ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 432 รู้ตื่นจากความโลภ-4
……….
สวีเหล่าซื่อกระแทกจอกสุราบนโต๊ะอย่างแรงคล้ายระบายความไม่พอใจ
แต่น้ำเสียงของเขากลับนิ่งสงบนัก สีหน้าก็เยือกเย็น
ดูไม่ออกว่ารู้สึกอย่างไร
แต่ในชั่วขณะที่จอกสุราวางลงบนโต๊ะเมื่อครู่ เป็นใครก็รู้สึกได้ว่าจิตใจของสวีเหล่าซื่อไม่ได้สงบเหมือนที่เขาแสดงออกมา
“ไม่คิดว่าเจ้าก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ และเป็นมือกระบี่เสียด้วย”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“หากไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ ข้าคงตายไปนานแล้ว”
สวีเหล่าซื่อกล่าว
“ส่วนกระบี่ เจ้าก็เห็นจุดจบแล้ว”
สวีเหล่าซื่อดื่มสุราอีกจอก กล่าวอย่างไม่รีบร้อน
ทว่าเขาเอ่ยประโยคนี้ออกมาตอนดื่มสุรา
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นสุราไหลเข้าปากเขาไม่หยุด และเห็นลูกกระเดือกเขาตอนกลืนขยับขึ้นลง
แต่ประโยคนี้ยังคงกล่าวออกมาได้ชัดเจนหาใดเปรียบ
นี่ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งตกใจหน้าถอดสี
เขาเคยได้ยินวิชาลับในยุทธภพที่เรียกว่าการแปลงเสียง
ผู้ใช้วิชามักถือตุ๊กตาตัวหนึ่งไว้ในมือ
ปากไม่ขยับ ออกเสียงโดยอาศัยส่วนท้องทั้งหมด สวีเหล่าซื่อก็ใช้วิชานี้เป็นด้วยหรือ
หลิวรุ่ยอิ่งเคยมีโชคเห็นวิชาลับแปลงเสียงในเมืองหลวงครั้งหนึ่ง
การพูดด้วยส่วนท้อง ไม่ว่าทำนองหรือน้ำเสียงล้วนแตกต่างกันมาก
ราวกับเขามีสองปาก ปากหนึ่งใช้ดื่มสุรา ปากหนึ่งใช้พูด
แต่หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่านี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด
คนไม่ใช่อสูร
ไม่มีทางมีสองปากแน่นอน
ต่อให้เป็นอสูร ลักษณะเด่นอย่างการมีปากเพิ่มก็ไร้ประโยชน์เกินไปจริงๆ
“เจ้าเห็นหรือเปล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งหันไปมองเถ้าแก่เนี้ยพลางเอ่ยถาม
“เห็นอะไร กระบี่หรือทะเล”
เถ้าแก่เนี้ยย้อนถาม
หลิวรุ่ยอิ่งไม่พูดอะไรอีก
ในเมื่อเถ้าแก่เนี้ยถามเช่นนี้ แสดงว่านางก็เห็นแล้วเหมือนกัน
สวีเหล่าซื่อดื่มสุราหมดสองจอกแต่ไม่ได้รินเพิ่มอีก
รัศมีและคลื่นสาดซัดในแววตาก็ค่อยๆ หายไป และกลับสู่สภาวะปกติอีกครั้ง เหมือนท่อนไม้โต้พายุทรายเป็นเวลานาน แต่ยังพยายามยืนหยัดไม่ให้เน่าผุ
“ทำไมหยุดดื่มแล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
เขากำลังเตรียมไปหยิบจอกสุรามาอีกจอก
“เพราะสิ่งที่เจ้าเห็นมีค่าเท่าสุราสองจอก”
สวีเหล่าซื่อกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งหัวเราะ
เขารู้สึกสวีเหล่าซื่อเป็นคนจริงใจโดยแท้
ก่อนหน้านี้ยังนึกว่าเขาอยากดื่มสุราเลยไม่สะดวกพูด
ตอนนี้ดูเหมือนเขารู้ชัดอยู่ในใจ
ตั้งราคาให้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน
เขาคิดว่ามีค่าแค่สองจอก เช่นนั้นก็สองจอก
จะไม่เอาเปรียบแม้แต่อึกเดียว
“ถือว่าข้าเลี้ยงเจ้า!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เขายังหยิบจอกสุรามาจอกหนึ่ง และรินเต็มจอกตรงหน้าสวีเหล่าซื่อ
สวีเหล่าซื่อมองสุราไหลออกจากกา เพิ่มขึ้นจากก้นจอกเครื่องเคลือบหยาบๆ ทีละชั้นเหมือนด้ายเงินเส้นหนึ่งจนเต็ม
“ขอบคุณ…”
สวีเหล่าซื่อขยับริมฝีปาก เค้นออกมาสองคำอย่างไร้ชีวิตชีวา
หากหลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้อยู่ใกล้เขาและเห็นรูปปากก็ไม่ได้ยินโดยสิ้นเชิง…
คำขอบคุณนี้ยังเบากว่าเสียงยุง
“เฮ้อ…”
เถ้าแก่เนี้ยถอนหายใจลึกยาว
คล้ายจมสู่ความกลัดกลุ้มบางอย่างเช่นกัน
ข้างซ้ายหลิวรุ่ยอิ่งมีคนกลุ้มใจ ข้างขวามีคนแข็งเป็นท่อนไม้ เขาถูกหนีบไว้ตรงกลาง รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้างจริงๆ
ไม่รู้ทำไมเขาถอนหายใจออกมาด้วย
ทว่าสั้นกว่าเถ้าแก่เนี้ย แต่มีชีวิตชีวากว่าสวีเหล่าซื่อ
“ทำไมเจ้าถอนหายใจประหลาดเช่นนั้น”
เถ้าแก่เนี้ยเบิกบานขึ้นมาอีกครั้ง เห็นหลิวรุ่ยอิ่งถอนหายใจแล้วยิ้มกล่าว
“ข้าแค่คิดว่าถอนหายใจตอนนี้คงเข้ากับสถานการณ์ไม่น้อย…”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“เข้ากับสถานการณ์? มีอะไรให้น่าทำตาม”
เถ้าแก่เนี้ยหัวเราะกล่าว
“ข้าแค่คิดว่าตัวเองเป็นส่วนเกินเล็กน้อย…พวกเจ้าสองคนเหมือนมีเรื่องในใจกันหมด มีแต่ข้าที่หัวโล่งโผล่อยู่ตรงกลางคนเดียว”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
พูดถึงคำว่าส่วนเกิน หลิวรุ่ยอิ่งก็เคยได้ยินชายชราเลี้ยงม้าเยาะหยันตัวเองว่าเป็นคนไร้ประโยชน์
ความหมายของไร้ประโยชน์คือส่วนเกินไม่ใช่หรือ
แย่กว่าซี่โครงไก่ที่กินก็ไร้รสชาติจะทิ้งก็เสียดายเสียอีก
แต่ในโลกอันกว้างใหญ่นี้ สิ่งใดมีค่า สิ่งใดไม่มีค่า
คงไม่มีใครวางขอบเขตออกมาได้อย่างชัดเจน
ดูเหมือนชายชราเลี้ยงม้าจะเป็นส่วนเกินและไร้ประโยชน์
เขาใช้เวลากว่าครึ่งวันไปกับการยืนมองนกบินตะวันรอนตรงเนินสูงหน้าประตูคอกม้า
ในกรมสอบสวนยังมีบ่อน้ำแห่งหนึ่ง
เดิมกลางบ่อน้ำมีแค่ดอกไม้ใบหญ้า ไม่รู้มีลูกปลาเพิ่มมาสองสามตัวตั้งแต่เมื่อไร
ซุ้มประตูกรมสอบสวนคุ้มกันแน่นหนา กันคนได้แต่กันลูกปลากับแมวป่าไม่ได้ พูดแล้วก็น่าขัน
ก่อนหน้านี้หลิวรุ่ยอิ่งไม่เข้าใจประโยชน์ของการจ้องมองของชายชราเลี้ยงม้าเลยว่าคือสิ่งใด จนมีครั้งหนึ่ง เขาว่างมาคุยเล่นและเริ่มจ้องมองไปพร้อมกับชายชราเลี้ยงม้า
ตอนนั้นใจเขานิ่งสงบโดยพลัน
แม้ทิวทัศน์ตรงหน้าไม่ได้หยุดนิ่ง แต่กลับมีเวทมนตร์ประหลาดบางอย่างทำให้เขาตกตะกอนและสุขสงบได้
แม้ธารน้ำใสดังเช่นในป่าเขารินไหลสบายอารมณ์ แต่จิตใจยังคงผ่องใสและเบิกบาน
การจ้องมองที่ดูเหมือนไร้ประโยชน์นี้กลับนำความรู้สึกพิเศษมาให้หลิวรุ่ยอิ่ง ทุกสิ่งที่สายตามองเห็นล้วนเป็นความสบายใจ
แต่ความรู้สึกเช่นนี้มีไม่บ่อยนัก…
อย่างน้อยหลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่มีในตอนนี้
เพียงรู้สึกตนนั่งอยู่ตรงนี้แล้วเป็นส่วนเกินไร้ประโยชน์อย่างยิ่ง
คนสองคนที่เปี่ยมด้วยความกลัดกลุ้มอาจทุกข์เรื่องต่างกัน แต่ในส่วนลึกมักมีความเชื่อมโยงแฝงอยู่เสมอ
แม้ไม่มีการพูดคุย และไม่มีการแลกเปลี่ยนอื่นใด
แต่หลิวรุ่ยอิ่งยังคงเห็นสภาวะของเถ้าแก่เนี้ยและสวีเหล่าซื่อสอดคล้องกันเป็นอย่างดี
“เขาอาจกลุ้มเรื่องกระบี่ของตน แต่ดาบเจ้ายังอยู่ในแขนเสื้อ เหตุใดต้องกลุ้มใจด้วย”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
เพื่อไม่ให้ตนดูเป็นส่วนเกินมากนัก วิธีที่ดีที่สุดก็คือเข้าร่วมกับทั้งสองคน
แม้ตอนนี้หลิวรุ่ยอิ่งนึกไม่ออกเลยว่ามีเรื่องอะไรทำให้เขากลุ้มใจได้ แต่ความรู้สึกเช่นนี้มักอยู่ในหนึ่งความคิดเสมอ
คนที่ยังหัวเราะลั่นสุขใจเมื่อครู่ก็จะหุบรอยยิ้มนั้นทันที กลายเป็นแขวนความทุกข์ระทมไว้บนหน้า
ไม่มีใครรู้ว่าคนผู้นี้นึกถึงอะไร แต่ความรู้สึกที่ถ่ายทอดออกมาก็เป็นเช่นนี้
“ข้าก็กำลังกลุ้มเรื่องดาบของข้าเหมือนกัน”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
ลูบแขนเสื้อข้างที่ตนซ่อนดาบไว้เบาๆ
ดูเหมือนใช้ทั้งฝ่ามือ ความจริงที่สัมผัสมีแค่นิ้วกลางเท่านั้น
ถึงอย่างไรตัวดาบซ่อนคมของเถ้าแก่เนี้ยก็ไม่กว้างเท่าไร มากสุดแค่สองนิ้วมือเท่านั้น
นิ้วหนึ่งลากผ่านตรงกลางตัวดาบได้พอดี
“มือดาบโดยกำเนิดแห่งจวนชิง ดาบซ่อนคมที่ตีโดยหนานเจิ้น ข้าคิดไม่ออกจริงๆ ว่าเจ้ายังมีอะไรกลุ้มใจได้อีก โดยเฉพาะดาบของเจ้า”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
ต่อให้นางไม่บอก ด้วยฐานะกรมสอบสวนของหลิวรุ่ยอิ่งช้าเร็วก็ย่อมรู้
การโกหกต่อหน้าคนของกรมสอบสวนเป็นหนึ่งในเรื่องที่โง่เขลาที่สุดในใต้หล้า
เจ้าอาจปากแข็งไม่พูด แต่อย่าโกหกเด็ดขาด
แต่ไรมาผลของการโกหกร้ายแรงกว่าการไม่พูดมากนัก
เถ้าแก่เนี้ยอาจกังวลผลบางอย่าง หรือไม่นางก็แค่อยากพูดออกมาเฉยๆ
“เจ้ารู้ว่าข้าเป็นคุณหนูใหญ่แห่งจวนชิง และรู้ฐานะจวนชิงในรัฐหงแล้ว แต่เจ้าไม่รู้ว่าทำไมข้าถึงมาที่นี่ แต่งกับคนอ้วนไม่พอ ยังอัตคัดขัดสนทุกวัน”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“ข้าไม่รู้จริงๆ”
หลิวรุ่ยอิ่งส่ายหน้ากล่าว
“แต่เจ้าก็ไม่ได้ถาม”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“เจ้าคิดว่าถามแล้วข้าอาจจะไม่พูดใช่หรือไม่”
เถ้าแก่เนี้ยหยิบจอกสุรา แต่ไม่ได้ดื่ม
กลับแลบลิ้นออกมาเลียตามขอบจอกสุรารอบหนึ่งแล้วกล่าว
ตอนนี้หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกอึดอัดใจบ้างแล้ว…
แต่ยังไม่ใช่ความกลัดกลุ้ม
เขาอึดอัดเพราะรู้สึกเถ้าแก่เนี้ยอ่านความคิดของตนทะลุปรุโปร่งโดยแท้จริง
ความรู้สึกเช่นนี้เป็นใครก็ไม่สบายใจ
เหมือนเดินเปลือยก้นบนถนนสายยาวที่ผู้คนผ่านไปมา
“เจ้าไม่ถามก็คิดตัดสินเอาเองว่าข้าจะไม่พูด แต่เจ้าไม่เคยคิดหรือว่าหากเจ้าไม่ถาม ข้าก็อาจปิดปากเงียบตลอดชีวิตเลยน่ะ”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าวเย้าเล่นเล็กน้อย
“เช่นนั้นก็เป็นโชคร้ายของข้า…ถึงอย่างไรเจ้าจะพูดหรือไม่ก็ล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ของตัวเอง เหมือนจะไม่เกี่ยวอะไรกับข้าถามหรือไม่ถาม”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวพลางถอนหายใจอีกครั้ง
ตอนนี้ความอึดอัดของเขาเปลี่ยนเป็นความจนใจ
ความจนใจเป็นความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับความกลัดกลุ้มที่สุด
จนปัญญาในเรื่องหนึ่ง แสดงว่าไม่มีหนทางใด
เมื่อคนไร้หนทางและไม่รู้ว่าควรปรับเปลี่ยนอย่างไร นอกจากลัดกลุ้มแล้วยังทำอะไรได้อีก?
ได้เพียงล้มเลิก
แต่หลิวรุ่ยอิ่งไม่ใช่คนล้มเลิกง่ายๆ
สิ่งที่เขาอยากรู้ ถึงไม่พูดไม่ถามก็จะดื้อไปทำความเข้าใจเองจนได้
แต่ตอนนี้หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกเหมือนตนหลอมรวมในความรู้สึกบางอย่างของทั้งสอง ไม่รู้สึกว่าตนเป็นส่วนเกินไร้ประโยชน์อย่างถึงที่สุดเช่นก่อนหน้านั้นแล้ว
“ดาบตัดเงาที่สืบทอดในจวนชิงมีเพลงดาบทั้งหมดสามกระบวน”
สุดท้ายเถ้าแก่เนี้ยยังคงกล่าวหลังดื่มสุราในจอก
เพียงแต่นางกำสุราจอกนี้ไว้ในมือนานจนเริ่มอุ่นร้อนเล็กน้อย
บางคนชอบดื่มสุราอุ่น อย่างเช่นติ้งซีอ๋องฮั่ววั่ง แม้ไม่ใช่คนติดเหล้า แต่ไปที่ไหนล้วนต้องพกเตาดินเผาขนาดเล็กของตนไปด้วย
ชัดว่าเถ้าแก่เนี้ยไม่ชอบสุราอุ่น
ไม่เช่นนั้นคงไม่ขมวดคิ้วเล็กน้อยตอนมันเข้าปาก
แต่นางยังคงดื่มลงไป ไม่เลือกที่จะถุยทิ้ง
ไม่ว่าใครได้ยินชื่อ ‘ดาบตัดเงา’ ก็ต้องรู้สึกน่าสนใจมากทั้งนั้น
แต่ไรมาดาบล้วนตัดหัวคนเป็น แม้ดาบตัดเงาเร็วแค่ไหน แหลมคมเพียงใดแล้วจะมีประโยชน์ใด?
“แรกสุดดาบตัดเงามีแค่หนึ่งดาบหนึ่งกระบวน”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าวต่อ
“แล้วทำไมตอนนี้เป็นสามดาบสามกระบวน”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถามด้วยแปลกใจ
“เพราะบรรพบุรุษผู้สร้างดาบตัดเงาหักมันออก ตอนคนไม่วางใจในสิ่งหนึ่งมักจะดัดแปลงเสมอ”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“ส่งต่อให้ลูกหลานตัวเองยังมีอะไรน่าห่วงด้วยหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“เดิมประชาชนไร้ความผิด ผิดเพราะมีหยกในครอบครอง[1]”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าวคำที่มีความหมายลึกซึ้ง
หลิวรุ่ยอิ่งฟังแล้วเอนกายไปด้านหลัง
ดูท่า ‘ดาบตัดเงา’ หนึ่งดาบหนึ่งกระบวนนั้นต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่…
บรรพบุรุษจวนชิงผู้นั้นก็มองไกลคิดรอบคอบจริงๆ
ยอมเปลี่ยนแรงกายแรงใจของตนโดยไม่คิดเสียดายเพื่อให้ลูกหลานตนรุ่งเรืองได้นานขึ้นหน่อย
ตอนนี้ ‘ดาบตัดเงา’ สามดาบสามกระบวนคงไม่แข็งแกร่งเท่าก่อนหน้านี้เป็นแน่ แต่ก็มากพอให้จวนชิงปกป้องตัวเองได้อย่างไร้กังวลแน่นอน
“และในหลายปีมานี้ข้าเป็นเพียงคนเดียวที่รวม ‘ดาบตัดเงา’ สามดาบสามกระบวนให้เป็นหนึ่ง”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
แต่ไม่มีความภูมิใจเลยสักนิด…
กลับเต็มไปด้วยความเสียใจและไม่ยินดี
เพิ่งสิ้นเสียง พายุทรายรุนแรงกระแทกประตูใหญ่เปิดออก
“ไอ้อ้วนนี่…ลืมลงกลอนประตูอีกแล้วแน่ๆ!”
เถ้าแก่เนี้ยบ่นพึมพำ ลุกขึ้นจะไปปิดประตู
แต่เพิ่งเดินออกจากโต๊ะสองก้าว กลับหยุดฝีเท้ายืนนิ่งอีกครั้ง
…………………………………………
[1] เดิมประชาชนไร้ความผิด ผิดเพราะมีหยกในครอบครอง หมายถึง สมบัตินำมาซึ่งหายนะ หรือคนมีความสามารถจึงถูกทำร้าย
……….