ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 437 โชคร้ายไร้วาสนา-3
บทที่ 437 โชคร้ายไร้วาสนา-3
……….
คนผู้นี้เห็นเถ้าแก่เนี้ยจะแกว่งดาบฆ่าตัวตายจึงเข้าไปห้ามโดยไม่สนสิ่งใด
ชั่วพริบตานั้นเขาก็ไม่กล้าผลีผลามออกดาบ
แต่ถ้ามือเปล่าหมัดเปลือยก็กลัวทำตัวเองบาดเจ็บ
จนปัญญาได้แต่หมุนคมดาบ
สอดด้ามดาบเข้าไปรองบนคอเถ้าแก่เนี้ยก่อนที่ดาบซ่อนคมของนางจะเฉือนลำคอตัวเอง
ตอนด้ามดาบเขาเพิ่งแตะถึงลำคอเถ้าแก่เนี้ย ดาบซ่อนคมของนางกลับหยุดลงกะทันหัน นิ่งค้างอยู่กลางอากาศ
“เจ้าเร่งให้ข้าออกดาบมาตลอดไม่ใช่หรือ”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
คนผู้นี้ชะงัก ชัดว่ายังไม่ได้สติ
หลิวรุ่ยอิ่งกับเยว่ตี๋สีหน้ากระจ่าง
เพิ่งสิ้นเสียงเถ้าแก่เนี้ย ดาบซ่อนคมเปล่งแสงสีเงินออกมาเป็นแถบ แทงตรงเข้าหาลำคอของคนผู้นี้
แสงตะเกียงในโถงใหญ่เป็นสีเหลืองเข้ม
แสงตะเกียงสีเหลืองเข้มสะท้อนบนคมดาบ แต่ยังคงไม่อาจบดบังแสงสีเงินของคมดาบนี้
เขาถึงได้รู้ว่าตนติดกับ!
เถ้าแก่เนี้ยจะฆ่าตัวตายได้อย่างไร
แม้ยามปกตินางทำตัวไม่อยู่กับร่องกับรอย แต่งตัวฉูดฉาดไปวันๆ
แต่นางใจแข็งดั่งหิน
สตรีคนหนึ่งที่ตัดสินใจออกจากจวนชิง ละทิ้งชื่อเสียงเงินทอง ชุดงามอาหารเลิศรสทั้งหลายมาอยู่ในเหมืองแร่ห่างไกล ไม่มีทางฆ่าตัวตายแน่นอน
หากคิดจะตายก็คงไม่ใช่ตอนนี้
คนที่อยากตายจริงๆ จะเลือกกลางดึกอันเงียบเหงาไร้ผู้คน ตัดขาดสิ่งรบกวนทั้งหลาย หาวิธีตายที่ตนสบายที่สุด จากโลกใบนี้ไปอย่างสงบและซื่อตรง
ตอนนี้ คนผู้นี้หมุนคมดาบไม่ทันแล้ว
ใช่ว่าเขาไม่อยาก แต่ทำไม่ได้…
เพราะเถ้าแก่เนี้ยจับด้ามดาบของเขาไว้ด้วยมืออีกข้างอย่างแน่นหนา
คิดทำลายสถานการณ์ อันที่จริงก็ไม่ยากนัก
แค่ต้องทิ้งดาบ
แต่เขาไม่ยอมทำเช่นนั้น…
มือดาบทิ้งดาบ ก็เหมือนนักแสดงทำลายเสียง
หากไม่ถึงทางตันหรือจนปัญญาถึงขีดสุดใครจะทำเช่นนี้
ยิ่งกว่านั้นดาบของมือดาบยังล้ำค่ากว่าเสียงนักแสดงเสียอีก
แรงกายแรงใจและความภาคภูมิของเขารวมอยู่บนดาบด้ามนี้ทั้งหมด
ทั้งยังแบกรับความดื้อรั้นชั่วสุดท้ายของเขาไว้ด้วย
หากปล่อยมือง่ายๆ เช่นนี้
อยากหยิบขึ้นมาอีกครั้งก็ยากแล้ว…
ดังนั้นเขาจะไม่ทิ้งดาบเด็ดขาด
เขาเบิ่งตามองคมดาบของเถ้าแก่เนี้ยวาดมาที่ลำคอตน
ในชั่วขณะนั้นเขากลับออกแรงก้มศีรษะ
ใช้คางของตนกดคมดามไว้อย่างแน่นหนา
แม้ท่วงท่านี้ดูเก้อกระดากยิ่ง แต่กลับได้ผลไม่น้อย
ตอนนี้เถ้าแก่เนี้ยกำดาบของเขาอยู่ในมือ
“เจ้าเป็นคนเชื่อคนอื่นง่ายเสียจริง”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าวพลางไม่ยอมอ่อนข้อ
“เชื่อคนอื่นมากเกินไป คนอื่นก็เชื่อตนได้ยากใช่หรือไม่”
คนผู้นี้กล่าว
การออกแรงบริเวณใต้กรามทำให้เสียงเขาทุ้มแหบเล็กน้อย น้ำเสียงก็ช้าลง
“เจ้าดูวิถีโลกนี้ ยังเชื่อคนได้อีกหรือ กระทั่งตัวเองข้ายังไม่เชื่อ แล้วเหตุใดต้องไปเชื่อเจ้า”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“แต่ข้ายังเชื่อคนอื่น”
คนผู้นี้กล่าว
“ก็นั่นละ…คนที่เชื่อคนอื่นตลอด ถ้าไม่ใช่คนโง่ก็เป็นคนโกหก แต่คนโง่ไม่คบค้ากันนานก็ดูไม่ออก คนอื่นจึงได้แต่คิดว่าเจ้าเป็นคนโกหก ใครจะไปเชื่อคนโกหก”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“เชื่อคนอื่นจะเป็นนิสัยคนโกหกได้อย่างไร”
คนผู้นี้เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
“คนโกหกอยากโกหกคน ต้องทำให้เจ้าเชื่อเขาก่อนใช่หรือไม่”
เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยถาม
“ถูกต้อง”
คนผู้นี้กล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งดูออกว่าตอนแรกเขาอยากพยักหน้า
แต่ทำไม่ได้เพราะใต้คางกำลังหนีบคมดาบที่พร้อมเอาชีวิตเขาได้ทุกเมื่อ จึงได้เพียงเค้นเสียงออกมาตามซอกฟัน
“วิธีที่ทำให้คนอื่นเชื่อตนได้เร็วที่สุดก็คือเชื่อคนอื่นโดยไร้เงื่อนไขก่อนไม่ใช่หรือ หลักการเอาใจเขามาใส่ใจเราใช้ได้ดีเสมอ โดยเฉพาะกับสตรี”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
สุดท้ายยังเสริมอีกประโยค
นางรู้แล้วว่าใครให้เขามาฆ่าตน
แม้เถ้าแก่เนี้ยไม่มีศัตรูคู่แค้น หรือต่อให้มีก็คงไม่มีศัตรูที่จะฆ่าคนคนหนึ่งให้ตายด้วยเงื่อนที่ว่า ‘ให้นางออกดาบก่อน’
และไม่ใช่แกว่งดาบเบาๆ ง่ายๆ แต่ต้องออกดาบตัดเงาของจวนชิงโดยเฉพาะถึงจะนับ
แค่คิดก็รู้แล้วว่าคนผู้นั้นเป็นใคร
“ข้าคิดเสมอว่าความเชื่อใจของสตรีได้มายากยิ่งกว่าบุรุษ ฟังเจ้าพูดเช่นนี้ ดูเหมือนข้าคิดผิดไป”
คนผู้นี้กล่าว
“คนสองประเภทที่หลอกง่ายที่สุดในโลกคือสตรีและเด็ก ก็เหมือนตอนนี้ข้าเป็นเถ้าแก่เนี้ยหรือคนค้าขาย การทำมาค้าขายก็หาเงินจากคนสองประเภทได้ง่ายที่สุดเช่นกัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าคืออะไร”
เถ้าแก่เนี้ยย้อนถาม
“แน่นอนว่าคือสตรีและเด็กเหมือนกัน”
คนผู้นี้กล่าว
ระหว่างพูดยังดูแคลนไม่น้อย
“แต่สิ่งที่ได้มาง่ายย่อมเสียไปง่ายเช่นกัน ดังนั้นความเชื่อใจของสตรีจึงมาเร็วไปเร็ว”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“แต่ข้าไม่เคยได้รับเลย…”
คนผู้นี้กล่าว
เสียงสั่นเล็กน้อย
เหมือนจดจ่อเรื่องนี้เกินไป บริเวณใต้คางคลายออกเล็กน้อย
เถ้าแก่เนี้ยฉวยโอกาสนี้จ่อดาบซ่อนคมบนลำคอของเขาอย่างแน่นหนา
กดลำคอของเขาจนเป็นรอยเลือดสายหนึ่ง
“อีกอย่าง ความเชื่อใจก็ต้องเปรียบเทียบ เมื่อเจ้ากับข้าทัดเทียมกันถึงจะพูดเรื่องความเชื่อใจได้ แต่เจ้าในตอนนี้คงไม่มีคุณสมบัติมาพูดเรื่องความเชื่อใจอะไรนั่นกับข้า”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“เป็นเช่นนั้นจริง แต่ข้าดูออกว่าเจ้าไม่อยากฆ่าข้า”
คนผู้นี้กล่าว
เถ้าแก่เนี้ยเพ่งมองไม่เอ่ยสิ่งใด
“หากเมื่อครู่เจ้าไม่หยุดมือข้าคงตายไปแล้ว แต่เจ้าหยุดมือจึงหยุดข้าไว้ไม่ได้อีกแล้ว!”
คนผู้นี้กล่าวต่อ
พริบตานั้นชุดดำบนกายสะบัดขึ้น
คลุมร่างเขาและดาบซ่อนคมของเถ้าแก่เนี้ยเอาไว้
เมื่อร่างนี้เผยออกมาอีกครั้ง ดาบโค้งของเขากลับมาอยู่บนมือแล้ว
และกายของเขากลับถอยหลังไปถึงตรงประตู
เหมือนตอนเขาเพิ่งมาถึงที่นี่
หากไม่มีโต๊ะเก้าอี้ชุดหนึ่งพังเละอยู่บนพื้น นี่ก็เหมือนความฝันตื่นหนึ่ง
กระทั่งคนนอกอย่างหลิวรุ่ยอิ่งก็ยังดูไม่จริงอย่างยิ่ง
“เจ้าหยุดดาบให้ข้า ข้าไว้ชีวิตเจ้า”
คนผู้นี้กล่าว
มองแท่งเงินสามแท่งที่ตนวางซ้อนไว้บนโต๊ะคิดเงินก่อนหน้านี้แวบหนึ่ง จากนั้นหมุนกายสาวเท้าจากไปอย่างสง่าผ่าเผย
เถ้าแก่เนี้ยนั่งมองเงาหลังเขาจากไปอยู่ที่เดิมเงียบๆ
กระทั่งพายุทรายนอกร้านปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างอยู่นาน เถ้าแก่เนี้ยถึงวางสองมือลง
“ไปปิดประตู!”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าวกับสวีเหล่าซื่อ
สวีเหล่าซื่อได้ยินแล้วไม่ตอบ เพียงเดินไปที่ประตู
ตอนเดินถึงข้างโต๊ะคิดเงิน ฝีเท้าเขาหยุดเล็กน้อย จากนั้นคว้าแท่งเงินแท่งหนึ่งหนีออกไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว
“ฮ่าๆๆ!”
เถ้าแก่เนี้ยเห็นพฤติกรรมสวีเหล่าซื่อแล้วหัวเราะลั่นอย่างอดไม่ได้
“ถูกคนเอาเงินไป ทำไมยังหัวเราะออก”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
เขารู้ว่าเถ้าแก่เนี้ยผู้นี้รักเงินเท่าชีวิตอย่างแท้จริง
ไม่มีอะไรล้ำค่าสำหรับนาง
เพราะสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดไม่ควรมีราคา
แต่นางแอบตั้งราคาให้ของทุกชนิดหมดแล้ว
“เจ้าไม่คิดว่าเขาน่าขันมากหรือ”
เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยถาม
“ข้าแค่คิดว่าคนที่เสียเงินน่าขันยิ่งกว่า”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“เฮ้อ…”
เถ้าแก่เนี้ยกลับถอนหายใจ
“ตอนนี้รู้สึกตัวเองน่าขันแล้ว?”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“เปล่า เมื่อครู่ข้ารู้สึกเขาน่าขัน แต่ตอนนี้รู้สึกเขาน่าสงสาร…”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“คนที่ขโมยเงินควรน่าชัง”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“แท่งเงินสามแท่งนั้นล้วนวางอยู่บนโต๊ะคิดเงิน แต่ทำไมเขาหยิบไปแค่แท่งเดียว ตอนนี้ชายผู้เคยถือกระบี่เผชิญหน้ามหาสมุทรสูญเสียกระทั่งความเด็ดขาดในการหยิบแท่งเงินไปทีเดียวสามแท่ง นี่ไม่น่าสงสารหรอกหรือ”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งฟังแล้วก็รู้สึกหนักอึ้ง…
ฉากในดวงตาสวีเหล่าซื่อเขาก็เห็นแล้ว
เงาหลังนั้นอกสั่นขวัญหายอย่างแท้จริง
หากมีแค่มหาสมุทรผืนเดียวยังไม่นับเป็นสิ่งใด
อย่างไรในโลกนี้ก็มีแม่น้ำลำคลอง ทะเลสาบและทะเล
แต่ถ้ามีคนข้างมหาสมุทร เช่นนั้นก็ต่างกันแล้ว
หนำซ้ำคนผู้นี้ยังอยู่ลำพัง
ตัวคนเดียวถือดาบเล่มเดียวเป็นเจ้าของมหาสมุทรเพียงคนเดียว
ไม่จำเป็นต้องถามต้นสายปลายเหตุของเขา
แค่มองเงาหลังเขาที่ยืนอยู่ตรงนี้ก็รู้ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวของเขาได้
แต่ว่าตอนนี้ กระทั่งเงินหนึ่งร้อยตำลึงยังต้องแอบหยิบไป
นี่ช่างน่าสงสารโดยแท้…
แม้แต่หลิวรุ่ยอิ่งก็เอ่ยคำใดไม่ออก
หากต้องอ้าปาก ก็แค่ถอนหายใจหนหนึ่งเท่านั้น…
“หนึ่งร้อยตำลึงก็ทำอะไรได้เยอะแล้ว!”
หลิวรุ่ยอิ่งเงียบอยู่นาน พลันเปิดปากกล่าว
“ฮ่าๆๆ!”
เถ้าแก่เนี้ยฟังแล้วหัวเราะอีกครั้ง
“เจ้าหัวเราะอะไรอีก”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“หนึ่งร้อยตำลึงทำอะไรได้เยอะจริง แต่ก็ต้องดูว่าอยู่ที่ไหน ในเหมืองแร่นอกจากมากินข้าวดื่มสุราที่ข้า ยังไปใช้เงินที่ไหนได้อีก สุดท้ายก็กลับมาหาเจ้าของเดิมไม่ใช่หรือ”
ใจหลิวรุ่ยอิ่งว้าวุ่นเล็กน้อย
แม้เถ้าแก่เนี้ยรักทรัพย์สมบัติ แต่ความคิดก็ทะลุปรุโปร่งอย่างแท้จริง
เงินทองใช้หมดแล้วเดี๋ยวก็กลับมา
เถ้าแก่เนี้ยลุกเดินไปหน้าโต๊ะคิดเงินและเก็บแท่งเงินสองแท่งที่เหลือ
“โต๊ะเก้าอี้ชุดนี้ไม่ถึงหนึ่งตำลึง ไม่ว่าคิดอย่างไรข้าก็ได้กำไรทั้งนั้น”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งยิ้มส่ายหน้า
ดูแล้วหาเงินได้เยอะจริง แต่เงินตำลึงนี้เถ้าแก่เนี้ยแลกด้วยชีวิต
“เลี้ยงสุราพวกเจ้า!”
เถ้าแก่เนี้ยหันมากล่าว
ยังใจกว้างหยิบอาหารตุ๋นมากมายออกมาจากในตู้
ถึงขั้นใส่เนื้อตากแห้งเต็มๆ หนึ่งชาม
หวาหนงเห็นเนื้อตากแห้งแล้วอดยื่นมือเข้าไปไม่ได้
แต่กลับถูกเถ้าแก่เนี้ยคว้ามือไว้
“เจ้าหนุ่มน้อยไม่ต้องรีบ เดี๋ยวมีแขกมาอีก”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินเสียงกีบม้าดังจากหน้าประตู
ฟังดูเหมือนคนเยอะ
เขาหันไปมองเยว่ตี๋ด้วยความฉงน
เยว่ตี๋กลับสีหน้าเรียบนิ่ง คล้ายรู้อยู่แล้ว
พอคิดอีกที หลิวรุ่ยอิ่งก็เบิกบานทันใด
สวีเหล่าซื่อรีบร้อนออกไปไม่ได้ปิดประตู
เมื่อจิ้นเผิงและคนอื่นลงม้าจึงเดินตรงเข้ามาเลย
“ทำไมอยู่ที่นี่กันหมด”
จิ้นเผิงเอ่ยถาม
เขาเห็นเยว่ตี๋กับหลิวรุ่ยอิ่งรวมถึงหวาหนงตั้งแต่แวบแรก
เพียงแต่เถ้าแก่เนี้ยแปลกหน้านัก
“กี่ท่าน”
เถ้าแก่เนี้ยเดินเข้าไปถาม
“สิบห้าคน”
จิ้นเผิงยิ้มกล่าว
ภายในหนึ่งชั่วยาม เถ้าแก่เนี้ยถามอย่างเดียวกันมาสองครั้ง
แต่ความรู้สึกในสองครั้งนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง
ก่อนหน้านี้อาจตายได้ทุกเมื่อ
แต่ตอนนี้ จิ้นเผิงและคนอื่นๆ กลับเป็นเงินขาวทองแท้ประกายแวววามในสายตานาง!
…………………………………………