ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 433 รู้ตื่นจากความโลภ-5
บทที่ 433 รู้ตื่นจากความโลภ-5
……….
เดิมหลิวรุ่ยอิ่งกำลังก้มหน้าดื่มสุรา ไม่ได้สังเกตว่าเกิดอะไรขึ้นที่ประตู
กระทั่งเขาเห็นฝีเท้าเถ้าแก่เนี้ยหยุดนิ่ง ถึงได้ชำเลืองมองทางประตูเล็กน้อย
“กี่เจ้า”
เถ้าแก่เนี้ยกลับมานั่งข้างโต๊ะพลางเอ่ยถาม
มือถือจอกสุราเล่น
ความเบิกบานเช่นก่อนหน้านี้หายไปหมดสิ้น กลายเป็นความเย็นชาที่หลิวรุ่ยอิ่งไม่เคยเห็นมาก่อน
คนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู
ชายวัยกลางคนชุดดำ ศีรษะสวมหมวกสักหลาด ปิดบังใบหน้า
ชายวัยกลางคน
นี่เป็นความรู้สึกชัดเจนที่สุดตอนหลิวรุ่ยอิ่งเห็นคนผู้นี้
แม้เขาปิดหน้า มองใบหน้าไม่ชัด ยิ่งไม่มีทางรู้อายุหรือเพศ
แต่หลิวรุ่ยอิ่งก็รู้สึกเช่นนี้
บนมือเขาสวมถุงมือหนังหนาๆ คู่หนึ่งด้วย
นอกจากสองนัยน์ตา ร่างทั้งร่างไม่มีส่วนใดเปลือยอยู่ด้านนอกเลย
ไม่รู้หลบเลี่ยงปิดบังอะไรอยู่
คำถามของเถ้าแก่เนี้ยก็แปลกนัก…
พอประตูเปิดก็เห็นอยู่ทนโท่ว่าอีกฝ่ายมีแค่คนเดียว
เหตุใดต้องถามคำไร้สาระเช่นนี้อีก
แน่นอนว่าคนผู้นี้ไม่ตอบเช่นกัน
แต่เขาไม่ย่างเท้าเข้าโถงใหญ่ ยืนมองตรงเข้ามาด้านในอยู่หน้าประตูเช่นนั้น
สายตานี้ไม่ได้หยุดอยู่ที่ตัวคนใดคนหนึ่งในโถงใหญ่
ไม่อยู่บนตัวเถ้าแก่เนี้ย และไม่อยู่บนตัวหลิวรุ่ยอิ่ง ยิ่งไม่อยู่บนตัวสวีเหล่าซื่อ
“ถ้าอยากหาคน พรุ่งนี้มาเร็วหน่อย”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“เจ้าคือชิงเนี่ยน?”
คนผู้นี้เปิดปากกล่าว
ประโยคนี้เอ่ยออกมาพร้อมคำพูดของเถ้าแก่เนี้ย ทำให้คนฟังไม่ชัดเล็กน้อย
แต่ตอนได้ยินสองคำว่า ‘ชิงเนี่ยน’ สุราที่เถ้าแก่เนี้ยดื่มไปครึ่งหนึ่งหยุดอยู่ในปากชั่วครู่ก่อนจะกลืนลงไป
ชิงเนี่ยนเป็นชื่อเดิมของเถ้าแก่เนี้ย
หลายปีนี้ไม่มีใครเคยเรียก
กระทั่งตัวนางก็อาจจำไม่ค่อยได้แล้วว่านี่คือชื่อของตน
แต่เมื่อครู่ถูกคนแปลกหน้าเรียกออกมากะทันหัน กลับปลุกความทรงจำในอดีตทั้งหลายให้ตื่นขึ้นจากก้นบึ้งหัวใจในชั่วพริบตา
“ข้าเอง”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
ชัดว่าคำตอบตรงไปตรงมาเช่นนี้เหนือความคาดหมายของคนผู้นั้น
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นหมวกสักหลาดบนศีรษะเขาขยับเล็กน้อย ดูเหมือนเกิดจากเขาขมวดหัวคิ้ว
“เจ้าคือชิงเนี่ยนจริงหรือ”
คนผู้นี้เอ่ยถามอีกครั้ง
เถ้าแก่เนี้ยกลับหัวเราะ
หลิวรุ่ยอิ่งก็หัวเราะ
ตอนนี้มาถึงขั้นพูดความจริงไม่มีใครเชื่อแล้ว
อาจไม่ใช่ว่าไม่มีใครเชื่อ แต่เถ้าแก่เนี้ยตอบตรงไปตรงมาเช่นนี้ทำให้อีกฝ่ายยากปักใจเชื่อจริงๆ
“ถ้าเจ้าไม่เชื่อ อยากเรียกข้าว่าอะไรก็ได้ทั้งนั้น! แต่ชื่อที่ข้าฟังจนชินคือเถ้าแก่เนี้ย”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
จากนั้นบิดขี้เกียจ
คนนั้นได้ยินแล้วยืนนิ่งอยู่ที่เดิม คล้ายกำลังคิดใคร่ครวญบางอย่าง
เถ้าแก่เนี้ยกับหลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่สนใจ เพียงดื่มสุราข้างหน้าตนเท่านั้น
สวีเหล่าซื่อที่ด้านข้างกลับสนใจคนผู้นี้มาก ตอนนี้หันมองเขานิ่งไม่ไหวติงเช่นกัน
“เจ้ารู้จัก?”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ไม่รู้จัก”
สวีเหล่าซื่อส่ายหน้ากล่าว
“แล้วทำไมเจ้ามองค้างเช่นนี้”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“คนนี้ไม่เคยเห็นมาก่อน ทุกคนที่เพิ่งมาเหมืองแร่ ข้าล้วนตั้งใจมองอย่างยิ่ง”
สวีเหล่าซื่อกล่าว
“ตอนแรกเจ้าก็มองข้าเช่นนี้หรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ไม่หรอก”
สวีเหล่าซื่อกล่าวตอบ
คำตอบของเขามีพลังและกระชับมากเสมอ
แต่หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกไม่ดีเล็กน้อย…
สวีเหล่าซื่อกำลังเย้าแหย่ตนหรืออย่างไร
ทั้งที่ก่อนหน้านี้บอกว่าเขาตั้งอกตั้งใจมองทุกคนที่เพิ่งมาเหมืองแร่
ทำไมพอเป็นหลิวรุ่ยอิ่งกลับทำไม่ได้เสียแล้ว
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้ถามกลับอีก
แต่เขาเขียนความแคลงใจอยู่เต็มหน้าโดยไม่กลัวสวีเหล่าซื่อมองออก
“เพราะตั้งแต่วันแรกที่เจ้ามาที่นี่ ข้าก็รู้ว่าช้าเร็วเจ้าต้องไป”
สวีเหล่าซื่อกล่าวต่อ
เขามองออกถึงความสงสัยของหลิวรุ่ยอิ่งดังคาด
“ดูจากตรงไหนหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“แต่เขาไม่ใช่…”
สวีเหล่าซื่อไม่ได้ตอบคำถามของหลิวรุ่ยอิ่ง กลับเปลี่ยนประเด็นไปหาชายวัยกลางคนที่หน้าประตูอีกครั้ง
“เขาพักอยู่ที่นี่นานมากแล้วหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
สวีเหล่าซื่อยังคงไม่ตอบ
แต่สีหน้าเขาก็เริ่มเปี่ยมด้วยความแคลงใจทีละน้อยแล้วเหมือนกัน
“ข้ารู้สึกได้ว่าเหมือนเขาอยู่มาเป็นเวลานาน…ถึงไม่นานเท่าข้าก็คงพอกัน แต่ทำไมข้าไม่เคยเจอเขามาก่อน”
สวีเหล่าซื่อกล่าวพึมพำกับตัวเอง
“เจ้าคิดว่าเจ้ารู้จักทุกคนที่นี่หรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถามกระเซ้า
กลับเห็นสวีเหล่าซื่อพยักหน้าอย่างแรง
นี่ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกพูดไม่ออกทันที…
เดิมนึกว่าสวีเหล่าซื่อเป็นคนซื่อตรงที่ระมัดระวังตัว ไม่คิดว่าเขาจะคุยโวหน้าไม่อายเช่นนี้
“ที่นี่คือเหมืองแร่ เป็นสถานที่ที่นกไม่ปลดทุกข์ นกยังไม่มา คนจะมีสักเท่าไร หากที่นี่เป็นเมืองหลวง เมื่อครู่ข้าพูดเช่นนั้นต้องคุยโวเป็นแน่ แต่ที่นี่คือเหมืองแร่ ไม่ใช่เมืองหลวง และข้าก็ไม่เคยคุยโวด้วย”
สวีเหล่าซื่อหันมาพูดกับหลิวรุ่ยอิ่งด้วยสีหน้าจริงจัง
หลิวรุ่ยอิ่งได้แต่พยักหน้า
เขาจะยังพูดอะไรได้อีก
สวีเหล่าซื่อกล่าวมีเหตุผลทุกประโยค อีกอย่างเขาไม่มีทางรู้จักเหมืองแร่นี้ดีเท่าอีกฝ่ายแน่นอน
ส่วนเรื่องคุยโวหรือไม่ หลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่อาจยืนยันได้
ทว่าในยามนี้เอง คนที่ประตูกลับย่างฝีเท้าเดินเข้ามาในโถงใหญ่
ท่าเดินของคนผู้นี้ประหลาดยิ่ง…
คนปกติเดิน สองแขนก็ต้องมีระยะให้กวัดแกว่ง
แต่เขาเดินสองแขนไม่ขยับสักนิด
ไม่เพียงสองแขน กระทั่งกายท่อนบนของเขาก็ไม่เห็นร่องรอยการเคลื่อนไหวใด
หากไม่ใช่เพราะเขาเข้าใกล้หลิวรุ่ยอิ่งกับคนอื่นขึ้นเรื่อยๆ คงคิดว่าเหมือนเขายืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับแม้แต่น้อย
‘ตึง!’
นึกไม่ถึงคนผู้นี้กลับเพิ่มความเร็วฝีเท้ากะทันหัน
พริบตาเดียวก็มาถึงข้างโต๊ะ ชุดดำสั่นไหว แสงเย็นพลันปรากฏ
หลิวรุ่ยอิ่งรีบลุกหลบ แต่แสงเย็นสายนี้หยุดค้างอยู่บนโต๊ะ จากนั้นกระจายตัวออก
“โต๊ะตัวนี้สามร้อยตำลึง!”
นางยื่นแขนข้างหนึ่งขวางไว้ตรงตำแหน่งสามชุ่นเหนือโต๊ะ
แสงเย็นที่พุ่งออกจากตัวคนผู้นี้คือดาบโค้งเล่มหนึ่งในมือ
เขาถือดาบด้วยมือซ้าย พอฟันดาบลงโต๊ะ นึกไม่ถึงเถ้าแก่เนี้ยกลับกันไว้ด้วยแขน
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าเป็นเพราะแขนเสื้อข้างนี้ของเถ้าแก่เนี้ยซ่อนดาบไว้เล่มหนึ่ง
ไม่อย่างนั้นนางจะกล้ายื่นแขนข้างหนึ่งออกมากันไว้เฉยๆ ได้อย่างไร
ดาบโค้งในมือคนผู้นี้ไม่โค้งมากนัก
นี่เป็นครั้งที่สองที่หลิวรุ่ยอิ่งเห็นดาบโค้งหลังจากมาถึงอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง
เทียบกับของจิ้งเหยา ดาบโค้งของเขาประณีตกว่ามาก
แม้ปลายดาบงอนขึ้นเหมือนกัน แต่ไม่เกินหนึ่งนิ้วแน่นอน
ทว่าปลายดาบของจิ้งเหยาเอามาใช้เป็นตะขอกลับด้านได้
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นดาบโค้งเล่มนี้ การตอบสนองแรกก็ยังคงมองคนผู้นี้เป็นชาวทุ่งหญ้า
บวกกับเขาพยายามคิดปิดบังร่างกายของตนเช่นนี้ยิ่งทำให้คนสงสัย
“เจ้าเป็นใคร”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“เขาพุ่งเป้ามาที่ข้า ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
แม้หลิวรุ่ยอิ่งไม่ตอบ แต่ก็ไม่ได้เดินออกไป
กลับเป็นสวีเหล่าซื่อยังนั่งเยือกเย็นอยู่ตรงนั้น
กระทั่งตอนแสงดาบสั่นไหว กายเขาก็ไม่เขยื้อนแม้แต่น้อย
คนผู้นี้เพ่งสายตาเล็กน้อย
พินิจแขนข้างนี้ของเถ้าแก่เนี้ยอย่างละเอียด
เสียง ‘แควก’ ดังขึ้น
เถ้าแก่เนี้ยพลันชักแขน
แขนเสื้อขาดออกตามตำแหน่งที่ดาบโค้งฟันลง
เผยให้เห็นแขนเนียนละเอียดครึ่งหนึ่ง รวมถึงดาบเรียวยาวเล่มหนึ่งที่มัดไว้ข้างบน
“ดาบซ่อนคม?”
คนผู้นี้กล่าว
“หรือว่าชิงเนี่ยนไม่คู่ควรใช้ดาบซ่อนคมนี้”
เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยถาม
“เปล่า เพราะมีดาบซ่อนคมเล่มนี้นี่ละ ข้าถึงกล้าเชื่อว่าเจ้าคือชิงเนี่ยน”
คนผู้นี้กล่าว
“ดูเหมือนเจ้ารู้จักข้าดี?”
เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยถาม
“ไม่ขนาดนั้น…”
คนผู้นี้เก็บดาบกล่าว
“ในเมื่อไม่ขนาดนั้น แล้วรู้ได้อย่างไรว่าคนที่ใช้ดาบซ่อนคมคือชิงเนี่ยน”
เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยถาม
“ย่อมมีคนบอกข้า”
คนผู้นี้กล่าว
“ดาบซ่อนคมของข้าไม่เคยเผยในที่สาธารณะมาก่อน อย่างไรข้าก็เชื่อคำพูดของเจ้าไม่ได้จริงๆ”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“แล้วต้องทำเช่นไรเจ้าถึงจะเชื่อ”
คนผู้นี้เอ่ยถาม
ชัดว่าเขาไม่ได้มาดี หลิวรุ่ยอิ่งมองเขาถามตอบกับเถ้าแก่เนี้ยเช่นนี้แล้วรู้สึกแปลกอย่างบอกไม่ถูก…
“เจ้าสนใจมากหรือว่าคนอื่นเชื่อเจ้าหรือไม่”
เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยถาม
“แน่นอนอยู่แล้ว หรือเจ้าไม่สนใจ”
คนผู้นี้เอ่ยถาม
“ข้าไม่สน…เมื่อครู่เจ้าไม่เชื่อว่าข้าคือชิงเนี่ยน ข้าก็ไม่สนใจ หากคนคนหนึ่งไม่สนใจกระทั่งตัวเองเป็นใคร แล้วนางยังสนใจอะไรได้อีก”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
……………………………………….
……….