ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 423 ดอกไม้งามทำหลงใหล ดวงจันทร์ชำระสะสาง-3
บทที่ 423 ดอกไม้งามทำหลงใหล ดวงจันทร์ชำระสะสาง-3
……….
นายท่านจินตกใจเหงื่อเย็นท่วมกาย
เขารู้สึกได้ว่าเสื้อผ้าของเขาชุ่มเหงื่อถ้วนทั่ว ตอนนี้กำลังเปียกชื้นแนบติดอยู่บนหลังตน ไม่สบายตัวอย่างมาก…
เหลือบตามอง เถ้าแก่คนนั้นกำลังมองเขาอย่างครึ้มใจ มุมปากคล้ายมีรอยยิ้มอยู่ด้วย
“สองต่อหนึ่ง ควรเดิมพันเท่าไร”
เถ้าแก่กล่าว
“สองต่อหนึ่ง ไม่มีเดิมพัน”
นายท่านจินสงบลงแล้วกล่าว
“ทำไมจะไม่มีเดิมพันล่ะ ไม่ว่ามากน้อยอย่างไรก็ต้องมีเดิมพัน”
เถ้าแก่ยักไหล่กล่าว
“ขอยืมคำพูดเจ้าหน่อย คนตายนอกจากเขย่าถ้วยลูกเต๋าไม่ได้แล้ว กระทั่งโอกาสนั่งโต๊ะพนันก็ไม่มี”
นายท่านจินกล่าว
“ความมั่นใจเป็นเรื่องดี แต่มั่นใจเกินไปทุกสิ่งก็จะกลับตาลปัตร ข้าขอเตือนเจ้าทั้งสองประโยคหนึ่ง อยู่กับความเป็นจริงหน่อยดีกว่า โดยเฉพาะเจ้า!”
เถ้าแก่พูดจบแล้วยื่นมือชี้หลี่จวิ้นชาง
ทุกคนล้วนอยากอยู่ในความเป็นจริง
แต่บ่อเกิดความเศร้าของผู้คนก็คือช่องว่างระหว่างความเป็นจริงกับอุดมคติ
ต่อให้เป็นมือสังหารที่ใช้ชีวิตอยู่ในเงามืดมานานปีเช่นหลี่จวิ้นชางก็ชอบมองฟ้าสีคราม แสงจันทร์ และรู้สึกเบิกบานกับทิวทัศน์อันงดงาม
ตอนลมยามสารทพัดขึ้น
ตอนราตรีมืดมิดมาเยือน
ตอนฝนตกปรอยๆ
จินตนาการชีวิต ความรู้สึกของตน แม้กระทั่งวันเวลาที่เหลืออยู่อย่างไม่สิ้นสุด
นายท่านจินก็เหมือนกัน เขาเก่งกว่าหลี่จวิ้นชางเสียอีก
ด้วยการเสริมเติมแต่งจากสิ่งที่เห็นตรงหน้า ในหัวเขามักปรากฏคำพูดหลายบทหลายตอนที่เหมือนเต็มไปด้วยปรัชญา แต่ความจริงไม่มีตรรกะหรือประโยชน์แม้แต่น้อย
จากนั้นเขาก็จะใช้คำพูดเหล่านี้มาวิเคราะห์ตัวเอง
แต่พอมองอีกที เหล่านี้กลับไม่มีความหมายใดๆ
หลี่จวิ้นชางฟังคำเถ้าแก่จบก็ไม่ได้ถอยหลังหรือหลีกหนี
มือเขาเลื่อนหาด้ามดาบของตนอย่างช้าๆ
“ข้ามีเรื่องจะถามเขา”
ประโยคนี้พูดกับนายท่านจิน
หมายถึงให้เขาไม่ต้องออกมือ
นายท่านจินขมวดคิ้วครุ่นคิดเล็กน้อย สุดท้ายถอยไปด้านข้าง
เขาเห็นชิงเสวี่ยชิงกำลังขดตัวและสั่นอยู่จึงอยากเดินเข้าไปปลอบ
“กลัวหรือ”
นายท่านจินเอ่ยถาม
ชิงเสวี่ยชิงพยักหน้าด้วยความงุนงง
“ทำไมพวกเขาต้องฆ่าพวกเราด้วย”
ชิงเสวี่ยชิงเอ่ยถาม
นางใช้เรี่ยวแรงอย่างมากถึงจะพูดประโยคนี้ออกมาได้
“เขาบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าแค่อยากได้เงิน”
นายท่านจินกล่าว
ชิงเสวี่ยชิงกล่าวด้วยความโกรธเคือง
นางไม่เข้าใจ
“เหตุผลที่เจ้าว่า ไม่ว่าเขียนบนกระดาษหรือพูดออกมาจากปากล้วนเป็นประโยคเรียบง่ายหรือคำพูดง่ายๆ ไม่กี่ประโยค กระทั่งเป็นแค่สิ่งที่นึกขึ้นได้กะทันหันด้วยซ้ำ แต่เจ้ากลับคิดว่าเหตุผลนี้เกิดจากเลือดเนื้อของตัวเองหรือคนรุ่นก่อน”
นายท่านจินกล่าว
ชิงเสวี่ยชิงกะพริบนัยน์ตากลมโตมองนายท่านจิน
นางไม่รู้ว่าความหมายในคำพูดที่พี่ชายตนกล่าวกะทันหันนี้อยู่ตรงไหน แต่นายท่านจินกลับปิดปากเงียบไม่พูดอะไรอีก
เขายื่นมือมาตบไหล่ชิงเสวี่ยชิงเบาๆ แล้วก็หันกลับไปมองหลี่จวิ้นชาง
“คืบศอกขอบฟ้า! ไม่ได้เห็นไม่ได้ยินมาหลายปีแล้ว!”
เถ้าแก่มองดาบของหลี่จวิ้นชางพลางกล่าว
“แต่ว่า…เจ้าอุตส่าห์โชคดีรอดจากตระกูลที่พังพินาศมาใช้ชีวิตไปวันๆ ทั้งที่สามารถเปลี่ยนฐานะเริ่มต้นชีวิตใหม่ เหตุใดยังต้องแบกรับความแค้นหนักหนาเช่นนี้และพยายามเพื่อสกุลที่ไม่จำเป็นต้องมี”
เถ้าแก่เอ่ยถามต่อ
“เมื่อก่อนข้ามีความฝันมากมาย แต่หลังจากคืนนั้นข้ามีความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือต้องรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนนั้น และให้คนผิดชดใช้ด้วยเลือด”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“หลังจากแก้แค้นล่ะ เจ้าสร้างตระกูลหลี่ได้อีกหรือ”
เถ้าแก่เอ่ยถาม
“ทำไมข้าจะทำไม่ได้”
หลี่จวิ้นชางย้อนถาม
“แล้วหลังจากเจ้าสร้างตระกูลหลี่ใหม่ล่ะ ไม่มีเป้าหมายใดแล้วใช่หรือไม่ คนมักชอบกำหนดแผนการหรือเป้าหมายที่เอื้อมไม่ถึงให้ตัวเอง แต่หลังจากบรรลุแผนการและเป้าหมายเหล่านี้แล้วกลับเหลือเพียงความว่างเปล่าไม่สิ้นสุด”
เถ้าแก่กล่าว
“ตอนทำสิ่งใดเจ้าแค่ชอบสนุกกับขั้นตอน แต่ไม่ต้องการผลลัพธ์งั้นหรือ”
หลี่จวิ้นชางเอ่ยถาม
“ไม่ใช่แน่นอน เหมือนที่ข้าต้องฆ่าคนเพื่อเงิน มีเงินแล้วข้าก็กลับไปดื่มสุราเล่นพนัน หลังจากแพ้หมดข้าก็จะรู้สึกว่างเปล่านัก แต่ทำอะไรหนอนสุราในท้องกับหนอนพนันบนมือไม่ได้ จึงได้แต่ออกเดินทางไปหาเงินต่อ”
เถ้าแก่กล่าว
“เช่นนั้นเจ้ากับข้าก็ไม่ต่างกัน เหตุใดต้องเอาคำพูดมีหลักการมาเทศนาข้าด้วย”
หลี่จวิ้นชางเอ่ยถาม
“ไม่ต่างกันจริง…แต่ปัญหาเรื่องเทศนาคงแก้ไม่ได้แล้ว ก็เหมือนแขกใส่กางเกงในหอนางโลมแล้วมักพูดโน้มน้าวให้แม่นางเหล่านั้นกลับตัวเป็นคนดีอีกสองสามประโยค หากเจ้าจริงใจยังไม่สู้ไถ่ตัวนางมาเสียเลย หากเจ้าแค่อยากมีความสุขชั่วคราว เช่นนั้นไม่สู้ต่างฝ่ายได้สิ่งที่ต้องการแล้วจากไปเงียบๆ อย่างไรความสัมพันธ์ชั่วคราวนี้ก็ไม่ได้แย่อะไร แต่คนเรามักห้ามปากตัวเองไปเทศนาไม่ได้ ก็เหมือนกับข้า ทั้งที่ไม่ได้ประโยชน์และไม่มีจุดยืน แต่มักจะอดปากมากไม่ได้”
เถ้าแก่กล่าว
“เจ้าเป็นมือสังหาร ข้าก็เหมือนกัน มือสังหารที่ปากมากไม่เพียงตายไว ยังรับงานยากมากด้วย”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
ความเห็นไม่ตรงกันมากความไปก็เท่านั้น
หลี่จวิ้นชางไม่ใช่คนพูดมากอยู่แล้ว
มือสังหารสองคนเผชิญหน้า แน่นอนว่าผลสุดท้ายมีแค่คนเดียวที่ยังยืนอยู่
แต่หลี่จวิ้นชางไม่มั่นใจว่าตนจะฆ่าเถ้าแก่ผู้นี้ได้
ต่อให้ทำได้ เขาก็ฆ่าเถ้าแก่ไม่ได้เด็ดขาด
เพราะบนตัวเถ้าแก่มีกุญแจสำคัญเรื่องตระกูลหลี่ถูกฆ่ายกครัวเมื่อสิบห้าปีก่อน
หากเขาตายแล้ว ความจริงก็ยิ่งไกลออกไป
มือหลี่จวิ้นชางจับด้ามดาบไว้แน่นในที่สุด
เขาเองก็ไม่รู้ว่า ‘คืบศอกขอบฟ้า’ เล่มนี้อยู่คู่ตระกูลหลี่มากี่ยุคสมัย
แต่มันอยู่ในมือเขาสิบห้าปีได้แล้ว
ฝักดาบเป็นสีหมึก ด้วยเหน็บไว้ตรงเอวตลอดและเสียดสีกับหัวเข็มขัดอย่างต่อเนื่องจึงเผยสีน้ำตาลแก่ใต้สีหมึกเล็กน้อย
ด้ามดาบเป็นสีม่วง
ม่วงเข้ม
ว่ากันว่าความมืดยามราตรีเป็นเครื่องอำพรางและเครื่องป้องกันที่ดีที่สุด
แต่ในยามค่ำคืน สิ่งที่ไม่ดึงดูดสายตาผู้คนมากที่สุดกลับเป็นสีม่วง
แขนเสื้อขวาของหลี่จวิ้นชางยาวกว่าแขนซ้ายไม่น้อย
ตอนนี้มือเขาจับด้ามดาบไว้แน่น แต่มองในมุมคนอื่นกลับถูกแขนเสื้อคลุมไว้มิดชิด
ส่วนด้านในเป็นสภาพการณ์แบบใดล้วนไม่มีใครรู้
มือหลี่จวิ้นชางซึมเม็ดเหงื่อเล็กน้อย
เหงื่อแนบอยู่ระหว่างด้ามดาบกับฝ่ามือของเขา ค่อนข้างเปียกลื่นเหนอะหนะ
ผ่านไปครู่หนึ่ง หลี่จวิ้นชางจำต้องปล่อยด้ามดาบและคว้าแขนเสื้อที่ยาวออกไปครึ่งหนึ่งของตน
ถูเม็ดเหงื่อจนสะอาดแล้วจึงจับด้ามดาบอีกครั้ง
เขาเองก็รู้สึกประหลาด
เหงื่อออกตอนฆ่าคนใหม่ๆ เป็นเรื่องธรรมดา
นอกจากเหงื่อไหลท่วมกาย ในกระเพาะก็ยังคลื่นเหียนอาเจียนรุนแรง
เมื่อเหงื่อออกหมดแล้ว กระเพาะก็อาเจียนจนไม่เหลือแล้ว
ความหิวกระหายที่ยากต้านทานจะทะลักเข้าในใจ
แต่ถ้ากินอาหารและดื่มน้ำแล้ว
เหงื่อและอาเจียนก็จะเริ่มอีกครั้ง
ทุกครั้งต้องวนไปมาติดกันสามครั้งถึงจะหยุดได้
ต่อมาหลี่จวิ้นชางก็รู้สึกปกติดี
แม้บางครั้งการฆ่าคนจะบีบให้ตนตกอยู่ในสถานการณ์เฉียดตายเขาก็ไม่หวั่นกลัว
ผู้ชนะเป็นฝ่ายมีอำนาจอย่างแน่นอน
หลี่จวิ้นชางอยู่มาได้จนถึงตอนนี้ย่อมไม่จำเป็นต้องกลัว
และต่อให้ผู้แพ้เหล่านั้นอยากรู้สึกหวั่นกลัวก็ไม่มีโอกาสแล้ว
เพราะพวกเขาหลับตาตลอดกาล
การหลับตานี้ไม่ใช่นอนหลับ
ตอนหลับคนยังฝันได้
ในห้วงฝันก็คิดใคร่ครวญได้
แต่หลับยาวจากการตายจบลงแค่นี้
ไม่ว่าทุกสิ่งรีบเร่งเพียงใดล้วนหยุดลงในชั่วขณะนี้
เร่งร้อนแค่ไหนก็ทำอะไรไม่ได้
“ด้ามดาบเจ้ามีหนามหรือ”
เถ้าแก่หัวเราะกล่าว
หลี่จวิ้นชางพลันตัวสั่น
มือขวาตนซ่อนอยู่ในแขนเสื้อตลอด
เขาเห็นได้อย่างไรกันว่าตนปล่อยด้ามดาบสองครั้งแล้วจับใหม่
“ไม่ต้องคิดเยอะ ข้าเดา”
เถ้าแก่โบกมือกล่าว
“เจ้าไม่ใช่คนเชื่องช้า หากจับดาบมั่นแล้วคงออกมือตั้งแต่เนิ่นๆ แต่เจ้ากลับถ่วงเวลามานานขนาดนี้ เช่นนั้นมีเพียงหนึ่งความเป็นไปได้ ก็คือมือเจ้ายังไม่ได้จับดาบโดยสมบูรณ์”
เถ้าแก่กล่าว
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่ใช่คนเชื่องช้า”
หลี่จวิ้นชางเอ่ยถาม
“เพราะทุกคนในตระกูลหลี่ของพวกเจ้าล้วนเฉียบขาดว่องไว คนที่ใช้ ‘คืบศอกขอบฟ้า’ ในตอนนั้นยิ่งเป็นเช่นนี้ คิดว่าเจ้าก็คงไม่ด้อยกว่า แต่นี่ก็ประหยัดเวลาให้ข้าไม่น้อย ออกดาบเร็วก็ตายไว!”
เถ้าแก่กล่าวเฉียบขาด
เขาจงใจทำเช่นนี้…
ก็เพื่อจี้ใจดำหลี่จวิ้นชางและเปิดรอยแผลของเขา
แม้ดูเหมือนเถ้าแก่พูดมาก แต่กลับไม่มีคำใดไร้ประโยชน์
คำบางคำพูดออกมาได้จังหวะกลับมีพลังทำลายล้างยิ่งกว่าคมดาบปลายกระบี่
นัยน์ตาหลี่จวิ้นชางเริ่มสั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่…
มือขวาของเขาก็เริ่มสั่นไปด้วย…
การสั่นถ้าไม่ใช่เพราะตื่นเต้นก็เป็นเพราะหวาดกลัว
แต่การสั่นของหลี่จวิ้นชางในตอนนี้กลับเป็นอย่างที่สามซึ่งอยู่ระหว่างตื่นเต้นและหวาดกลัว
เรื่องในอดีตเหล่านี้ผ่านการตกตะกอนมาสิบห้าปี มันไม่ได้ตื่นเต้นขนาดนั้นแล้ว
และเขาเป็นมือสังหารมานานปีเช่นนี้ แม้เป็นการเข่นฆ่าน่าเวทนาเพียงใดล้วนเคยพบเห็น ทั้งยังไม่รู้จักความกลัว
เมื่อคนคนหนึ่งเห็นชีวิตคนอื่นเป็นดั่งต้นหญ้า นานวันเข้าก็จะไม่เห็นชีวิตตัวเองสำคัญเท่าไร…
ในบรรดามือสังหาร หลี่จวิ้นชางกลับเป็นคนรักชีวิตที่หาได้ยาก
ตัวเขาแบกรับความแค้นและความปรารถนาเอาไว้
แค้นยังไม่ชำระ
ความปรารถนายังไม่ลุล่วง
เขาตายไม่ได้
ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำทุกวิถีทางเพื่ออยู่รอด
…………………………………………….