ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 434 รู้ตื่นจากความโลภ-6
บทที่ 434 รู้ตื่นจากความโลภ-6
……….
“แม้คนคนหนึ่งไม่สนกระทั่งตัวเองเป็นใคร แต่ยังต้องสนใจว่าคนอื่นเชื่อตัวเองหรือไม่”
คนผู้นี้กล่าว
“ไม่เคยเจอคนเถียงเอาชนะกับข้าเช่นนี้มานานแล้ว! หากไม่ใช่เพราะเจ้าออกดาบก่อน ข้าต้องเลี้ยงสุราเจ้าสักจอกแน่นอน!”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“ข้าก็ไม่เคยเจอคนที่ไม่สนใจกระทั่งตัวเองเป็นใครเช่นเดียวกับข้ามานานแล้ว หากไม่ใช่เพราะข้ารับปากคนอื่นว่าต้องฆ่าเจ้าให้ตาย ข้าก็ต้องเลี้ยงสุราเจ้าสักจอกเหมือนกัน!”
คนผู้นี้กล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นหางตาเขาโค้งขึ้น คล้ายกำลังยิ้ม
“ดังนั้นตอนนี้ความเชื่อของเจ้าก็คือต้องฆ่าข้าให้ตาย?”
เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยถาม
“ถูกต้อง ข้าไม่อาจทรยศความเชื่อใจ!”
คนผู้นี้กล่าว
“เพื่อเงิน หรือเพื่ออย่างอื่น”
เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยถาม
“ข้าไม่ขาดเงิน”
คนผู้นี้กล่าว
เถ้าแก่เนี้ยถึงได้พินิจพิเคราะห์คนตรงหน้าอย่างละเอียด
แม้ทั้งตัวล้วนเป็นสีดำ แต่เนื้อผ้าของชุดดำและหมวกสักหลาดกลับล้ำค่าอย่างยิ่ง
หากเป็นอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง คิดว่าคงซื้อได้แค่ในเมืองหลวง
คนที่แต่งตัวเช่นนี้ หากบอกว่าเขาไม่ขาดเงินก็อาจเป็นเช่นนั้นจริง…
“เช่นนั้นคนผู้นี้คงสำคัญต่อเจ้ามาก เจ้าเลยต้องทำสิ่งที่เขาฝากฝังไว้ให้ได้!”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“แน่นอนว่าสำคัญกับข้ามาก แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือความเชื่อใจที่นางมีต่อข้า…เจ้าต้องรู้ว่าความรู้สึกตอนคนพบกันครั้งแรกนั้นสำคัญมาก”
คนผู้นี้กล่าว
เถ้าแก่เนี้ยเห็นด้วยกับประโยคนี้ไม่น้อย นางจึงพยักหน้า
ไม่เพียงเถ้าแก่เนี้ย หลิวรุ่ยอิ่งก็คิดว่าคนผู้นี้กล่าวถูกต้อง
บางคนไม่ได้รู้จักกันดี แต่เจอแค่ครั้งเดียวก็รู้สึกถูกชะตาอย่างยิ่ง
สุราอ่อนลงท้องสองสามจอกก็อาจกลายเป็นสหายรู้ใจในชีวิตเลยก็ได้
แต่ความรู้สึกเช่นนี้ มาเร็วก็ไปเร็วเช่นกัน
อยากเจอคนหนึ่งแทบตาย พอเจอกันแล้วถ้าไม่สุขใจก็เสียใจ
ความรู้สึกใช้เวลาเหมือนโม่น้ำ ต้องค่อยๆ เข้าถึงและเข้าใจ
ยิ่งเข้าใจยิ่งโอบรับ
เมื่อสองฝ่ายเข้าใจกันถึงขั้นหนึ่งแล้วก็สามารถโอบรับกันได้ด้วยใจ
ดังนั้นหลิวรุ่ยอิ่งจึงไม่เคยเชื่อเรื่องรักแรกพบ
ทว่าในใจเขามีเงาร่างหนึ่งแล้ว
ทุกครั้งที่คิดถึงเงาร่างนี้ ไม่ว่าตัวอยู่ที่ไหนล้วนสัมผัสได้ถึงความเย็นสบายจากสายลมที่พัดผ่านหน้า
ความอ่อนโยนขับเน้นคนที่สะท้อนเงาร่างนั้น หาใช่เจตจำนงหรือหลักการ
วางตัวเหมาะสมในวิถีทางโลกอันมัวหมอง รักษาความสงบและดีงามของตนไว้ได้เสมอ
กล่าวเช่นนี้เหมือนหัวโบราณ แต่หลิวรุ่ยอิ่งรู้ดีว่านางไม่ใช่คนมากประสบการณ์
ก็เหมือนดอกอวี้หลาน[1]ที่แบ่งบานบนยอดกิ่งไม้ฤดูใบไม้ผลิ แม้อาจไม่งามหยาดเยิ้ม แต่พิเศษเหนือใครแน่นอน
“นางก็เลยไม่เชื่อเจ้าตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“เฮ้อ…”
คนผู้นี้ไม่ได้พูดสิ่งใด กลับถอนหายใจยาว
ในนั้นเจือด้วยความเสียใจและความเสียดายมากมายนับไม่ถ้วน
“แรกเริ่มเป็นแค่คำล้อเล่นเท่านั้น ใครจะคิดว่านางเอาจริงล่ะ”
คนผู้นี้กล่าวต่อ
หลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าเขาไม่น่าเป็นคนพูดมากเยิ่นเย้อ
แต่หลังจากเขาออกดาบนั้นแล้ว ปากเขาก็ไม่เคยหยุดพักเลยสักครู่เดียว
หัวข้อที่เถ้าแก่เนี้ยพูดกับเขาอาจเป็นส่วนที่ใจเขาอยากเล่าที่สุดพอดี ถึงได้ทำให้เขาหยุดปากไม่ได้
“หากเป็นข้า ก็จะตอบเจ้าด้วยการล้อเล่นเช่นกัน”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“นางทำเช่นนั้นจริง…จำต้องบอกว่าคนเป็นญาติกันย่อมทำอะไรเหมือนๆ กัน!”
คนผู้นี้กล่าว
พูดจบยังเอียงศีรษะมองใบหน้าซีดเซียวเล็กน้อยของเถ้าแก่เนี้ย
“ข้ารู้แล้วว่าเจ้าพูดถึงใคร และเจ้าก็ไม่ต้องมอง ข้าหน้าตาไม่เหมือนนาง!”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“ไม่เหมือนแน่นอน!”
คนผู้นี้กล่าว
น้ำเสียงดูแคลนและยโสอย่างยิ่ง
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งฟังจนงงไปหมด…
เถ้าแก่เนี้ยดูเหมือนไม่สนิทกับคนผู้นี้ แต่กลับมีเรื่องราวให้พูดไม่จบ
แต่หลิวรุ่ยอิ่งฟังออกว่าเถ้าแก่เนี้ยคงมีความขัดแย้งกับคนผู้นี้ไม่เบา…
คนผู้นี้พยักหน้า ยกดาบในมือขึ้นอีกครั้ง
เขาฟันลงบนแขนฝั่งที่เถ้าแก่เนี้ยมีดาบซ่อนคม
แม้ดาบไม่ได้ยืดหยุ่นเรียวบางเหมือนกระบี่
แต่ก็ควรออกดาบไปยังจุดบอดของอีกฝ่ายถึงจะถูก
คนผู้นี้กลับเล็งเป้ามาที่ดาบซ่อนคมของเถ้าแก่เนี้ย ดาบนี้จะต้องเสียเปล่าแน่นอน
แม้หลิวรุ่ยอิ่งไม่เคยเห็นดาบตัดเงาของจวนชิงที่เถ้าแก่เนี้ยว่า
และไม่รู้ว่าหลังจากนางรวมสามกระบวนท่าของดาบตัดเงาเป็นหนึ่งแล้วมีการเปลี่ยนแปลงเช่นไร
แต่ทักษะของเถ้าแก่เนี้ยที่ซึมซาบอยู่บนดาบซ่อนคมเล่มนี้ก็ไม่อ่อนหัดอย่างแท้จริง
อย่างน้อยตอนประมือในห้องของเยว่ตี๋คราวก่อน หลิวรุ่ยอิ่งร่วมมือกับเยว่ตี๋ยังไม่เป็นผลแม้แต่น้อย…
เถ้าแก่เนี้ยเห็นแสงดาบพุ่งมา ยังคงไม่รีบร้อน
บนมือยังถือจอกสุรา
ในจอกสุรายังมีสุราครึ่งหนึ่งที่ดื่มไม่หมด
นางแค่ยกแขนข้างที่มีดาบซ่อนคมของตนขึ้นมา จากนั้นรอชั่วเวลาที่คมดาบตัดกันอย่างเงียบๆ
และดื่มสุราครึ่งจอกนั้นลงท้องในชั่วขณะที่ดาบโค้งปะทะกับดาบซ่อนคมของนาง
เถ้าแก่เนี้ยวางจอกสุรา แลบลิ้นเลียริมฝีปากรอบหนึ่ง
จากนั้นตบโต๊ะลุกขึ้น ขาใต้กระโปรงเตะออกทีหนึ่ง ไม่ได้ใช้ดาบ
ขานี้เตะออกมา หลังเท้าเหยียดตรง ปลายเท้ากลับพุ่งตรงจู่โจมบริเวณลำคอของคนผู้นี้เหมือนกระบี่แหลมคมเล่มหนึ่ง
คนผู้นี้ไม่ขยับร่างกาย
ไหล่ข้างซ้ายยกขึ้นเล็กน้อย
เอียงศีรษะหลบเท้านี้ เก็บดาบในมือไปข้างหลัง
กายครึ่งหนึ่งของเถ้าแก่เนี้ยอยู่กลางอากาศ ไม่มีจุดส่งแรง
ขอแค่ดาบของคนผู้นี้ยกขึ้นก็ตัดขาทั้งขาของเถ้าแก่เนี้ยได้ในชั่วพริบตา
แต่เถ้าแก่เนี้ยจะไม่รู้ความคิดของเขาได้อย่างไร
นางซ่อนแขนข้างที่มีดาบซ่อนคมไว้ใต้ขาตั้งแต่ตอนที่อีกฝ่ายเก็บดาบแล้ว
บวกกับมีชายกระโปรงปิดบัง มากพอให้อีกฝ่ายตาลายดูไม่ออก
ใครจะคิดว่าคนผู้นี้กลับไม่เคยคิดจู่โจมรุนแรงระหว่างเก็บดาบโดยสิ้นเชิง
วาดดาบมาข้างหน้า ร่างกายของเขาพลันกระโดดถอยหลังไปด้วย เว้นระยะห่างกับเถ้าแก่เนี้ยทันที
“จวนชิงมีวิชาขาเมื่อไรกัน”
คนผู้นี้เอ่ยถามอย่างประหลาดใจ
“จวนชิงมีแค่วิชาดาบ แต่แล้วทำไมข้าจะเป็นวิชาขาไม่ได้”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“ดาบตัดเงาร้ายกาจเช่นนี้แล้ว ยังต้องการวิชาขาไปทำไม”
คนผู้นี้เอ่ยถาม
“ข้าไม่ได้ฝึกวิชาขาเพื่อความร้ายกาจ แต่เพื่อความงดงาม!”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
วิชาขาทำให้ขาเหยียดตรงขึ้นและงามขึ้นได้
หากกล้ามเนื้อขาแข็งแกร่ง ดูแล้วก็จะยิ่งอ่อนวัย
หากให้เก่งกาจกับงดงาม คิดว่าสตรีทุกคนล้วนเลือกอย่างหลัง
“เจ้างามมาก!”
คนผู้นี้กล่าว
เถ้าแก่เนี้ยยิ้มอ่อนหวาน
“แต่ข้ายังต้องฆ่าเจ้า!”
คนผู้นี้กล่าวต่อ
“นั่นต้องเป็นเพราะข้าไม่งามเท่าคนที่สั่งให้เจ้าฆ่าข้า”
เถ้าแก่เนี้ยยังคงยิ้มกล่าว
คนผู้นี้พยักหน้า
ระหว่างพูด ดาบซ่อมคมที่เถ้าแก่เนี้ยซ่อนในชายกระโปรงใต้ขากลับเผยคมออกมา
แม้หลิวรุ่ยอิ่งไม่เข้าใจบทสนทนาที่ทั้งสองรับส่งกัน แต่ก็รู้ได้ว่าพวกเขาต้องมีข้อพิพาทไม่เบาแน่นอน
“คนผู้นี้เป็นใคร”
เสียงสายหนึ่งทอดมาจากข้างหลังหลิวรุ่ยอิ่ง
เยว่ตี๋ลงมาแล้ว
มีหวาหนงอยู่ข้างกายด้วย
“ไม่รู้ มาถึงก็บอกจะฆ่านาง”
หลิวรุ่ยอิ่งชี้เถ้าแก่เนี้ยพลางกล่าว
“พูดฆ่าคนได้ง่ายดายเสียจริง…”
เยว่ตี๋กล่าวดูแคลน
“ฆ่าคนพูดง่าย แต่พอทำก็ไม่ถือว่ายากเกินไป…”
หลิวรุ่ยอิ่งทอดถอนใจ
ตอนนี้เขาก็เคยฆ่าคนแล้ว มีคุณสมบัติพอให้อวดโอ้
“เจ้าคุยกับนางนานขนาดนี้ รู้อะไรบ้างหรือไม่”
เยว่ตี๋เอ่ยถาม
“ข้ารู้ว่านางเป็นคุณหนูของจวนชิง”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“อะไรอีก”
เยว่ตี๋เอ่ยถาม
“รู้ว่าดาบตัดเงาของพวกจวนชิงดูเหมือนร้ายกาจมาก”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“อะไรอีก”
เยว่ตี๋ถามอย่างไม่ลดละ
“แล้วก็…เมื่อครู่เพิ่งรู้ว่าชื่อเดิมของนางคือชิงเนี่ยน!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวพลางเกาหัวแก้เก้อ
แม้ดูเหมือนเขาคุยกับเถ้าแก่เนี้ยอยู่นาน แต่ระดับความรู้จักที่เขามีต่อเถ้าแก่เนี้ยยังไม่มากเท่ารู้จักสวีเหล่าซื่อเลย
“พวกเขาก็ใกล้ถึงแล้ว”
เยว่ตี๋กล่าว
“ใครหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งตาเป็นประกาย
ในใจเขามีความคิดหนึ่งแล้ว แต่ยังอยากยืนยันสักหน่อย
“จิ้นเผิง กรมสอบสวนกลางสั่งให้เขาช่วยเหลือเรื่องเบี้ยหวัดเต็มกำลัง ด้วยนิสัยของเขา และข้าอยู่ที่นี่ คงไม่นานเกินรอ”
เยว่ตี๋กล่าว
…………………………………………
[1] ดอกอวี้หลาน ดอกไม้ตระกูลแมกโนเลีย
……….