เขาได้รับความสนใจคือต้องหาโอกาสแสดงความสามารถออกมา
เพราะฉะนั้นเขาจึงเข้าใกล้จางเจี้ยนหลงอย่างเงียบๆ เพราะเขารู้จักนิสัยของจางเจี้ยนหลงดีอยู่แล้ว
หากเขาเข้าไปใกล้อย่างเงียบๆ ก็ต้องทำให้จางเจี้ยนหลงชักดาบ
สิ่งที่ตามมาก็เป็นไปตามที่คาดไว้
ตอนนี้ในใจของนายท่านจินอาจจะไม่ได้ถึงขั้นชื่นชมเหวินฉีเหวินมากนัก แต่ก็ไม่กล้ามองข้ามเขาอีกต่อไป
บรรลุเป้าหมายแล้ว เขาก็รู้ดีถึงหลักของการพอใจในสิ่งที่ได้รับ หากยังพูดต่อไป ก็จะไม่เพียงขัดต่อคำสั่งของบิดา แต่ยังทำให้นายท่านจินรู้สึกเหมือนว่าเขามาเอาหน้าเสียเอง
เหวินฉีเหวินจึงหันกลับไปและพูดกับนายท่านจิน
…………………………………………………