ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 439 โชคร้ายไร้วาสนา-5
บทที่ 439 โชคร้ายไร้วาสนา-5
……….
“ตอนนี้มีเรื่องอะไรที่ต้องทำทันทีหรือไม่”
จิ้นเผิงเอ่ยถามเยว่ตี๋
“รอ…”
เยว่ตี๋กล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งกับจิ้นเผิงได้ยินคำว่า ‘รอ’ แล้วถอนหายใจพร้อมเพรียงกัน
รอมานานเกินไปแล้ว แต่ยังไม่เห็นเป้าหมายของการรอเสียที
“ข้ามาก็อยู่ที่เหมืองแร่ตลอด รับข่าวสารไม่สะดวก ฝั่งเจ้ามีเรื่องใหม่บ้างหรือไม่”
เยว่ตี๋เอ่ยถาม
“มี”
จิ้นเผิงก็กล่าวแค่คำเดียวเหมือนกัน
“มีแล้วยังไม่พูดอีก อุบอะไรไว้”
เยว่ตี๋กล่าวพลางกลอกตาใส่เขา
“ก็ข้าหิว…รออาหารยกมาแล้วค่อยกินไปคุยไป”
จิ้นเผิงกล่าว
“เช่นนั้นเจ้าอย่าคาดหวังอะไรจะดีกว่า…อาหารที่นี่ อย่างมากก็อยู่ระดับกินเอาอิ่มเท่านั้น”
เยว่ตี๋กล่าว
“หิวแล้วก็แค่อยากกินอิ่ม…มีเวลาเลือกกินเสียที่ไหน”
จิ้นเผิงยักไหล่กล่าว
“รัฐหงอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องร่วมมือกับจวนชิง จะมาตรวจสอบเรื่องเบี้ยหวัดที่เหมืองแร่นี้อย่างถึงที่สุด”
ล้อเล่นส่วนล้อเล่น เมื่อพูดเรื่องจริงจังก็ไม่ปล่อยผ่านแม้แต่น้อย
“เจ้าไม่ต้องบอกก็เดาได้”
เยว่ตี๋กล่าว
แม้นางไม่รู้เรื่องนี้
แต่ด้วยสมองของนางย่อมคิดถึงจุดนี้ได้ทั้งหมด
ดังนั้นนี่ไม่นับเป็นเรื่องใหม่สำหรับเยว่ตี๋
“ประเด็นคือคนที่มาดูแปลกนัก…”
จิ้นเผิงกล่าว
“หืม? มีอะไรแปลก จวนผู้ควบคุมรัฐหงกับจวนชิงสวมกางเกงตัวเดียวกันอยู่แล้ว จุดนี้คิดว่าแม้แต่เจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยาก็รู้เช่นกัน”
เยว่ตี๋กล่าว
“ความแปลกอยู่ที่จวนผู้ควบคุมรัฐไม่ได้ส่งคนมีตำแหน่งคนใดมาเบื้องหน้า แต่เหวินทิงไป๋ผู้ควบคุมรัฐหงให้เหวินฉีเหวินลูกชายของตนมาลุยบึงน้ำขุ่นนี้เอง”
จิ้นเผิงกล่าว
เยว่ตี๋ฟังแล้วขมวดคิ้ว
จุดนี้นางคิดไม่ถึง
เดิมนึกว่าต้องเป็นจวนผู้ควบคุมรัฐหงนำแล้วให้จวนชิงลงเงินลงแรงเป็นกองหน้านำทัพไปก่อน
แม้ด้านหนึ่งเหวินทิงไป๋ผู้ควบคุมรัฐหงลงมาบัญชาการ ไม่อาจออกเดินทางได้โดยง่าย แต่อย่างไรก็คงไม่ให้ลูกชายผู้ไม่มีตำแหน่งของตนมาด้วย
นี่แปลกอยู่บ้างจริงๆ…
“ไม่ใช่แค่นั้น ผู้ร่วมทางยังมีคุณหนูจวนชิง ซึ่งก็คือชิงเสวี่ยชิงที่หมั้นหมายกับเหวินฉีเหวินตั้งแต่เด็ก”
จิ้นเผิงกล่าว
เถ้าแก่เนี้ยยกเนื้อม้าที่เพิ่งต้มเสร็จมาหนึ่งถาดใหญ่
ตอนได้ยินสามคำว่าชิงเสวี่ยชิงพลันเผลอสติ ถาดเอียงไปด้านข้าง
น้ำแกงร้อนที่กระเด็นออกมาลวกตรงง่ามนิ้วมือขวาของนางแดงเป็นปื้นใหญ่
เถ้าแก่เนี้ยกัดฟันแน่น วางเนื้อม้าถาดใหญ่นั้นบนโต๊ะ
นางหยิบกาสุราเย็นบนโต๊ะข้างๆ มาเทล้างง่ามนิ้วมือขวา
จิ้นเผิงกับเยว่ตี๋เห็นแล้วเงยหน้ามองกัน
“น้องสาวของเจ้าเป็นคนแบบใด”
จิ้นเผิงหันไปถาม
เถ้าแก่เนี้ยได้ยินแล้วไม่ตอบ ยังคงใช้สุราล้างมือขวาอย่างไม่รีบร้อน
กระทั่งกาสุรานั้นเอียงลงเรื่อยๆ น้ำสุราในนั้นเหลือแค่ก้น นางถึงได้หยุด
“ข้าไม่รู้”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
ดื่มสุราที่เหลือในการวดเดียวหมด
“น้องสาวของเจ้า ท่านไม่รู้จักสักนิดเลยหรือ”
จิ้นเผิงไล่เลียง
“ความเกี่ยวข้องเพียงหนึ่งเดียวของข้ากับนางคงเป็นเราสองคนสกุลชิงเหมือนกัน อย่างอื่นข้าไม่รู้ กระทั่งนางรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรข้าก็ไม่รู้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงนางเป็นคนแบบไหน”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
จิ้นเผิงถูกตอกกลับอย่างนุ่มนวลเรียบนิ่ง ตอนนี้ได้แต่หันกลับมาเงียบๆ เลือกเนื้อม้าชิ้นที่เนื้อแยกกับมันจากในถาดมากินคำใหญ่
“ทำไมเนื้อม้านี่ไม่ใส่เกลือ?!”
เนื้อที่ไม่มีเกลือกลืนลงท้องยากกว่าผักไม่ใส่เกลือเสียอีก…
“ใส่เกลือต้องเก็บเงินแยก ตอนถามพวกเจ้าเมื่อครู่ก็ไม่มีใครสนใจข้าสักคน ข้านึกว่าไม่เอาเลยไม่ได้ใส่”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
จิ้นเผิงพยายามกลืนเนื้อม้าในปากลงไป หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
“ราคาเท่าไรข้าให้หมด รบกวนพี่สาวใส่เกลือให้ข้าหน่อย”
จิ้นเผิงกล่าว
“ได้!”
เถ้าแก่เนี้ยตอบรับ
จากนั้นยกถาดไปโถงด้านหลังอีกครั้ง
“อ้อ ข้าไม่ใช่พี่สาวอะไรนั่น จำไว้ว่าเรียกข้าเถ้าแก่เนี้ย”
เถ้าแก่เนี้ยเพิ่งเดินสองก้าวก็หยุดลงแล้วกล่าว
“ดูเหมือนช่วงนี้พวกท่านก็ลำบากไม่น้อย…”
จิ้นเผิงพลันทอดถอนใจ
“ชิงเสวี่ยชิงกับเหวินฉีเหวินน่าจะอายุน้อยกว่าหลิวรุ่ยอิ่ง ส่งเด็กสองคนมาจะทำอะไรได้”
เยว่ตี๋กล่าว
นางไม่สนใจอารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของเถ้าแก่เนี้ยโดยสิ้นเชิง
เรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นตรงหน้าสำคัญกว่าอย่างชัดเจน
“นี่ก็ไม่แน่ใจ…ไม่ใช่แค่เด็กสองคนนี้มา สองวันนี้กระทั่งชิงหรานผู้นำตระกูลชิงที่ป่วยอยู่นานก็ปรากฏตัวต่อสาธารณชนในหัวเมืองรัฐหง”
จิ้นเผิงกล่าว
“ข้านึกว่าเขาตายไปนานแล้ว…ที่แท้ไม่ได้ป่วยตั้งแต่แรก!”
เยว่ตี๋กล่าว
“นอกจากไม่ตายแล้วยังใบหน้าเปล่งปลั่ง ฝีเท้าเร็วเหมือนบิน ที่ทำการในหัวเมืองรัฐหงรายงานว่าวันนั้นชิงหรานกับเหวินทิงไป๋เที่ยวชมหัวเมืองรัฐหงแล้วไปดื่มสุราในโรงเตี๊ยมพูนโชค ระหว่างนั้นสองคนนี้ยังแต่งคำเขียนกลอนหลายบทอย่างสนุกสนาน สุดท้ายชิงหรานยังไปเป็นแขกจวนผู้ควบคุมรัฐหงตามคำเชิญของเหวินทิงไป๋ด้วย”
จิ้นเผิงกล่าว
“นี่เป็นข้อมูลเมื่อไร”
เยว่ตี๋เอ่ยถาม
“อย่างมากก็สองวันก่อน”
จิ้นเผิงกล่าว
“ชิงหรานแกล้งป่วยหลายปีเช่นนี้ต้องมีเรื่องไม่สะดวกทำเบื้องหน้า ตอนนี้เขาออกมาเดินอวดโฉมได้ คิดว่าเรื่องนี้คงสำเร็จแล้ว”
เยว่ตี๋กล่าววิเคราะห์
“ท่านสงสัยว่าจวนชิงเกี่ยวข้องกับเรื่องเบี้ยหวัด?”
จิ้นเผิงฟังแล้วครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นกล่าวด้วยความตกใจ
ความคิดนี้อาจหาญไปหน่อยจริงๆ…
หากจวนชิงเกี่ยวพันกับเรื่องนี้ แล้วผู้มีอำนาจทั้งหมดในรัฐหงรวมถึงจวนผู้ควบคุมรัฐจะมีใครหลุดพ้นจากการมีส่วนเกี่ยวข้องไปได้
“ก่อนรู้ความจริงล้วนไม่มีใครเป็นผู้บริสุทธิ์ ข้าอาจสงสัยใครก็ได้ที่ในหัวข้ารู้จัก เจ้าก็เหมือนกัน รวมถึงข้าด้วย”
เยว่ตี๋กล่าวจริงจัง
“ต่อให้ข้าสงสัยนาง ข้าก็จะไม่มีวันสงสัยท่าน”
จิ้นเผิงตบหัวไหล่หลิวรุ่ยอิ่งพลางกล่าว
“ข้า…”
หลิวรุ่ยอิ่งพลันตัวแข็งทื่อ พูดไม่ออก
“แค่ล้อเล่น นายกองหลิวอย่าได้คิดเป็นจริง!”
“แต่ถ้าพูดถึงใครในนี้น่าสงสัยก็เป็นข้าจริงๆ!”
หลิวรุ่ยอิ่งหัวเราะกล่าว
“เหตุใดไม่เชื่อใจตัวเองเช่นนี้”
จิ้นเผิงกล่าว
“อย่าพูดสองคำนี้อีกเลยขอรับ…ก่อนหน้านี้ฟังคำว่าเชื่อใจจนหูจะขึ้นเป็นไตแล้ว…”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวพลางโบกมือรัว
จากนั้นก็เอ่ยถึงคนที่จะมาฆ่าเถ้าแก่เนี้ยก่อนหน้านี้ให้จิ้นเผิงฟัง
แต่ตอนจะเล่าถึงช่วงสำคัญ เยว่ตี๋กลับให้หลิวรุ่ยอิ่งหยุดกะทันหัน
“ความประหลาดใจพูดออกมาก็ไม่ประหลาดใจแล้ว ต้องเห็นกับตาถึงจะนับ”
เยว่ตี๋กล่าว
“มิน่าพอเข้ามาก็รู้สึกถึงพลังดาบรุนแรง ที่แท้ก่อนหน้านี้เกิดเรื่องน่าสนใจไม่น้อย”
จิ้นเผิงกล่าว
“เจ้าคิดว่าคนผู้นี้คือใคร”
เยว่ตี๋เอ่ยถาม
“ข้าคิดไม่ออก ท่านเคยพบหน้าครั้งหนึ่งแล้ว ไม่มีข้อสุรปใดเลยหรือ”
จิ้นเผิงกล่าว
“ข้อสรุปเดียวคือขั้นฝึกยุทธ์ของเขาไม่ด้อยกว่าข้า…อีกอย่าง เขาดูเหมือนรู้เรื่องภายในจวนชิงเป็นอย่างดี”
เยว่ตี๋กล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินครึ่งประโยคแรกแล้วเหมือนฟ้าผ่าเงียบๆ!
ต้องทราบว่าเยว่ตี๋ออกกระบี่แยกท้องนภา อีกนิดก็ก้าวเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเทพบริราชเก้าทวีปแล้ว
นางถึงกับบอกว่าขั้นฝึกยุทธ์ของคนที่ต่อสู้กับเถ้าแก่เนี้ยก่อนหน้านั้นไม่ด้อยกว่าตัวเอง เช่นนั้นแค่คิดก็รู้พลังที่แท้จริงของเขาได้…
แต่ก่อนหน้านี้เยว่ตี๋ไม่ได้กล่าวคำเหล่านี้กับหลิวรุ่ยอิ่ง
อาจเพราะเขายังไม่มีคุณสมบัติพอจะเข้าใจกระมัง…
“แต่เถ้าแก่เนี้ยยังมีชีวิตอยู่ ท่านออกมือช่วยงั้นหรือ”
จิ้นเผิงเอ่ยถาม
“ข้าจะสนใจเรื่องคนอื่นได้อย่างไร คนผู้นั้นมาฆ่าคนพร้อมกฎเกณฑ์”
เยว่ตี๋กล่าว
จิ้นเผิงพยักหน้า
ของอย่างกฎเกณฑ์บางครั้งใช้ได้จริง แต่ส่วนใหญ่เข้มงวดจนน่าชังยิ่งนัก…
ความแตกต่างเดียวอยู่ที่เจ้าเป็นคนตั้งกฎหรือเป็นคนทำตามกฎ
คนตั้งกฎ กฎเกณฑ์ที่กำหนดย่อมเป็นผลดีต่อตัวเองที่สุด
และคนทำตามกฎ ถ้าอ่อนแอขี้ขลาดสักหน่อยก็พอผ่านไปได้
แต่ถ้านิสัยแข็งกร้าวไม่ยอมถอย หากไม่ตั้งกฎเองก็ต้องดับสิ้นด้วยกฎของอีกฝ่าย
แม้จิ้นเผิงยังเป็นคนของกรมสอบสวน
แต่เขาก็รับข้อกำหนดยืดยาวของกรมสอบสวนหลักในเมืองหลวงไม่ได้เหมือนกัน
การจากไปของเยว่ตี๋เป็นหนึ่งในสาเหตุที่เขาออกจากกรมสอบสวนกลาง แต่นั่นไม่ใช่แก่นสำคัญ
สุดท้ายเขากับเยว่ตี๋ก็แค่ต้องการความผ่อนคลายและอิสรภาพเท่านั้น
ตำแหน่งหัวหน้าอาคารกรมสอบสวนไม่อาจเทียบกับตอนอยู่ในกรมสอบสวนกลางก่อนหน้านี้
แต่สิ่งที่จิ้นเผิงได้รับคือวัฏจักรฤดูกาลที่สมบูรณ์และภูเขาแม่น้ำอันงดงาม
“มีมือสังหารเช่นนี้อยู่จริง…”
“เขาไม่ใช่มือสังหาร เป็นแค่คนน่าสงสารที่ถูกสตรีทำเสียใจแล้วยังถอนตัวไม่ขึ้น”
เยว่ตี๋กล่าว
“ท่านหมายความว่าเขาเป็นคนงมงายในความรักหรือ”
จิ้นเผิงย้อนถาม
“ถูกต้อง งมงายในความรัก…แม้ฆ่าคนไม่เคยเป็นเรื่องดี แต่หากมีบุรุษคนหนึ่งทำเรื่องเช่นนี้เพื่อสตรีได้ เขาก็ควรค่าให้คนนับถือแล้ว”
เยว่ตี๋กล่าว
“ตอนนี้ข้าอยากรู้แค่สตรีคนนั้นเป็นใคร คนที่ชักจูงยอดฝีมือเช่นนี้ได้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน”
จิ้นเผิงกล่าว
คำว่าไว้มีเงินใช้ผีโม่แป้งได้
แต่ถึงขั้นหนึ่งอิทธิพลของเงินกลับน้อยนิดเหลือเกิน…
แน่นอนว่ามีพวกโลภทำทุกอย่างเพื่อเงินโดยไม่กลัวสิ่งใด แต่คนส่วนใหญ่ล้วนต้องการความพึงพอใจทางด้านจิตใจมากกว่า
ยิ่งไม่ได้มามักยิ่งพยายาม
มีเงินอาจชักจูงได้ชั่วขณะ ใช้รูปโฉมและกายเนื้อก็ผูกมัดได้ชั่วคราว
เพราะสุดท้ายเงินจะหมด รูปโฉมและกายเนื้อจะแก่ชรา
มีเพียงจิตใจที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ท้ายที่สุดก็คือคำว่ารักนั่นละ…
สตรีคนนั้นใช้คำว่ารักผูกมัดเขาไว้อย่างแน่นหนา แล้วใช้ ‘ความเชื่อใจ’ ที่ปั้นขึ้นมาทำให้เขายินดีถูกตนชักจูง
เทียบกับการงมงายในความรักที่ทำให้คนนับถือ สตรีคนนั้นกลับทำให้คนคลื่นเหียน…
“ข้าก็ทำเช่นนี้เพื่อท่านได้เหมือนกัน!”
จิ้นเผิงกล่าวกับเยว่ตี๋
“ความรักไม่ใช่สิ่งที่เอาไว้ดูหมิ่น พวกเราจะล้อเล่นอะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่เรื่องนี้!”
จิ้นเผิงนึกไม่ถึงว่าเยว่ตี๋จะแย้งตนจริงจังเช่นนี้
ทุกคนล้วนมีประเด็นที่คนอื่นแตะไม่ได้ ดูเหมือนประเด็นของเยว่ตี๋ก็คือความรัก
ตอนเถ้าแก่เนี้ยยกเนื้อม้าถาดใหญ่กลับมาอีกครั้ง ทุกคนเงียบพอดี
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นมือขวาเถ้าแก่เนี้ยพันผ้าสีขาวไว้แล้ว
“นี่คือกลิ่นเนื้อม้าหรือ”
จิ้นเผิงหิวมากแล้วจริงๆ…
ตอนกำลังจะกินตะกรุมตะกราม กลับถูกเสียงสายหนึ่งขัดจังหวะ
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นสองคนเดินเข้ามาทางประตู
เขาไม่รู้จักคนนำหน้า แต่เพียงรู้สึกว่ากลิ่นอายไม่ธรรมดา
แต่คนข้างหลังนั้นหลิวรุ่ยอิ่งมองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นใคร
ไม่ใช่แค่เขา เยว่ตี๋ก็รู้เช่นกัน
“เป็นเนื้อม้าจริงด้วย! แต่ทำไมต้มแค่น้ำเปล่า”
คนที่นำหน้าเดินตรงดิ่งเข้ามาก้มหน้าหาเนื้อม้า ยื่นมือมาพัดแล้วสูดกลิ่นหอมพลางกล่าว
แต่มือเขาไม่รอช้า
หยิบเนื้อม้าชิ้นหนึ่งขึ้นมากิน
ไม่สนใจว่าคนอื่นอนุญาตหรือไม่
“รีบกินสิ! เนื้อม้าตุ๋นน้ำเปล่าต้องรีบกินตอนร้อน เย็นก็ไม่อร่อยแล้ว!”
คนผู้นี้กล่าว จากนั้นกินสองสามคำก็หมดชิ้นใหญ่
เขาดูดนิ้วมือ สองนัยน์ตายังคงจ้องถาดทำท่าจะกินต่อ
“ฮ่าๆๆ! นอกจากเนื้อม้าตุ๋นน้ำเปล่ากินเย็นไม่ได้แล้วยังขาดสุราไม่ได้ด้วย!”
จิ้นเผิงกล่าวหัวเราะลั่น
จากนั้นสั่งเถ้าแก่เนี้ยยกสุรามาอีกสองสามกา
คนผู้นี้ก็หนังหน้าหนาเสียจริง นั่งลงโดยไม่รู้สึกอะไร
ดูสีหน้าท่าทางเหมือนเขาเป็นคนสั่งเนื้อม้า กระทั่งท้องฟ้าเหนือศีรษะและผืนดินที่เหยียบย่างก็เป็นของเขาทั้งหมด
ไม่เพียงให้ผู้ติดตามของตนนั่งลง ยังตะโกนต้อนรับแทนเจ้าภาพอีกด้วย
แต่หลิวรุ่ยอิ่งกับเยว่ตี๋มองผู้ติดตามของเขาเงียบๆ
แม้ผู้ติดตามคนนั้นสังเกตเห็นสายตาของทั้งสอง แต่กลับไม่มองตอบ เพียงก้มหน้ายิ้มเล็กน้อยถือว่าทักทายแล้ว
………………………………………
……….