ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 435 โชคร้ายไร้วาสนา-1
บทที่ 435 โชคร้ายไร้วาสนา-1
……….
ในโถงใหญ่ เถ้าแก่เนี้ยยังคงต่อสู้กับคนผู้นั้นไม่หยุดหย่อน
แต่ไม่ว่าเพลงดาบของคนผู้นั้นเปลี่ยนแปลงเช่นไร เถ้าแก่เนี้ยล้วนรับมือด้วยการปรับท่าร่างและวิชาขา
ดาบซ่อนคมเหมือนเป็นแค่ของประดับ สวมไว้บนแขนเปล่งแสงแวววาวดึงดูดสายตาผู้คน
แต่มีเพียงผู้ที่เคยเห็นอานุภาพแท้จริงถึงจะรู้ว่าของประดับนี้อันตรายยิ่งนัก…
หลิวรุ่ยอิ่งกับเยว่ตี๋นั่งคุยอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าผ่อนคลาย หวาหนงกลับตั้งอกตั้งใจดูทั้งสองต่อสู้ สองหมัดกำแน่น
“เจ้ามองสิ่งใดออกบ้างหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
แม้เขาไม่ใช่อาจารย์ของหวาหนง แต่อย่างไรก็มีชื่อว่าอาจารย์อา
ครั้งนี้หลังจากเกิดเรื่องเบี้ยหวัด สิ่งที่ตัวหลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกผิดที่สุดก็คือลากหวาหนงเข้ามาเกี่ยว
เดิมเซียวจิ่นข่านฝากฝังหวาหนงไว้กับเขาก็เพื่อให้เด็กหนุ่มชาวเขาไปเห็นโลกกว้างในเมืองหลวง เป็นหลักการเดียวกับเจ้าหมิงหมิงลงจากเขาเรียงรันมาท่องโลกมนุษย์
มีชีวิตอยู่จนอายุเยอะใช่ว่าจะเข้าใจหลักการมากมาย
บางคนอาจใช้เวลาทั้งชีวิตก็ยังไม่สามารถออกจากเมืองเล็กๆ ที่เขาอยู่ได้
เทียบกับความกว้างใหญ่ของใต้หล้า การใช้ชีวิตไปวันๆ เช่นนี้ก็น่าเศร้าเกินไปหน่อยจริงๆ…
ตอนเซียวจิ่นข่านยังอยู่กรมสอบสวน บางครั้งหลิวรุ่ยอิ่งจะหลบมาดื่มสุราในคอกม้ากับเขากลางดึก
เดิมนี่เป็นการฝ่าฝืนกฎ แต่หลิวรุ่ยอิ่งอาศัยว่าตนมีความสัมพันธ์อันดีกับชายชราเลี้ยงม้า เขาจึงลืมตาข้างหลับตาข้างแสร้งทำเป็นไม่เห็น
ปกติเป็นเซียวจิ่นข่านดื่มสุรา หลิวรุ่ยอิ่งช่วยชายชราเลี้ยงม้าทำงานเบ็ดเตล็ด
เช่นนี้ก็นับว่าตอบแทนแล้ว
ทว่าชายชราเลี้ยงม้าไม่เคยดื่มสุรา
ว่าตามหลัก คนทำงานเบ็ดเตล็ดในกรมสอบสวนเหล่านี้ต่างชอบดื่มสุราทั้งนั้น…
แต่ชายชราเลี้ยงม้าเป็นข้อยกเว้น
เขาสูบยาเส้นอย่างเดียว ไม่ดื่มสุรา
สุรายาเส้นไม่แยกกัน ชายชราเลี้ยงม้ากลับแยกคู่รักเทพเซียนนี้ออกจากกันเสียอย่างนั้น
ไม่ว่าเซียวจิ่นข่านจะใช้ลูกไม้ล่อลวงเช่นไร เขาก็ไม่แตะสุราสักหยด
เซียวจิ่นข่านไปแล้ว หลิวรุ่ยอิ่งยังเคยนึกถามเรื่องนี้กับเขาโดยเฉพาะ
ชายชราเลี้ยงม้าบอกว่า ชีวิตคนไม่ว่าทำสิ่งใดล้วนมีขีดจำกัด
ดื่มสุราก็เช่นกัน
ขีดจำกัดการดื่มสุราทั้งชีวิตของเขาใช้หมดไปเมื่อนานมาแล้ว เขาจึงไม่ดื่มสุราอีกเลย
คำพูดนี้ฟังดูเหลวไหลยิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งก็คิดว่านี่เป็นคำพูดที่ชายชราเลี้ยงม้าเอามาคุยโม้กับเขาให้ผ่านๆ ไป
แต่บัดนี้ เขาเองก็เดินทางมามากมาย พบเจอผู้คนหลากหลาย ดื่มสุรามาเยอะขนาดนี้ยิ่งรู้สึกชายชราเลี้ยงม้าพูดมีเหตุผล
ตอนนี้นึกขึ้นมากลับรู้สึกเริ่มนับถือชายชราเลี้ยงม้าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“ไม่มีอะไร…ข้าใช้กระบี่ เขาสองคนล้วนใช้ดาบ!”
หวาหนงกล่าว
“คนใช้กระบี่ดูดาบไม่ได้หรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งย้อนถาม
“กระบี่และดาบเป็นของสองสิ่งอยู่แล้ว ศึกษากันเองได้ด้วยหรือ”
หวาหนงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“แม้ข้าใช้กระบี่เหมือนกัน แต่ข้ารู้ว่าดาบต้องมีประโยชน์ที่ส่งเสริมกระบี่แน่นอน”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าต้องดูให้ละเอียดขึ้นหน่อย?”
หวาหนงกล่าว
“ทั้งหมดขึ้นอยู่กับเจ้า ข้าแค่พูดออกมาเฉยๆ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ค่อยรู้เรื่องดาบเหมือนกัน”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“เจ้าเป็นอาจารย์อาได้ดีทีเดียว…”
เยว่ตี๋พลันพูดแทรก
หลิวรุ่ยอิ่งได้แต่ยิ้มขื่นตอบ
เขายังไม่เป็นผู้ใหญ่เต็มที่ จะมีแรงเหลือไปสอนคนอื่นได้อย่างไร
อาจารย์อาฟังดูเข้าหู แต่พอเป็นขึ้นมาจริงๆ กลับยากกว่าอาจารย์เสียอีก…
เพราะนอกจากเจ้าต้องอบรมศิษย์หลานเหมือนอาจารย์ แต่ก็ยังไม่อาจพูดตรงๆ ได้เหมือนอาจารย์ ต้องระวังวิธีการ น้ำเสียงและการใช้คำพูดอีกด้วย
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าตนให้อะไรหวาหนงได้ และไม่รู้ว่าควรอบรมเขาเช่นไร
อย่างไรเจ้าหนุ่มหวาหนงก็ดูโตและมีประสบการณ์มากกว่าตน
หลิวรุ่ยอิ่งมองแสงตะเกียงที่วางอยู่ในโถงใหญ่แล้วนึกถึงตอนเขามาถึงเมืองจี๋อิงอาณาจักรติ้งซีอ๋องเป็นครั้งแรก
ตอนนั้นเขามักจะคลำสมุดเล่มเล็กอยู่ในมือ บนนั้นบันทึกข้อปฏิบัติไว้มากมาย
ทุกข้อล้วนสามารถทำให้เขาดูมากประสบการณ์ แต่สุดท้ายกลับถูกเขาโยนลงกองไฟในค่ายทหาร เผาไหม้หมดสิ้น
ไม่ใช่เพราะหลิวรุ่ยอิ่งเผชิญความยากลำบากมามากพอแล้ว แต่เขาเจอหนทางที่เหมาะให้ลงมือทำจริงมากกว่า
“หากเถ้าแก่เนี้ยยังไม่ออกดาบ ต้องแพ้ในห้าสิบกระบวน”
หวาหนงกล่าว
“รู้ได้อย่างไร”
เยว่ตี๋เอ่ยถาม
ในวันปกตินางแทบไม่ได้คุยกับหวาหนงเลย
หากฐานะนี้เปิดเผยออกไป ทั้งเมืองหลวงเป็นต้องสะท้านสะเทือน
ตอนนี้ได้ยินหวาหนงมีความเห็นต่อการต่อสู้ตรงหน้า เยว่ตี๋ก็อยากลองเชิงสักหน่อย ดูว่าเด็กหนุ่มผู้นี้มีดีตรงไหนถึงโดดเด่นจากผู้คนในใต้หล้าจนได้รับการสืบทอดจากสุดยอดนักพรตอินหยาง
“คนผู้นี้ดูเหมือนใจลอย แต่ทุกดาบล้วนฟาดฟันอย่างมีขั้นตอน”
หวาหนงกล่าว
เยว่ตี๋พยักหน้า
นี่เป็นสิ่งที่ใครๆ ก็ดูออก ต่อให้ดูไม่ออก ประโยคเช่นนี้ก็พูดไม่ยาก
ไม่อาจสะท้อนถึงสิ่งที่หวาหนงรู้ได้อย่างแท้จริง
“แต่เหมือนเขารออะไรอยู่…เพราะแม้ทุกดาบของเขาพุ่งจู่โจมจุดสำคัญของเถ้าแก่เนี้ย แต่ก็ยังถอนพลังปราณในชั่วเวลาสำคัญสุดท้าย”
หวาหนงกล่าว
เยว่ตี๋เริ่มสนใจเล็กน้อย
การสังเกตเช่นนี้เรียกได้ว่าไม่เหมือนใคร
“ยังไม่พูดถึงพลังดาบของเขารุนแรงเช่นไร แค่ระดับการควบคุมพลังปราณอย่างเดียวก็เกรงว่าเถ้าแก่เนี้ยเทียบไม่ติดแล้ว”
หวาหนงกล่าวต่อ
จากนั้นนั่งลงข้างโต๊ะด้วย
“อยากดื่มอะไรหน่อยหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถามเยว่ตี๋
“นอกจากสุรา ที่นี่มีแต่น้ำรสขมเต็มไปด้วยเม็ดทราย…เจ้าว่าดื่มอะไรดี”
เยว่ตี๋กล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งหัวเราะ เดินไปหยิบกาสุราบนโต๊ะที่ดื่มกับเถ้าแก่เนี้ยและสวีเหล่าซื่อก่อนหน้านี้
“ทำไมเจ้ายอมย้ายที่แล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“นั่งใกล้หน่อยได้เห็นรายละเอียด นั่งไกลหน่อยได้ดูภาพรวม”
สวีเหล่าซื่อกล่าว
คำพูดนี้ไม่เหมือนออกมาจากปากคนทำงานเป็นแรงงานในเหมืองแร่เลยจริงๆ
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าเมื่อก่อนเขาเป็นมือกระบี่ฝึกยุทธ์ แต่ตอนนี้เขาก็เป็นคนงานในเหมืองแร่โดยสิ้นเชิง ใช้แรงกายลำบากหาเงินทุกวัน
นอกจากกินข้าวก็พอให้เขาดื่มสุราขุ่นชามหนึ่งเท่านั้น
“เจ้าก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ เจ้าคิดว่าเด็กหนุ่มนี่เป็นอย่างไร”
เยว่ตี๋เอ่ยถาม
แม้นางไม่อยู่ในบทสนทนาก่อนหน้านี้ แต่เยว่ตี๋ยังคงรู้ฐานะสวีเหล่าซื่อได้ในแวบแรก
อย่างแรกคือมือของเขา แม้แห้งหยาบ แต่ยังมีกำลังมาก
และแขนซ้ายของเขามักห้อยลงตามความเคยชิน นี่เป็นนิสัยที่เกิดจากการถือกระบี่นานหลายปี
แม้คนทั่วไปอยากเลียนแบบก็ทำไม่ได้
อีกอย่างก็คือดวงตาของเขา
ใบหน้าสวีเหล่าซื่อเต็มไปด้วยขี้เถ้าสีดินเหลืองชั้นหนึ่ง ตรงจอนผมยังผสมสีดำเล็กน้อย
ไม่ใช่แค่เลือดคั่งจากการกระแทก แต่ยังเปื้อนสิ่งสกปรกบางอย่างด้วย
ใบหน้าเช่นนี้ กระทั่งรูจมูกยังไม่ค่อยชัดเจน…
แต่เยว่ตี๋ยังคงถูกดึงดูดด้วยสองนัยน์ตาของเขา
ตอนนี้สวีเหล่าซื่อไร้กระบี่ในมือ แต่ทั่วทั้งกายเขากลับเป็นกระบี่ทุกหนแห่ง
แม้แต่สายตาที่ส่งออกมาจากสองนัยน์ตาเขาก็แหลมคมไม่น้อยกว่ากระบี่เลื่องชื่อเล่มใดในโลก
สวีเหล่าซื่อแค่ชำเลืองมองหวาหนงเล็กน้อยแล้วกล่าว
“อย่างไรกระบี่ก็ไม่ได้มีไว้ดู”
สวีเหล่าซื่อกล่าวต่อ
เขาหยิบตะเกียบขึ้นมา คิดจะกินอาหารตุ๋นบนโต๊ะคำหนึ่ง
หวาหนงเอาลงมาจากในห้อง
หากเป็นยามปกติ สวีเหล่าซื่อคงใช้มือ
แต่ตอนนี้มีคนนั่งล้อมอยู่เยอะ เขาก็ไม่สะดวกทำเช่นนั้น…ได้แต่หยิบตะเกียบขึ้นมา
ตอนที่ตะเกียบของเขากำลังจะยื่นลงคีบเต้าหู้แห้งแผ่นหนึ่งในถ้วย หวาหนงก็หยิบตะเกียบยื่นเข้าไป
คนหนุ่มเลือดร้อน สี่คำนี้จริงแท้แน่นอน…
โดยเฉพาะเด็กหนุ่มที่เติบโตในเขาเหมือนหมาป่าดุร้ายไม่เชื่องเช่นหวาหนง ยิ่งไม่ยอมให้คนอื่นคิดดูถูกเขาแม้แต่น้อย
นึกถึงตอนเจอหลิวรุ่ยอิ่งครั้งแรก เขาก็ตั้งดาบแทงตรงต่อสู้จนสลัดไม่หลุด
กระบี่ของหวาหนงเร็วยิ่ง
เร็วจนหลิวรุ่ยอิ่งในตอนนั้นตั้งรับไม่ทัน
ตอนนี้มือเขาถือตะเกียบคู่หนึ่ง
แม้ตะเกียบไม่ใช่กระบี่ แต่หวาหนงใช้มันเป็นกระบี่ได้โดยไร้อุปสรรค
มือเขาคีบตะเกียบยื่นไปในชามนั้นอย่างรวดเร็ว
ท่าทางเตรียมคีบเต้าหู้แห่งชิ้นนั้นก่อนสวีเหล่าซื่อจะคีบถึงมัน
สวีเหล่าซื่อย่อมรู้ความตั้งใจของเขา และรู้ว่ากำลังโมโหตนอยู่
เขาจึงวางตะเกียบลงเสียเลย
เสียงดัง ‘แปะ’
สวีเหล่าซื่อวางตะเกียบในมือไว้บนโต๊ะด้านหน้าอย่างเป็นระเบียบ
หวาหนงกลับถือตะเกียบหยุดค้างอยู่กลางอากาศ
กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นฉากนี้แล้วอยากหัวเราะ
ดีที่สุดท้ายตนยังกลั้นไว้…
เขารู้ความทะนงตนของหวาหนง
หัวเราะนี่เรื่องเล็ก หากฝังบ่อเกิดหายนะอะไรลงในใจเขา เช่นนั้นก็แย่แล้ว…
“ตะเกียบก็เอาไว้กินข้าว”
สวีเหล่าซื่อกล่าว
หวาหนงไม่พอใจ ก้มหน้ายื่นตะเกียบต่อไปอย่างช่วยไม่ได้ สุดท้ายคีบเต้าหู้แห้งชิ้นนั้นมาใส่ปากเคี้ยวอย่างรุนแรง
“เต้าหู้แห้งผิดอะไร…ถึงทำให้เจ้าโกรธขนาดนี้!”
สวีเหล่าซื่อกล่าว
“เพราะเต้าหู้แห้งนี่ไม่อร่อย!”
หวาหนงกล่าว
“ไม่อร่อยเจ้าจะไม่กินก็ได้”
สวีเหล่าซื่อกล่าว
“ถ้าข้าไม่กินจะรู้ได้อย่างไรว่ามันไม่อร่อย”
หวาหนงกล่าว
สวีเหล่าซื่อพยักหน้าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“เขาไม่เลว! เขาไม่เลวเลย!”
สวีเหล่าซื่อกล่าวกับเยว่ตี๋
ยกตะเกียบในมือคีบเต้าหู้แห้งชิ้นหนึ่งใส่ปากแล้วค่อยๆ เคี้ยว
…………………………………………
……….