ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 431 รู้ตื่นจากความโลภ-3
บทที่ 431 รู้ตื่นจากความโลภ-3
……….
ในเหมืองแร่รัฐหง
หลิวรุ่ยอิ่งยังคุยกับเถ้าแก่เนี้ยอยู่นาน
ยามนี้เอง สวีเหล่าซื่อพลันเดินเข้ามานั่งเหม่ออยู่ข้างโต๊ะใกล้หลิวรุ่ยอิ่งกับเถ้าแก่เนี้ย
ไม่ได้จะดื่มสุราและไม่ได้สั่งอาหารตุ๋นมากิน
แค่นั่งอยู่เงียบๆ เช่นนี้
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกเหมือนใบหน้าด้านข้างของตนมีสายตาร้อนแผดเผาสายหนึ่ง เขาหันไปมองสวีเหล่าซื่อก็พลันก้มหน้า
“เจ้ามีอะไรอยากพูดกับข้า”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
ถึงอย่างไรสวีเหล่าซื่อก็เป็นคนแรกที่เขารู้จักตอนมาที่นี่ หลิวรุ่ยอิ่งยังพอรู้สึกดีกับเขาอยู่บ้าง
ยิ่งกว่านั้นหลิวรุ่ยอิ่งยังจำคำที่สวีเหล่าซื่อพูดกับตนวันนั้นได้
เขาลืมประโยคเดิมไปแล้ว แต่ความหมายโดยรวมคือคนที่มาที่นี่ไม่มีใครออกไปได้ จุดจบสุดท้ายล้วนไม่ต่างกัน
จนถึงตอนนี้หลิวรุ่ยอิ่งพบเจอเรื่องประหลาดที่เหมืองแร่มากมาย ก็เริ่มเข้าใจคำพูดของสวีเหล่าซื่อบ้างแล้ว แต่ยังคงไม่รู้ชัดว่า ‘จุดจบ’ ที่เขาบอกหมายถึงอะไร
“ไม่มี”
สวีเหล่าซื่อได้ยินคำถามของหลิวรุ่ยอิ่ง กล่าวพลางเงยหน้ามองเขาอย่างเชื่องช้า
แววตาเขาขุ่นมัวนัก ไม่มีประกายแม้แต่น้อย
นี่ไม่เหมือนแววตาที่คนคนหนึ่งควรมีโดยแท้จริง
อาจเพราะหลังจากเขาได้รับ ‘จุดจบ’ ดังกล่าว เขาจึงไม่อาจนับเป็นคนมีชีวิตได้อีก
กินข้าว ดื่มน้ำ นอนหลับ ขับถ่ายล้วนขับเคลื่อนด้วยสัญชาตญาณของเขา
นอกจากนั้น การดื่มสุราอาจเป็นสิ่งเดียวที่เขาตระหนักรู้และเลือกเอง
“คราวก่อนรีบร้อนเกินไป ข้าคิดว่าเจ้ายังพูดไม่จบ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
ตอนดื่มสุราวันนั้นชั้นบนเกิดการปะทะกันกะทันหัน จากนั้นมีคนตายเพิ่มสองคนโดยไม่ทราบสาเหตุ
หลังจากสวีเหล่าซื่อกับเถ้าแก่อ้วนไปจัดการก็ไม่ได้กลับมาดื่มสุราพูดคุยต่ออีกเลย
ในชามเขายังเหลือเต้าหู้แห้งครึ่งชิ้นที่กัดไปคำหนึ่ง
“เจ้าอยากพูดอะไร”
สวีเหล่าซื่อเอ่ยถาม
หลิวรุ่ยอิ่งอดหัวเราะในใจไม่ได้…
ทั้งที่เขาคิดว่าสวีเหล่าซื่อยังพูดไม่หมด แต่อีกฝ่ายกลับเอ่ยปากย้อนถาม
“เจ้ามาที่นี่นานเท่าไรแล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“คราวก่อนเจ้าเคยถามแล้วรอบหนึ่ง ข้าบอกว่าจำไม่ได้”
สวีเหล่าซื่อกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งอดสงสัยไม่ได้…
คนผู้นี้ทึ่มจริงหรือเสแสร้ง
หากเคยพบเจอโศกนาฏกรรมบางอย่างแล้วมาเผชิญความทุกข์ยากในเหมืองแร่นานขนาดนี้ ตอบสนองช้าหน่อย สมองเลอะเลือนบ้างก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล
แต่สวีเหล่าซื่อกลับจำเนื้อหาที่คุยกับหลิวรุ่ยอิ่งคราวก่อนได้อย่างชัดเจน ต้องทราบว่าช่วงเวลาห่างกันไม่น้อย
คนที่สมองเลอะเลือน คนที่จำไม่ได้ว่าตัวเองมาที่นี่นานเท่าไรจะจดจำคำพูดไม่สลักสำคัญสองสามประโยคแม่นขนาดนี้ได้อย่างไร
“ในเมื่อเจ้าจำไม่ได้ว่ามานานเท่าไร ก็คงจำไม่ได้ว่าตัวเองมาจากไหนด้วยกระมัง…”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
พูดจบก็ดื่มสุราของตนจอกหนึ่ง
แม้เถ้าแก่เนี้ยที่อยู่ด้านข้างไม่ได้ดื่มเยอะ แต่ร่างกายกลับเริ่มโงนเงนแล้ว
เห็นได้ว่านางไม่สนใจบทสนทนาของหลิวรุ่ยอิ่งก่อนหน้านี้เลยสักนิด
แต่พอได้ยินหลิวรุ่ยอิ่งถามสวีเหล่าซื่อเช่นนี้ จุดรวมสายตาของนางย้ายกลับมาทันใด
สองนัยน์ตาแจ่มชัดสดใส ไหนเลยจะยังมีความมึนเมาอยู่
“ข้าจำได้!”
สวีเหล่าซื่อกล่าวด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน
มือขวาที่วางบนโต๊ะกำหมัดแน่น
ไม่รู้ทำไม หลังพูดสามคำนี้จบริมฝีปากล่างก็เริ่มสั่นเล็กน้อย
“เจ้าเคยเห็นมหาสมุทรหรือไม่”
สวีเหล่าซื่อเอ่ยถาม
หลิวรุ่ยอิ่งส่ายหน้า
แม่น้ำ ลำคลอง ทะเลสาบหรือทะเล
เขาไม่เคยเห็นเลยสักอย่าง
แดนพายัพขาดน้ำอยู่แล้ว น้ำในเมืองหลวงได้แต่นับเป็นบ่อน้ำ
ส่วนคูเมืองสายนั้นก็ไม่อาจนับเป็นแม่น้ำที่แท้จริงโดยสิ้นเชิง
เดิมคิดอาศัยจังหวะกลับจากหอทรงปัญญามารายงานผลที่เมืองหลวงพาหวาหนงเดินอีกเส้นทางและข้ามแม่น้ำจักรพรรดิกลับไป
นึกไม่ถึงคนกำหนดไม่สู้ฟ้ากำหนด กลับต้องมาติดพันเรื่องเบี้ยหวัดที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด…
แม่น้ำจักรพรรดิ สถานที่ที่มีนางโลมเลื่องชื่อที่สุดในอาณาจักรห้าอ๋อง และยังเป็นแหล่งถลุงเงินทองสมคำร่ำลือ
ใช่ว่าหลิวรุ่ยอิ่งอยากไปหาความสุขสำราญ เพียงสบโอกาสแล้วก็อยากไปสัมผัสเสน่ห์ของที่นั่นสักครั้ง
นั่งมองการร้องรำอันงดงามบนเรือล่อง ลมแม่น้ำชุ่มฉ่ำพัดผ่าน จากนั้นดื่มสุรารสพอดีหนึ่งจอก เพลิดเพลินกับความผ่อนคลายสุขสบายที่หาได้ยาก ขณะเดียวกันก็เพิ่มประสบการณ์เล็กน้อยให้ชีวิตที่ขาดสีสันของตน กลับไปเจอชายชราเลี้ยงม้าจะได้มีเรื่องให้คุยโว
เขาเคยบอกหลิวรุ่ยอิ่งว่าตอนนั้นตนก็เป็นคนใช้ชีวิตอิสระเหมือนกัน
แม่น้ำจักรพรรดิมีเรือล่องกี่ลำ ทุกลำมีนางโลมกี่คน นางโลมเหล่านั้นทรวดทรงดีเพียงใด ค้างคืนต้องใช้เงินเท่าไร ชายชราเลี้ยงม้ารู้ชัดเจนทั้งหมด
วันปกติพูดถึงเรื่องอื่น หลิวรุ่ยอิ่งยังอาศัยเหตุผลที่ตนเป็นหนุ่มอารมณ์ร้อนพร่ำบ่นไม่พอใจกับเขาได้
หรืออาจเห็นคำพูดของชายชราเลี้ยงม้าเป็นการผายลม ฟังหูซ้ายทะลุหูขวา!
แต่เมื่อชายชราเลี้ยงม้าเล่าความงดงามมีเสน่ห์นับหมื่นของแม่น้ำจักรพรรดิให้เขาฟัง หลิวรุ่ยอิ่งกลับพูดไม่ออกสักคำเดียว
ใจบอกไม่อิจฉาไม่ใฝ่หานั้นย่อมโกหก
แม้ไม่ใช่เพราะฝักใฝ่ในกาม แต่เกรงว่าคนหนุ่มสาวต่างก็อยากลองเรื่องที่ตนไม่เคยพบไม่เคยประสบกันทั้งนั้น
กระนั้นบนหน้าหลิวรุ่ยอิ่งยังต้องแสดงท่าทีว่านี่เป็นคำพูดธรรมดาน่าเบื่อที่ได้ยินบ่อยแล้ว
ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เขาอึดอัดใจจริงๆ…
แต่พอคิดอีกที อายุชายชราเลี้ยงม้าคงเลยวัยรู้อาณัติสวรรค์[1]นานแล้ว ไปยังที่ต่างๆ มากกว่าตนก็เป็นเรื่องปกติ
และตอนนี้สิ่งที่เขารับรู้เหล่านั้นอาจเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นหมดแล้วก็ได้
อย่างเรือล่องเหล่านั้นคงเปลี่ยนใหม่นานแล้ว
นางโลมแต่ละคนก็อาจจะอ้วนขึ้นไม่น้อย ถ้าไม่เป็นภรรยา ไม่เป็นแม่คน ก็ถอยก้าวหนึ่งมาเป็นแม่เล้า
หากตนไป ถึงอย่างไรก็ต้องได้หาเรื่องใหม่ๆ กลับไปล้างหูแน่นอน
……………………
หลิวรุ่ยอิ่งคิดเรื่อยเปื่อยอยู่พักหนึ่ง ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว
กระทั่งจอกสุราของเถ้าแก่เนี้ยยื่นมาข้างหน้าเขาถึงได้มีสติอีกครั้ง
หลิวรุ่ยอิ่งรีบร้อนชนจอกกับเถ้าแก่เนี้ยแล้วก็เห็นนางบุ้ยปากสื่อให้เขาหันไปมองสวีเหล่าซื่อ
หลิวรุ่ยอิ่งถึงนึกได้ว่าเมื่อครู่เขากำลังถามตนว่าเคยเห็นมหาสมุทรหรือไม่
แม้ส่ายหน้าสื่อว่าไม่เคย แต่คำถามไร้ที่มาเช่นนี้กลับทำให้หลิวรุ่ยอิ่งแคลงใจไม่น้อย
มาจากที่ไหนเกี่ยวอะไรกับมหาสมุทร
สวีเหล่าซื่อผู้นี้มาจากชายทะเลหรือไร
แต่พอหลิวรุ่ยอิ่งหันไปมองสวีเหล่าซื่อตามคำบอกของเถ้าแก่เนี้ย ร่างกายพลันสะดุ้งอย่างห้ามไม่อยู่…
เก้าอี้ชำรุดตัวยาวใต้ก้นคล้ายกลายเป็นหน้าผาสูงชันริมมหาสมุทร และตัวเขากำลังยืนอยู่บนนั้น สัมผัสเสียงร้องคำรามของคลื่นมหาสมุทรที่สาดซัดได้โดยตรง นี่เป็นความยิ่งใหญ่ที่น่าทึ่งยิ่งนัก และตอนนี้กำลังพุ่งออกมาจากสองนัยน์ตาของสวีเหล่าซื่อ
หน้าผาริมทะเลเรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่ใกล้ท้องฟ้าที่สุด
ทะเลสีน้ำเงินไกลสุดลูกหูลูกตา ท้องฟ้าก็เช่นกัน
ท้องฟ้าริมทะเลมีเมฆน้อย
เพราะลมทะเลมักแรงกว่าลมที่อื่น ทำให้เมฆไม่ได้หยุดพักเลยสักครู่
แต่เทียบกับลมในเหมืองแร่แห่งนี้ มันกลับแฝงความนุ่มนวลไว้อย่างชัดเจน
พายุทรายในเหมืองแร่เป็นศัตรูกับทุกคน
หากไม่กลายเป็นขี้เถ้ากลางพายุทราย ก็ได้แต่หันหลังก้มหน้ารับมัน
เหล่าคนงานที่รวมสวีเหล่าซื่อด้วย รวมถึงเถ้าแก่เนี้ยล้วนเคยชินตั้งนานแล้ว
แต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับสัมผัสได้ถึงความไม่เป็นมิตรจากพายุทรายมาโดยตลอด…
ตอนกลางคืนหน้าต่างที่ลงกลอนเรียบร้อยมักจะถูกพัดเปิด
แม้หลิวรุ่ยอิ่งใช้โต๊ะในห้องยันไว้ ผ่านไปครู่หนึ่งพายุทรายก็จะหอบก้อนหินขนาดกลางหลายก้อนมาทุบบนแผ่นหน้าต่างอย่างแรง
เหมือนกำลังประท้วง
แต่ลมทะเลไม่เป็นเช่นนั้น
ลมทะเลโอบรับมากกว่า
หลิวรุ่ยอิ่งเงยหน้าก็เห็นดวงอาทิตย์ร้อนแผดเผาแยงตา แต่ด้วยลมทะเลพัดผ่าน ลำแสงที่เหมือนคมกระบี่นี้ก็คล้ายสั่นคลอนเล็กน้อย ค่อยๆ เลี่ยงจากใบหน้าหลิวรุ่ยอิ่งย้ายมาส่องข้างเท้าของเขา
แสงอาทิตย์ยังแยงตาเกินไป…
ทำให้เขาไม่สามารถมองตรงได้นาน
กระทั่งตอนนี้เขาถึงได้เห็นว่าตนไม่ใช่คนเดียวที่อยู่บนหน้าผาริมทะเล
บริเวณสุดขอบหน้าผาข้างหน้าหลิวรุ่ยอิ่ง ตรงจุดที่เข้าใกล้ท้องฟ้ากับดวงอาทิตย์แผดเผายังมีเงาร่างหนึ่งยืนอยู่
หลิวรุ่งอิ่งไม่เห็นหน้า แต่สัญชาตญาณบอกเขาว่าคนนี้คือสวีเหล่าซื่อ
ท่าทางของสวีเหล่าซื่อเหมือนหลิวรุ่ยอิ่งก่อนหน้านี้ กำลังเงยหน้ามองดวงอาทิตย์เช่นกัน
แต่เขาไม่หลบเลี่ยงสายตาเลยสักนิด
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าจ้องดวงอาทิตย์ตรงๆ เช่นนี้ดวงตาจะเจ็บปวดเพียงใด
สวีเหล่าซื่อก็รู้
ตอนนี้เขาปวดตามากแล้ว แต่เขายังมุ่งมั่น
แม้แต่ตัวเขาก็ไม่รู้ว่าเหตุใดต้องมุ่งมั่นในเรื่องไร้ประโยชน์เช่นนี้ แต่เขายังอยากมุ่งมั่น
เพราะเขาอยากทำเรื่องไม่เหมือนใคร
ความจริงเรื่องเช่นนี้มีเยอะมาก
สวีเหล่าซื่ออาจตื่นตอนคนอื่นหลับ หลับตอนคนอื่นตื่น
และอาจดื่มสุราตอนคนอื่นกินข้าว กินข้าวตอนคนอื่นดื่มสุรา
แต่เขาดันเลือกทำเรื่องที่แปลกที่สุด นั่นก็คือจ้องมองดวงอาทิตย์ตอนมันร้อนแรงที่สุดของวันโดยไม่ละสายตา
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งถ้วยชา สวีเหล่าซื่อรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย
นอกจากแสบตา ดวงอาทิตย์ร้อนแรงแผดเผาก็ทำให้คนทนไม่ไหวเช่นกัน
ดีที่ลมทะเลยังนับว่าเย็นสบาย มันลูบไล้ใบหน้าเขาเป็นระยะ ช่วยประคองสติส่วนสุดท้ายแทนเขาได้มากทีเดียว
แต่ถึงเป็นเช่นนี้ เขายังคงเผลอสติเล็กน้อย
ถัดจากการเผลอสติครั้งนี้ หลิวรุ่ยอิ่งเห็นเท้าของสวีเหล่าซื่อเดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง
หน้าผาริมทะเลลื่นมาก
ไม่ระวังเพียงนิดก็จะตกลงไปในคลื่นสีขาวหลายต่อหลายชั้น
พอขยับตัว หลิวรุ่ยอิ่งจึงเห็นว่าบนมือเขาถือกระบี่ไว้เล่มหนึ่งด้วย
เป็นกระบี่ยาวไร้ฝักที่เต็มไปด้วยคราบเลือดเล่มหนึ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งมองแค่แวบเดียวก็รู้สึกกระบี่ยาวนี้มีความชั่วร้ายเล็กน้อย…
ทำไมแม้แต่สายตาของเขายังจมดิ่ง ถูกดูดเข้าในความว่างโหวงและกลวงเปล่าผืนหนึ่งไม่สิ้นสุด
สวีเหล่าซื่อออกแรงโยนกระบี่ในมือลงไปข้างล่าง
ตัวกระบี่ก็เสียบเข้าไปในก้อนหินเปียกลื่นแข็งแกร่งใต้เท้าเหมือนหั่นเต้าหู้
กระบี่ยาวจมลงในก้อนหินเรื่อยๆ
สุดท้ายเหลือเพียงด้ามกระบี่โผล่อยู่ด้านนอก
‘แกร๊ง!’
ด้ามกระบี่ชนเข้ากับผิวก้อนหินจนเกิดเสียงใสไพเราะ
“เห็นหรือยัง”
เสียงสวีเหล่าซื่อดังทอดมา
หลิวรุ่ยอิ่งหายใจหอบถี่สองสามครั้ง เขาพบว่าสวีเหล่าซื่อมานั่งข้างกายตนตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้
พูดจบแล้วหยิบจอกสุราของเขามาจิบคำหนึ่งเบาๆ
“เห็นแล้ว แต่ข้ายังไม่ได้พูดว่าจะเลี้ยงสุราเจ้า”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ข้าให้เจ้าดูทะเลแล้ว ยังไม่ควรค่าแก่การดื่มสุราคำหนึ่งหรอกหรือ”
สวีเหล่าซื่อย้อนถาม
ดื่มสุราที่เหลือในจอกรวดเดียวจนหมด
…………………………………………
[1] รู้อาณัติสวรรค์ หมายถึงอายุห้าสิบปี
……….