ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 440 โชคร้ายไร้วาสนา-6
บทที่ 440 โชคร้ายไร้วาสนา-6
……….
หลิวรุ่ยอิ่งมองเยว่ตี๋ พบว่านางยังคงสงบนิ่ง
ไม่ได้ขับไล่หรือมอบไมตรีให้สองคนที่โผล่มากะทันหัน
เพียงพูดคุยสัพเพเหระอย่างไม่ค่อยใส่ใจ
ไม่นานเนื้อม้าถาดใหญ่ก็เหลือก้นถาด สุราที่สั่งเมื่อครู่ยังดื่มไม่หมด
“เฮ้อ…บอกว่ามีเนื้อต้องมีสุรา! ตอนนี้ดูเหมือนมีสุราก็ต้องมีเนื้อเช่นกัน”
คนผู้นี้กล่าว
“ไม่สู้ไปพักผ่อนในห้องพักแขกข้างบนก่อน รออีกเดี๋ยวเนื้อใหม่ออกจากหม้อแล้วค่อยลงมากิน?”
เขาเอ่ยถามผู้ติดตาม
“ดี! เอาตามนี้ละ! พวกเจ้ารอข้านะ ประเดี๋ยวมีเนื้อแล้วค่อยดื่มต่อ!”
เขากล่าว
พูดจบก็เดินขึ้นชั้นบน
ร้านของเถ้าแก่เนี้ยเพิ่งเคยมีคนไร้มารยาทเช่นนี้มาเป็นครั้งแรก
เถ้าแก่เนี้ยโมโหจนปาดเอาดาบซ่อนคมพุ่งแทงเข้าหลังของคนผู้นั้น
นึกไม่ถึงผู้ติดตามของเขาพลันขวางอยู่ข้างหลังทันที
เถ้าแก่เนี้ยเห็นเช่นนี้ก็ได้แต่เก็บดาบ…
“เป็นดาบดีจริงๆ!”
ผู้ติดตามมองคมดาบซ่อนคมของเถ้าแก่เนี้ยพลางกล่าว
“ต้องเป็นดาบดีอยู่แล้ว!”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าวด้วยความโมโห
สองนัยน์ตาจ้องคนที่เดินขึ้นชั้นบนอย่างไม่รีบร้อนผู้นั้น
เขาเหมือนไม่รู้เลยว่าข้างหลังเกิดอะไรขึ้น
ทุกก้าวล้วนเดินมั่นคงยิ่ง
หรือเขาอาจรู้อยู่แล้วว่าข้างหลังตนเกิดอะไรขึ้น เพียงแต่เขาไม่กังวลเท่านั้นเอง
แค่ความสุขุมนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปทำได้แล้ว
หลิวรุ่ยอิ่งพิจารณาตัวเอง ตอนนี้เขาสามารถถือกระบี่แหลมคมฆ่าคนตายตรงหน้าได้โดยไม่สะทกสะท้าน แต่ยังไม่อาจนิ่งเฉยไม่หันมองสิ่งผิดปกติที่อยู่ในจุดบอดข้างหลังได้
“ข้ารู้ ดาบดีแพงทุกเล่ม!”
ผู้ติดตามกล่าว
“ไม่ใช่แค่ดาบดีแพง! เนื้อดีก็แพง สุราดีก็แพง แต่ห้องดีห้องหนึ่งแพงที่สุด!”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“ทำไมหรือ”
ผู้ติตตามกล่าว
“เพราะในห้องดีต้องมีเตียงดี”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“แน่นอนอยู่แล้ว ห้องที่ไม่มีเตียงไม่อาจเรียกว่าห้อง และห้องที่ไม่มีเตียงดีก็ไม่อาจนับเป็นห้องดี”
ผู้ติดตามพยักหน้ากล่าว
เถ้าแก่เนี้ยเห็นเขามาถูกทางแล้ว ตอนนี้จึงไม่ร้อนใจอีก
นางปาดมือเก็บดาบซ่อนคมอีกครั้ง
“แต่เตียงดีหลังเดียวยังไม่พอหรอก”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
บนหน้าเผยความเจ้าเล่ห์เล็กน้อย
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นแล้วแอบเหงื่อท่วมมือ…
ทุกครั้งที่เถ้าแก่เนี้ยมีสีหน้าเช่นนี้ เขาก็รู้ว่าคนตรงหน้ากลายเป็นตัวกอบโกยเงินที่นางเลือกแล้ว
เหมือนแกะอ้วนรอโดนเชือดตัวหนึ่ง อีกเดี๋ยวก็ได้กินอย่างเอร็ดอร่อย
นึกถึงตอนพวกหลิวรุ่ยอิ่งเพิ่งเข้ามาในโถงใหญ่นี้ครั้งแรก เถ้าแก่เนี้ยก็แทบให้พวกเขาจ่ายเงินทุกครั้งที่หายใจและหัวใจเต้นแล้ว…
แต่ครั้งนี้หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้เหงื่อท่วมมือแทนผู้ติดตามคนนี้
กลับจะเป็นเถ้าแก่เนี้ย
“เจ้าบอกว่าเตียงดียังไม่พออีกหรือ”
ผู้ติดตามเอ่ยถาม
“ไม่พอ ยังห่างไกลนัก!”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าวป้องปากหัวเราะเบาๆ
“โปรดแถลงไข!”
ผู้ติดตามกล่าว
“ดูเข้าสิ เจ้าพูดจายังกล่าวคำสวยหรูสุภาพ…เหมืองแร่ห่างไกลนี้ยังต้องการขนบและข้อบังคับในเมือง!”
เถ้าแก่เนี้ยตั้งใจเปลี่ยนประเด็น
“แต่ไม่ว่าแห่งหนใดล้วนเป็นแผ่นดินที่กล่อมเกลาโดยโอรสสวรรค์ ในข้อบังคับคงไม่มีข้อใดให้ชักดาบตอนไม่พอใจกระมัง!”
ผู้ติดตามกล่าว
“แหม! ข้าก็แค่ล้อเล่น…ทำไมคิดมากเป็นจริงเป็นจังเสียแล้ว”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
นางยื่นมือจะตบหัวไหล่ผู้ติดตามเบาๆ แต่เขาเบี่ยงหลบอย่างคล่องแคล่ว
“ดาบดีไม่ใช่แค่แพง ยังฆ่าคนได้เร็วมาก และคนที่ถูกฆ่ายังไม่มีความเจ็บปวดอันใด”
ผู้ติดตามกล่าว
“ฆ่าคนเร็วหรือไม่ยังไม่รู้จริง…แต่เทียบกับชนบทแห่งนี้ก็แพงมากทีเดียว”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
พูดจบยังลูบแขนข้างที่ตนพกดาบซ่อนคมด้วยความทะนุถนอม
“ห้องดีต้องมีสิ่งใดอีก”
ผู้ติดตามเหมือนเบื่อพฤติกรรมพูดวกไปวนมาของเถ้าแก่เนี้ยจึงเอ่ยถามโดยไม่อ้อมค้อม
เขาเอ่ยถาม
“แน่นอนว่าต้องมีห้องอาบน้ำ! วิ่งวุ่นมาทั้งวัน พายุทรายในเหมืองแร่แรงขนาดนี้ ไม่แช่น้ำร้อนอาบให้เต็มที่ผ่อนคลายกระดูกกล้ามเนื้อจะนอนหลับได้อย่างไร”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“พูดมีเหตุผล! ห้องของเจ้ามีสิ่งที่ว่ามาหรือไม่”
ผู้ติดตามเอ่ยถาม
“ห้องธรรมดาไม่มีอยู่แล้ว แต่ห้องดีมีแน่นอน! แต่ในเมื่อเป็นห้องดีย่อมมีไม่เยอะ มีแค่ห้องเดียว!”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าวพลางชูนิ้วชี้มือขวา
“ห้องที่สองนับจากฝั่งตะวันออก!”
ประโยคนี้ตะโกนใส่ชั้นบน
ชัดว่าพูดให้คนที่ขึ้นไปก่อนนั้นได้ยิน
ขอเพียงคนที่อยู่ข้างบนเข้าห้องไปก่อน อีกเดี๋ยวต่อให้ตนโก่งราคาสูงเทียมฟ้าผู้ติดตามคนนี้ก็ต้องยอมจ่ายเงินแต่โดยดี
เดิมนี่ก็ไม่ใช่สถานที่ที่คุยกันด้วยเหตุผลหรือต่อราคาได้อยู่แล้ว
“ห้องเดียวก็ห้องเดียว พวกเราเอา! ราคาเท่าไร”
ผู้ติดตามเอ่ยถาม
นิ้วชี้ที่เถ้าแก่เนี้ยยื่นออกมาก่อนหน้านี้ยังตั้งอยู่กลางอากาศ
ถัดจากเสียงพูด สี่นิ้วที่เหลือก็ค่อยๆ กางออกมา
ฝ่ามือหนึ่งวางตรงหน้าผู้ติดตามกะทันหัน
“ห้าตำลึง?”
ผู้ติดตามเอ่ยถาม
เถ้าแก่เนี้ยส่ายหน้า
เดิมนางนึกว่าผู้ติดตามจะเดาต่อ
ตอนเขาบอกห้าสิบตำลึง เถ้าแก่เนี้ยจะส่ายหน้า
ต่อให้บอกห้าร้อยตำลึงก็ยังไม่ตกลง
เพราะฝ่ามือของนางหมายถึงห้าพันตำลึง
แม้นางรู้ว่าในใต้หล้าคงไม่มีใครใช้เงินห้าพันตำลึงมาพักในสถานที่พุพังเช่นนี้
แต่เถ้าแก่เนี้ยต้องพูด
ต่อให้อีกเดี๋ยวเขากดราคาเป็นห้าร้อยตำลึง ห้าสิบตำลึงหรือห้าตำลึงนางก็ต้องอ้าปากพูดห้าพันตำลึงก่อน
คนทั่วไปอาจไม่เข้าใจความหมายแฝงในนั้นโดยสิ้นเชิง
แม้ราคาสูงเทียมฟ้ามีคำว่า ‘สูงเทียมฟ้า’ แต่ก็ต้องมีมาตรฐานขั้นต่ำ
เหมือนที่เจ้าไม่มีวันขายเส้นมันดินจานหนึ่งในราคาหูฉลามถ้วยหนึ่งได้
แน่นอนว่าเจ้าทำเช่นนี้ได้ ผลสุดท้ายถ้าไม่ถูกด่าก็ถูกต่อยตี
ดีไม่ดียังต้องถูกคนจับตัวส่งเจ้าหน้าที่ข้อหาฉวยโอกาสโก่งราคาสินค้า
เถ้าแก่เนี้ยเป็นคนฉลาดที่เข้าใจทุกอย่าง
นางเข้าใจหลักการและฉลาดรู้ผลของการกระทำเช่นนี้
แต่เหตุผลที่ทำให้นางลงมือโดยไม่ขลาดกลัวก็คือนางต้องการสร้างบารมี
แต่อยู่ที่นี่เถ้าแก่เนี้ยก็คือกฎที่ว่าคำไหนคำนั้น
ไม่มีใครขึ้นไปชั้นบนเองได้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนาง
เหมือนที่ไม่มีใครกล้าตักสุราจากไหสุราใบใหญ่ด้านนอกให้ตัวเองเกินครึ่งกระบวย
เถ้าแก่เนี้ยไม่เพียงอยากทำให้เหล่าคนงานเหมืองหวาดกลัวนางโดยธรรมชาติ ยังอยากทำให้ทุกคนที่เหยียบเข้าประตูแห่งนี้มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน
เพื่อการนี้ นางสามารถโหดร้ายและทำตามใจตน
ใช้ทุกวิถีทางเท่าที่ทำได้
บอกห้าพันตำลึงเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าที่แห่งนี้ไม่มีกฎเกณฑ์
กฎเพียงหนึ่งเดียวคือคำที่พูดออกจากปากข้า
ทุกคำล้วนเป็นกฎข้อเล็กๆ เมื่อร้อยรวมเข้าด้วยกันก็กลายเป็นกฎใหญ่หลายข้อ
แต่กล่าวเช่นนี้ก็ย้อนแย้งเล็กน้อย…
อย่างไรหลิวรุ่ยอิ่งก็เคยเห็นเยว่ตี๋ลงมือกับนาง เคยเห็นนางถูกคนบุกสังหาร และเคยเห็นสวีเหล่าซื่อขโมยแท่งเงินบนโต๊ะคิดเงินของนางที่นี่
แต่ละอย่างเป็นเรื่องแหกกฎทั้งนั้น
แต่เถ้าแก่เนี้ยก็ไม่ได้ดูโกรธเท่าไร
เหตุใดวันนี้ต้องทำให้แขกเดินทางไกลสองคนนี้ลำบากใจให้ได้
ทว่าสิ่งที่ทำให้เถ้าแก่เนี้ยร้อนใจคือผู้ติดตามพูดห้าตำลึงเสร็จแล้วกลับไม่พูดต่อ
ไม่มีห้าสิบตำลึง ห้าร้อยตำลึงหรือแม้แต่ห้าพันตำลึงที่เถ้าแก่เนี้ยคิดเองโดยสิ้นเชิง
อีกฝ่ายเพียงกล่าวประโยคหนึ่งเรียบนิ่ง
“เจ้าจดบัญชีของกินของใช้ทั้งหมดของพวกเราไว้ก่อน ตอนไปค่อยจ่ายทีเดียว”
พูดจบหมุนตัวเดินขึ้นบันไดไม่แม้แต่หันกลับมา
บันไดเก่าชำรุดเรียกได้ว่าเดินทีใจหายที
นอกจากเสียง ‘ตึงตึงตึง’ เหมือนกลองรบฟังอยู่ในหูแล้วสะเทือนถึงหัวใจ
กรวดทรายที่ร่วงลงไปตามซอกขั้นบันไดทุกย่างก้าวก็ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม…
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นเถ้าแก่เนี้ยสีหน้าเขียวคล้ำ…
เหมือนใกล้ระเบิดโมโหแล้ว
นางเม้มริมฝีปากแน่น
กรามก็ขบแน่นเช่นกัน
เส้นสีแดงสายหนึ่งไหลออกจากมุมปากนางทันใด
จากนั้นลากผ่านใต้กราม
ค่อยๆ ก่อตัวเป็นเม็ดใหญ่อยู่ตรงขอบและหยดลงอย่างเงียบเชียบ
กระทบรวมกับดินโคลนและเศษฝุ่นบนพื้นจนไม่เหลือแสงวาววาม
เพียงทำให้บนพื้นมีรอยดำเพิ่มก้อนหนึ่งเท่านั้น
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นชัดเจนว่านั่นคือเลือด
ไม่รู้ในใจเถ้าแก่เนี้ยโมโหขนาดไหนถึงได้กัดปากตัวเองแตก
“เขามาได้อย่างไร”
หลิวรุ่ยอิ่งหันไปถามเยว่ตี๋เสียงเบา
“ข้าก็ไม่รู้”
เยว่ตี๋กล่าว
สีหน้าเรียบนิ่ง น้ำเสียงเย็นชา
อย่างไรคนผู้นี้ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่นางไม่อยากเจอที่สุด…
“คนที่ดูภูมิฐานกว่าผู้นั้นเป็นใคร”
หลิวรุ่ยอิ่งถามต่อ
“เจ้าลองทายดูสิ!”
เยว่ตี๋ยิ้มหวานกล่าว กลับมาคึกคักในฉับพลัน
“ข้าเดาไม่ถูกจริงๆ…”
หลิวรุ่ยอิ่งตั้งใจครุ่นคิดแล้วกล่าว
“เดาไม่ถูกก็ช่างเถิด อย่างไรตอนเขาลงมาอีกครั้งเจ้าก็จะรู้แล้ว ถือเสียว่าเก็บความประหลาดใจไว้ก่อนแล้วกัน!”
เยว่ตี๋กล่าว
“แต่ก่อนหน้านี้ท่านยังบอกว่าความประหลาดใจต้องสดใหม่ไม่ใช่หรือ หากฟังจากคนอื่นก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“เป็นเช่นนั้นจริง! ข้าเลยไม่ได้บอกเจ้า แต่ให้เจ้ารอคนผู้นั้นลงมาอีกครั้งแล้วดูให้ชัดกับตา!”
เยว่ตี๋กล่าว
“ท่านเดาได้แล้ว? ใครกัน?!”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถามอย่างเร่งร้อน ไม่ได้สนใจครึ่งประโยคหลังของเยว่ตี๋โดยสิ้นเชิง
จิ้นเผิงที่ด้านข้างพลันตบหัวไหล่หลิวรุ่ยอิ่งและกล่าว
“ข้ายังเก็บความประหลาดใจไว้อย่างหนึ่ง เจ้า เก็บไว้อย่างหนึ่งด้วยไม่ดีหรือ เราต่างมีความประหลาดใจให้อยากไปค้นหา อย่างน้อยตอนรอก็ไม่น่าเบื่อขนาดนั้น!”
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นด้วยกับคำพูดนี้ ใจรอคอยให้คนผู้นั้นลงมาโดยเร็ว…
อย่าปล่อยให้ตนหมดความใคร่รู้ในตัวเขาทั้งที่ยังไม่ลงมาแม้เพียงครึ่งก้าว
อีกด้านหนึ่งหลิวรุ่ยอิ่งก็เกิดกังวลขึ้นมา
กลัวว่าคนที่ขึ้นชั้นบนไปก่อนนั้นเป็นแค่หน้ากากเอาไว้หลอกผู้คนเท่านั้น
หากเป็นเช่นนี้จริงไม่ยิ่งผิดหวังจากการเฝ้ารออันยากลำบากของตนหรอกหรือ
คิดไปคิดมาแสงด้านหลังพลันถูกบดบังไปกว่าครึ่ง
ในโถงใหญ่มืดลงกะทันหัน
เดิมหลิวรุ่ยอิ่งนึกว่ามีเมฆกลุ่มหนึ่งลอยผ่านบนฟ้าอย่างหาได้ยาก
แต่ ‘เมฆ’ นี้มาแล้วก็ไม่จากไป กลับจะเคลื่อนไหวเสียงดังตึงตัง
หลิวรุ่ยอิ่งหันไปมอง
สิ่งที่ขวางกั้นแสงนั้นไม่ใช่เมฆอะไรทั้งสิ้น แต่เป็นชายอ้วนคนหนึ่ง
ยังเป็นชายอ้วนที่สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง
เขาบดบังแสง หลิวรุ่ยอิ่งเพ่งมองเล็กน้อย
หรี่ตามองอย่างละเอียดครู่หนึ่งถึงเห็นใบหน้าของชายอ้วนชัดเจน
…………………………………………
……….