ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 438 โชคร้ายไร้วาสนา-4
บทที่ 438 โชคร้ายไร้วาสนา-4
……….
“พวกเจ้ามาได้จังหวะจริงๆ!”
เยว่ตี๋กล่าว
“เรื่องที่ท่านสั่ง ไหนเลยข้าจะกล้าเหลาะแหละ”
จิ้นเผิงคำนับเล็กน้อยและกล่าวกับเยว่ตี๋
เยว่ตี๋ยิ้ม ดูออกว่านางอารมณ์ดีขึ้นเพราะการมาเยือนของจิ้นเผิง
แม้ตำแหน่งในกรมสอบสวนของนางสูงกว่าจิ้นเผิง แต่ไม่ได้แปลว่านางไม่ชอบฟังคำรื่นหู
ขอแค่เป็นมนุษย์ก็ชอบฟังคนอื่นยกยอตัวเองทั้งนั้น
เมื่อยกยอแล้ว แม้ปากกล่าวคำถ่อมตน แต่ในใจยังคงปลื้มปริ่มไม่น้อย
ยิ่งกว่านั้นคำพูดเมื่อครู่ของจิ้นเผิงยังใส่ใจและให้ความสำคัญเป็นส่วนมาก
นี่ก็เป็นสิ่งที่คนปรารถนา
“ข้าไม่มีคุณสมบัติมารบกวนเจ้าเช่นนี้หรอก!”
เยว่ตี๋กล่าวเย้าหยอก น้ำเสียงผ่อนคลาย
หลิวรุ่ยอิ่งมองเยว่ตี๋กับจิ้นเผิงคุยกันสองคนในท่าทางสบายๆ ในใจแอบคิดถึงความต่างของตนเอง
“ข้ามาได้จังหวะอย่างไรหรือ ได้จังหวะของท่านใช่ว่าเป็นเรื่องดีทั้งหมด…”
จิ้นเผิงกล่าว
“เจ้าพลาดเรื่องดีไปจริงๆ”
เยว่ตี๋กล่าว
บุ้ยปากสื่อให้จิ้นเผิงมองไปยังโต๊ะเก้าอี้ชุดหนึ่งที่ถูกทำลายเละบนพื้นหน้าประตู
“ดูเหมือนข้าจะพลาดเรื่องดีไปจริงๆ…”
“แต่ก็ไม่น่าเสียดาย ยังไม่จบเร็วๆ นี้หรอก”
เยว่ตี๋กล่าว
“เห็นพวกท่านท่าทางตื่นเต้นปานนี้ เรื่องดีต้องมีครึ่งหลังแน่นอน”
จิ้นเผิงกล่าว
“และครึ่งหลังสนุกกว่าเสมอ ความประหลาดใจก็ยิ่งเหนือความคาดหมาย”
เยว่ตี๋กล่าว
“พวกท่านจะกินข้าวหรือไม่”
เถ้าแก่เนี้ยที่ด้านข้างเห็นจิ้นเผิงกับเยว่ตี๋เหมือนถามไถ่กันเสร็จแล้วจึงเดินเข้ามาถาม
“ได้ยินว่าอาหารของเจ้าแพงนัก…ไม่รู้ว่าพวกเราจะกินไหวหรือไม่”
จิ้นเผิงหันมากล่าวกับเถ้าแก่เนี้ย
“แขกผู้มีเกียรติเช่นท่านต้องกินไหวอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะถูกปากท่านหรือเปล่า”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
กลับทำให้หลิวรุ่ยอิ่งคาดไม่ถึง
เขาไม่เคยเห็นเถ้าแก่เนี้ยมีท่าทีสุภาพนอบน้อมเช่นนี้มาก่อน
“เช่นนั้นก็ลองชิมสักหน่อย? เรื่องถูกปากนี้ไม่กินจะรู้ได้อย่างไร”
จิ้นเผิงกล่าว
เถ้าแก่เนี้ยพยักหน้ายิ้ม จากนั้นเดินไปจัดการหลังครัว
“เถ้าแก่เนี้ยผู้นี้น่าสนใจจริงๆ…”
จิ้นเผิงมองเงาหลังเถ้าแก่เนี้ยพลางกล่าว
“สตรีต้องน่าสนใจกว่าบุรุษอยู่แล้ว ถูกหรือไม่”
เยว่ตี๋กล่าว
“แน่นอนอยู่แล้ว! แม้ผู้คนล้วนบอกสตรีรวนเร แต่ความรวนเรก็คือความสนุกไม่ใช่หรือ บุรุษหนักแน่นท่ามกลางฟ้าดินเฉกเช่นภูเขาอะไรนั่นล้วนเป็นคำเหลวไหล…ภูเขาคืออันใด แค่ยืนนิ่งไม่เขยื้อนอยู่เงียบๆ ตรงนั้นเป็นหมื่นปี! ไหนเลยจะน่าสนใจเท่าสตรีที่แปรปรวนตลอดเวลา”
จิ้นเผิงกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งฟังแล้วหัวเราะพรืดออกมา
เขาไม่เคยได้ยินข้อวิพากษ์บิดเบี้ยวเช่นจิ้นเผิงมาก่อน
ได้ยินแวบแรกรู้สึกไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง
เป็นแค่คำพูดเองเออเองของคนคนหนึ่งเท่านั้น
แต่ถ้าพิจารณาถ้วนถี่ก็ไม่พบปัญหาใด
แม้บุรุษในใต้หล้ามีพวกรวนเรไม่ขาด แต่กลับไม่อาจเหมารวมทั้งหมด หากต้องพูดถึงความแปรปรวนยังไม่สู้สตรีโดยแท้จริง
หากถือเอาความแปรปรวนเป็นความน่าสนใจตามที่จิ้นเผิงว่า
บุรุษใช้ชีวิตสิบชาติอาจยังไม่เท่าหนึ่งชั่วยามของสตรี
แต่นี่ก็เป็นเหตุผลที่สตรีโมโหบ่อยไม่ใช่หรือ
หลิวรุ่ยอิ่งจำได้ว่าเขาเคยคุยเรื่องสตรีกับเซียวจิ่นข่าน
แม้ในกรมสอบสวนมีบุรุษมาก แต่สตรีก็มีเช่นกัน
อย่างน้อยตอนเรียนร่วมห้องกับพวกเขาก็มีแม่นางสามถึงห้าคนเป็นอย่างต่ำ
เด็กหนุ่มใจเต้นกันทั้งนั้น
หัวข้อที่คุยกันมักมีแค่สามอย่าง ยุทธภพนอกกรมสอบสวน ราชสำนักเหนือกรมสอบสวนและแม่นางในกรมสอบสวน
แม้ข้างนอกมีแม่นางเยอะกว่าในกรมสอบสวนแน่นอน แต่ก็เหมือนคนกินข้าวต้องกินทีละคำ แม่นางตรงหน้างามที่สุดแล้ว
วัยเดียวกันมีสายตาเช่นเดียวกัน คิดว่าตอนนั้นจิ้นเผิงก็ต้องเป็นเช่นนี้
ตอนนั้นสหายรุ่นเดียวกันล้วนแย่งเอาอกเอาใจแม่นางเหล่านั้น
มีแค่เซียวจิ่นข่านที่ไม่ไป ถึงขั้นไม่ให้หลิวรุ่ยอิ่งไปด้วย
แต่ผ่านไปไม่นาน สองสามคนที่เอาตัวเองไปอยู่หน้าสุดได้ก็ถูกปฏิเสธตกอยู่ในสภาพซึมเศร้าหดหู่
“เจ้าเดาได้อย่างไรว่าจะเป็นเช่นนี้”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“เพราะพวกเขาไม่เข้าใจสตรีโดยสิ้นเชิง”
เซียวจิ่นข่านส่ายหน้ากล่าว
“แล้วเจ้าเข้าใจหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถามด้วยความสงสัย
เขาสองคนอยู่ด้วยกันทุกวันทุกคืน ไม่เคยเห็นเซียวจิ่นข่านรู้จักแม่นางคนไหน
“ข้าก็ไม่เข้าใจ”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
นี่ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งโมโหเล็กน้อย…
คิดในใจว่าในเมื่อเจ้าก็ไม่เข้าใจ แล้วทำไมถึงคุยโวตัดสินว่าคนอื่นก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
“เพราะข้าไม่เข้าใจนี่ละ ข้าถึงรู้ว่าพวกเขาก็ต้องไม่เข้าใจแน่นอน อีกอย่าง เจ้าคิดว่าพวกนางเข้าใจความคิดของพวกเรางั้นหรือ”
เซียวจิ่นข่านย้อนถาม
“ข้าคิดว่าไม่เข้าใจเหมือนกัน”
หลิวรุ่ยอิ่งคิดแล้วกล่าว
“ก็นั่นละ…ไม่เข้าใจเจอกับไม่เข้าใจ ผลสุดท้ายคืออะไร แน่นอนว่าไม่มีอะไรให้คุย และคุยกันไม่รู้เรื่อง…ถูกปฏิเสธก็เป็นเรื่องธรรมดา”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งฟังไปพยักหน้าไป รู้สึกเหมือนเป็นหลักการนี้
แต่พอคิดอีกทีกลับรู้สึกไม่ถูกต้อง…
เซียวจิ่นข่านรู้หลักการนี้ได้อย่างไร
คนที่รู้ว่าไม่เข้าใจต้องเข้าใจอย่างยิ่งแน่นอน
ก็เหมือนถ้าคนคนหนึ่งอยากทำบางเรื่องให้ผิดพลาดทั้งหมด เช่นนั้นก็ต้องเข้าใจเรื่องนั้นเป็นอย่างดี
มีแค่คนที่เข้าใจทุกอย่างถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่เข้าใจ
“ในเมื่อเจ้ามองสถานการณ์ออกทั้งสองฝั่ง แสดงว่าเจ้าเข้าใจทั้งสองฝ่าย!”
หลิวรุ่ยอิ่งพลันร้องตกใจ
“ข้าเป็นบุรุษ ข้าย่อมเข้าใจตนเอง”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“แล้วอีกฝ่ายเล่า แม่นางเหล่านั้นน่ะ”
หลิวรุ่ยอิ่งถามซักไซ้
“อ่านจากตำราทั้งนั้น!”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
จากนั้นโบกมือคล้ายไม่อยากวนอยู่กับหัวข้อนี้อีก
แต่ตอนนี้หลิวรุ่ยอิ่งสนใจมากกว่าเดิม เขาจะปล่อยไปง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร
แต่ไม่ว่าจะถามเท่าไร เซียวจิ่นข่านก็ไม่ยอมบอกว่าเขาอ่านตำราเล่มไหนกันแน่
ภายหลังหลิวรุ่ยอิ่งยังวิ่งไปถามชายชราเลี้ยงม้า
ชายชราเลี้ยงม้าฟังแล้วหัวเราะน้ำตาไหล
เหมือนใช้ความเบิกบานใจหลายสิบปีกับชั่วเวลานี้หมดแล้ว
เขาไม่ได้วิจารณ์เรื่องถูกผิดในคำพูดของเซียวจิ่นข่าน แค่ให้หลิวรุ่ยอิ่งออกจากกำแพงสูงใหญ่ของกรมสอบสวนไปเดินเล่นตามร้านรวงข้างๆ ในยามว่าง
แน่นอนว่าหลิวรุ่ยอิ่งเคยไปร้านรวงแถวนั้นหลายครั้งแล้ว
พอถามชายชราเลี้ยงม้าอีกเขาก็ปิดปากเงียบ
เพียงอยากให้หลิวรุ่ยอิ่งลดความรีบร้อน ใส่ใจและละเอียดลออขึ้นหน่อย
เมื่อเป็นเช่นนี้ หลิวรุ่ยอิ่งได้แต่หาเวลาว่างออกจากรมสอบสวนคนเดียว
เขาไม่ได้เรียกเซียวจิ่นข่านมาด้วย
แต่เซียวจิ่นข่านรู้เป้าหมายของเขาเลยสั่งให้เขาเอาสุรากลับมาให้ตนสักเล็กน้อย
ทุกครั้งที่เดินออกจากประตูใหญ่ของกรมสอบสวน หลิวรุ่ยอิ่งมักรู้สึกเหมือนกลับมาโลกมนุษย์ในรอบหลายสิบปี
สิ่งที่หูรับตาเห็นล้วนเป็นความสับสนวุ่นวายบนโลก
…………………………
ตอนนี้เลยเช้าตรู่แล้ว
วันหยุดหลิวรุ่ยอิ่งชอบนอนตื่นสาย
แต่มักจะตื่นก่อนเที่ยงตรงเสมอ ก็ยังไม่นับว่าสายเกินไป
ที่จริงเสียงเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ขายในร้านรวงเหล่านั้นก็เปิดฉากลากยาวตั้งแต่ช่วงแสงอาทิตย์ยามเช้าโผล่ขึ้นมาต่อเนื่องตลอดวัน
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นของว่างที่เขาชอบกินเป็นประจำ
คนขายของว่างชนิดนี้ในตลาดเป็นสตรีอายุน้อยแต่แต่งตัวเกินวัยมากคนหนึ่งมาตลอด
หากความแตกต่างเช่นนี้ปรากฏบนตัวบุรุษคนหนึ่งกลับจะไม่แปลกแต่อย่างใด
แต่ถ้าสตรีคนหนึ่งเป็นเช่นนี้ก็มักจะดึงดูดสายตาผู้คน
เมื่อก่อนหลิวรุ่ยอิ่งสนใจแค่ของกินในไหนาง ไม่เคยสังเกตการแต่งกายของนางมาก่อน
แต่ครั้งนี้ฟังคำสั่งของชายชราเลี้ยงม้า หลิวรุ่ยอิ่งจึงยืนจ้องสตรีคนนี้ไม่ละสายตาอยู่หน้าแผงลอย
ฉับพลันนั้นนางตะโกนเรียกลูกค้า
หลิวรุ่ยอิ่งฟังไม่ชัดว่าเนื้อหาในนั้นคืออะไร แต่ส่วนใหญ่ควรจะเกี่ยวกับของกินที่นางขาย
ทว่าคำสุดท้ายในเสียงร้องตะโกนกลับยกเสียงสูงโดยใช่เหตุ หนักแน่น มั่นคงและมีจังหวะจะโคนกว่าคำพูดยาวเป็นพวงก่อนหน้านี้
เพียงแต่ตัดจบรวดเร็วนัก…
ไม่ให้โอกาสคนได้หยุดคิด
แต่เช่นนี้ยิ่งกระตุ้นให้คนสนใจได้ เมื่อได้ยินเสียงตะโกนนี้ เดิมเท้าที่ก้าวไม่ออกก็จะเดินสาวเข้ามาดูว่ามีอะไร
หลิวรุ่ยอิ่งอยู่ใกล้แผงลอยที่สุด เสียงตะโกนนี้ทำลายความคิดของเขาเช่นกัน
การตัดจบที่ประหลาดและรีบเร่งทำให้เขาสนใจ
แต่สิ่งที่ตามมาในใจกลับเป็นความอ้างว้างและความรู้สึกผิด
ทั้งที่ตามร้านรวงผู้คนขวักไขว่เบียดเสียดไปมา
จะรู้สึกอ้างว้างได้อย่างไร
เสียงร้องตะโกนจากแม่ค้าธรรมดาๆ ก็ไม่ควรทำให้ใจเขาเกิดความรู้สึกผิด…
แต่หลิวรุ่ยอิ่งก็ซื้อมาถ้วยหนึ่งระหว่างที่จิตใจกำลังโน้มเอียงไปทางนั้นโดยไม่รู้ตัว
ร้านแผงลอยริมถนนไม่มีที่นั่ง ทุกคนต่างยืนกินจนหมด
หลิวรุ่ยอิ่งก็เช่นกัน
เพียงแต่ของรอบนี้กินเข้าปากแล้วรสชาติไม่เหมือนเดิม
เพิ่งกินไปสองคำ หลิวรุ่ยอิ่งก็วางตะเกียบลง…
เขาเงยหน้ามองเจ้าของแผงมัดผ้ากันเปื้อนสีขาวสกปรกผืนหนึ่ง แต่สีขาวน้อย ออกจะดำเหลืองมากกว่า
ทุกครั้งที่ทำเสร็จชามหนึ่งก็จะเช็ดน้ำแกงบนมือกับผ้ากันเปื้อนนั้น
ครั้งนี้หลิวรุ่ยอิ่งกินไม่หมดเป็นครั้งแรก
เขาคืนถ้วยกลับไปแล้วมุ่งหน้าต่อ
พ่อค้าที่เหลือตามทางล้วนขายสิ่งที่เขาไม่สนใจ
แต่เดินดูตลอดทางเช่นนี้ หลิวรุ่ยอิ่งกลับสังเกตเห็นรายละเอียดมากมายที่เขามองข้ามก่อนหน้านี้
ผ่านไปหลายชั่วยาม ตอนเขากลับถึงกรมสอบสวนถึงได้ตบหัวนึกออกว่าลืมเอาสุรามาให้เซียวจิ่นข่าน
พอเขากลับถึงในห้องก็เห็นเซียวจิ่นข่านดื่มสุราอยู่
“เจ้าเอาสุรานี้มาจากไหน”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ซื้อน่ะสิ!”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“วันนี้เจ้าไม่ออกไปไม่ใช่หรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“แต่เจ้าก็ไม่ได้เอามาให้ข้า”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งมองมือว่างเปล่าของตนก็เก้อกระดากเล็กน้อย
“เจ้าก็ไปตลาดหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
เซียวจิ่นข่านพยักหน้า
“แล้วทำไมข้าไม่เจอเจ้า”
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกแปลกใจ
“เพราะเจ้าเดินไปเดินมาในตลาดคนเดียวเหมือนคนไม่มีสติ ข้าก็ไม่รู้ว่าเจ้าทำอะไรอยู่เลยไม่ได้ไปรบกวนเจ้า”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งเกาหัวและบอกสิ่งที่ชายชราเลี้ยงม้าพูดกับเขาให้เซียวจิ่นข่านฟัง
เซียวจิ่นข่านฟังแล้วแทบสำลักสุรา ปรับลมหายใจแล้วเปิดปากถาม
“แล้วเจ้าเข้าใจหรือยังว่าทำไม”
“ยัง…ในตลาดมีแผงหนังสือแค่สองแห่ง ข้าถามหมดแล้ว ที่จริงเถ้าแก่แอบหัวเราะบอกข้าว่าไม่มีตำราแบบนั้น ส่วนพ่อค้าแม่ขายคนอื่นข้าก็ไม่เห็นอะไรเป็นพิเศษ แต่ของกินนั่นข้าไม่อยากกินอีกแล้วจริงๆ…”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ทำไมล่ะ เจ้าชอบกินมากไม่ใช่หรือ ทุกครั้งที่ไปตลาดก็ต้องกินชามหนึ่ง ก่อนไปยังต้องเอากลับมาชุดหนึ่งด้วย”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“ตอนนี้ไม่ชอบกินแล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ทำไมกัน ไม่อร่อย รสชาติเปลี่ยน หรือขึ้นราคา”
เซียวจิ่นข่านเอ่ยถาม
“ไม่ได้ขึ้นราคา แต่กินเข้าปากข้าแล้วรสชาติเปลี่ยน…แต่มองวัตถุดิบก็ยังเป็นของเหล่านั้น สิ่งที่เปลี่ยนคงมีแต่ความชอบของข้าเองกระมัง…”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
พูดจบก็นอนกลุ้มอยู่บนเตียง มองขื่อไม่เอ่ยคำใด
“นี่เจ้าเข้าใจแล้วไม่ใช่หรือ”
เซียวจิ่นข่านถือกาสุราเดินมากล่าวข้างหลิวรุ่ยอิ่ง
“ข้าเข้าใจอะไร”
หลิวรุ่ยอิ่งทำหน้างง
“ของกินของคนอื่นไม่ได้เปลี่ยนไปเลย สิ่งที่เปลี่ยนมีแต่ความชอบของเจ้าเอง”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
ชั่วขณะนั้นหลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกเหมือนตนคว้าบางอย่างไว้ได้ แต่ก็ไม่ชัดเจนเท่าไรนัก
…………………………
“นายกองหลิวดูเหนื่อยแล้ว!”
เสียงจิ้นเผิงทอดมา ดึงเอาความรู้สึกนึกคิดของหลิวรุ่ยอิ่งออกจากความทรงจำ
“เปล่า…ข้าแค่ใจลอย!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ใจลอยก็คือเหนื่อย หากคนตั้งสติไม่ได้ย่อมมีแค่สองเหตุผล ดื่มเยอะกับเหนื่อยแล้ว”
จิ้นเผิงกล่าว
“ข้าดื่มสุราจริง แต่ยังไม่ได้ดื่มเยอะ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวยิ้มเจื่อน
เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองนึกถึงเรื่องหยุมหยิมในอดีตเหล่านั้นเพราะบทสนทนาสองประโยคของจิ้นเผิงกับเยว่ตี๋ได้อย่างไร
………………………………………
……….