ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 441 โชคร้ายไร้วาสนา-7
บทที่ 441 โชคร้ายไร้วาสนา-7
……….
หากวันนี้ไม่ได้เจอหน้า หลิวรุ่ยอิ่งคงลืมเขาไปแล้ว
ชายอ้วนผู้นี้คือคนที่ยุยงให้ขอทานขวางทางขอเงินในเขตกระท่อมข้างเหมืองแร่ไม่ใช่หรือ
ตอนหลิวรุ่ยอิ่งกับคนอื่นเข้ามาก็เคยถูกเขากลั่นแกล้ง
ขอทานที่หิวจนผอมติดกระดูกเหมือนฟืนต่อแถวเรียงคนมอบของที่ขอมาได้ให้เขาทั้งหมด สุดท้ายแลกมากับของกินเล็กน้อยที่กินพออิ่ม
ฉากนี้ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งจำฝังใจ…
แม้ตอนนั้นขอทานอ้วนไม่ได้แต่งตัวเรียบร้อย แต่อย่างน้อยก็นับว่าพอดูได้
ไม่ได้น่าเวทนาเช่นนี้
เกิดอะไรขึ้นกันแน่
ขอทานอ้วนเดินเข้าโถงใหญ่แล้วหย่อนก้นนั่งบนโต๊ะ
เขาอ้วนเกินไปจริงๆ…
เขานั่งเก้าอี้ยาวในโถงใหญ่ไม่ได้ และมันก็แบกรับร่างกายที่หนักอึ้งของเขาไม่ไหวโดยสิ้นเชิง
เลยได้แต่นั่งบนโต๊ะที่ใหญ่กว่า
‘เอี๊ยด…’
ขาโต๊ะสี่ข้างส่งเสียงครวญครางอย่างสิ้นหวัง…
ที่โชคดีคือสุดท้ายมันยังต้านไว้ได้
หน้าโต๊ะจมเว้าลงประมาณหนึ่งชุ่นแล้วหยัดตรงในที่สุด
ดูออกว่าขอทานอ้วนนั่งบนโต๊ะใจก็สั่นระรัวเหมือนกัน…
ไม่งั้นเขาคงไม่นั่งอย่างระมัดระวังเช่นนี้
ก่อนอื่นยื่นสองมือพยายามรักษาสมดุลของร่างกาย
ค่อยเป็นค่อยไปเช่นนี้ สุดท้ายก็ทำให้ตนนั่งลงอย่างมั่นคงปลอดภัย
“ทำไมอยู่ในสภาพนี้”
เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยถาม
หลิวรุ่ยอิ่งจำได้ว่าเหมือนขอทานอ้วนผู้นี้เป็นน้องชายของเถ้าแก่อ้วนด้วย
ที่จริงยังต้องเรียกเถ้าแก่เนี้ยว่าพี่สะใภ้
เถ้าแก่เนี้ยไม่ถามยังพอว่า พอถามแล้วดันจี้จุดจนขอทานอ้วนร้องไห้โฮ!
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นเพียงภูเขาก้อนเนื้อกำลังสั่นอย่างรุนแรง…
เสียงร้องไห้ดังเข้าหูเหมือนฟ้าร้องเป็นระยะ
เขาไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้จะมีโชคเห็นฉากเช่นนี้กับตา…
ตอนคนอ้วนร้องไห้งอแงเหมือนเด็ก ระดับชวนคลื่นเหียนของฉากนี้ไม่เป็นรองกับที่เห็นหญิงชราทำท่าหว่านเสน่ห์…
ตอนหลิวรุ่ยอิ่งใกล้จะดูต่อไปไม่ไหว โต๊ะใต้ก้นขอทานอ้วนพังลงดังครืน
ขอทานอ้วนล้มก้นจ้ำเบ้า
ก่อนอื่นสีหน้าตกตะลึง หยุดร้องไห้และลืมความกล้ำกลืน
จากนั้นร้องไห้เหมือนพายุฝนกระหน่ำ ปล่อยออกมาเต็มที่ยิ่งกว่าก่อนหน้านี้…
“โต๊ะสามร้อยตำลึง!”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าวเฉยชา
กฎของนางไม่ละเว้นให้ใครและไม่เปลี่ยนให้ใครทั้งสิ้น
ขอทานอ้วนร้องไห้พลางส่ายหน้า ปากกล่าวพึมพำ
แต่กระทั่งเถ้าแก่เนี้ยที่อยู่ใกล้เขาที่สุดยังฟังไม่ออกสักคำเดียว…
แม้เถ้าแก่เนี้ยบอกว่าสามร้อยตำลึง แต่สภาพตกอับเช่นขอทานอ้วนเกรงว่ายี่สิบอีแปะก็ไม่มีให้ควัก…
ขอทานอ้วนสงบอารมณ์แล้วในที่สุด
พูดก็ชัดขึ้นเช่นกัน
“สองคน?”
เถ้าแก่เนี้ยเกิดสงสัย
เพราะวันนี้ร้านนางก็มีคนมาสองคนเหมือนกัน
สองคนที่ขอทานอ้วนบอกเป็นคนเดียวกับสองคนที่มาในร้านของตนหรือไม่
“สองคนนั้นทำไม”
เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยถาม
“สองคนนั้นมาแล้วข้าทำเหมือนเดิมทุกอย่าง”
ขอทานอ้วนกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ความหมายของการ ‘ทำเหมือนเดิม’ ที่เขาว่า แน่นอนว่าส่งพวกขอทานทั้งหลายไปขวางทางขอเงิน
เถ้าแก่เนี้ยพยักหน้าสื่อให้เขาพูดต่อ
“ต่อมาไม่รู้สองคนนั้นพูดอะไรให้ไอ้เด็กเปรตกลุ่มนั้นฟัง…พูดไม่กี่คำก็โกรธเป็นฟืนไฟพุ่งมาหาข้า! ปล้นข้าจนหมดตัวไม่พอ แม้แต่เสื้อผ้าก็แย่งจากข้าไป…”
ขอทานอ้วนกล่าว
พูดจบแล้วสะอื้นเล็กน้อย
“ทำไมเจ้าไม่ลงมือ”
เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยถาม
“ข้าก็ไม่รู้ว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น…ถึงตอนข้าได้สติเตรียมลงมือ คนข้างหน้าในสองคนนั้นก็จ้องข้าเขม็ง ข้าเหมือนถูกมัดมือเท้าไว้ทันที ขยับไม่ได้…ได้แต่เบิ่งตามองพวกเขาแย่งเอาของข้าไปหมด กระทั่งส่งเสียงร้องยังทำไม่ได้”
ขอทานอ้วนกล่าว
เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยถาม
ขอทานอ้วนก้มหน้าไม่พูดจา
เขาก็ไม่มีอะไรจะอธิบาย
มาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ว่าพูดอะไรก็เป็นแค่การแถเท่านั้น…
“สองคนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร”
เถ้าแก่เนี้ยครุ่นคิดอยู่นาน เอ่ยปากถามอีกครั้ง
ขอทานอ้วนบรรยายให้นางฟังคร่าวๆ เถ้าแก่เนี้ยฟังแล้วตกใจ
นี่เหมือนสองคนที่มากินดื่มเต็มคราบและแหกกฎในร้านตนไม่ผิดเพี้ยน!
นางอดคิดไม่ได้ว่าคนผู้นี้เป็นใครมาจากไหน
ถึงขั้นยุ่มย่ามได้กว้างขวางกว่าฟ้าดิน
สถานที่นกไม่ปลดทุกข์อย่างเหมืองแร่ก็ยังมาวางอำนาจบาตรใหญ่ ว่างกันเสียจริง!
แต่เถ้าแก่เนี้ยกลับสงบอารมณ์อย่างรวดเร็ว
อย่างไรนางก็เคยเป็นคุณหนูใหญ่แห่งจวนชิง
วิสัยทัศน์ ความรู้และจิตใจล้วนไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปเทียบเคียงได้
ปกติคนทำเช่นนี้ถ้าไม่ใช่คนโง่ก็เป็นเพราะไม่เกรงกลัวสิ่งใด
และมองอย่างไรสองคนที่มาในร้านตนก็ไม่ใช่คนโง่
แม้พูดจาจองหองอวดดีไปบ้าง แต่ทุกประโยคสอดคล้องกับเหตุและผล
ทำให้ตนติเตียนไม่ได้โดยสิ้นเชิง
แม้ภายหลังคนผู้นั้นแหกกฎของตนเดินตรงดิ่งขึ้นชั้นบน
แต่ผู้ติดตามกลับทำให้ตนไร้คำตอบโต้
เถ้าแก่เนี้ยรู้สึกตอนเผชิญหน้าสองคนนั้นเหมือนถูกมัดสองมือ…
เหมือนถูกจูงจมูกล่องหนอยู่
หากขอทานอ้วนไม่ได้เล่าสิ่งที่พบเจอให้ตนฟัง เถ้าแก่เนี้ยคงไม่ย้อนกลับไปขบคิดอย่างถ้วนถี่จริงๆ
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในทุกเรื่องก็คือการคิดย้อน
เรื่องเล็กๆ มากมายที่ไม่ได้สนใจตอนเกิดขึ้น เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดก็ทำให้คนนึกกลัวหาใดเปรียบ พรั่นใจจนเหงื่อท่วมกาย…
“เจ้าไปข้างหลังก่อนเถอะ จัดการตัวเองเสียหน่อย! สภาพแย่เช่นนี้จะพบคนอย่างไร?!”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าวกับขอทานอ้วน
เขาพยักหน้า ลุกขึ้นจากพื้นอย่างยากลำบาก
แต่ด้วยรูปร่างของเขา หย่อนก้นนั่งบนพื้นไม่ยาก ทว่าคิดจะยืนขึ้นเองก็ไม่ง่ายปานนั้น…
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นร่างอ้วนอุ้ยอ้ายของเขากลิ้งไปด้านข้างเป็นอย่างแรก
มือขวายันพื้นมั่นคงแล้วงอสองเข่าหันกายไปอีกด้านก่อน
สุดท้ายค่อยๆ ยืนขึ้นมาในท่าคุกเข่า
ใบหน้าน้ำตาคลุกฝุ่นพายุทราย ดูเศร้าสร้อยกว่าคนงานเหมืองเหล่านั้นเสียอีก
ยืนขึ้นแล้วเขาเหลือบมองทางหลิวรุ่ยอิ่งแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด
เดินสาวเท้าไปประตูหลัง
คล้ายไม่อยากให้คนนอกเห็นสภาพเขาเช่นนี้
“เฮ้อ…”
เถ้าแก่เนี้ยถอนหายใจยาวเหยียด
จากนั้นเก็บกวาดทำความสะอาดเศษไม้จากโต๊ะที่หักเป็นชิ้นๆ บนพื้น
เวลาไม่ถึงหนึ่งวัน โต๊ะในโถงใหญ่นี้ลดลงสองตัวแล้ว…
แต่มองแล้วมีพื้นที่สองส่วนว่างโล่ง อย่างไรก็ผิดไปจากเดิมเล็กน้อย
ไม่เพียงเถ้าแก่เนี้ย กระทั่งหลิวรุ่ยอิ่งมองแล้วก็รู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย…
สิ่งที่มองจนเคยชินย่อมแบ่งแยกคุณค่าไม่ออก
อยู่ตรงนั้นเสมอ บางทีอาจมองข้ามไม่ใสใจ
หากวันหนึ่งหายไปกะทันหัน กลับจะคิดถึงเป็นพิเศษ
ทุกเรื่องล้วนไม่ทันกาล
รู้และเข้าใจทีหลังจึงจะเป็นนิสัยและสัญชาตญาณของมนุษย์
เถ้าแก่เนี้ยเก็บกวาดโถงใหญ่เสร็จแล้วย้ายเก้าอี้ตัวยาวมาวางตรงทางเข้าและนั่งลง
แม้ตอนนี้พายุทรายไม่แรงมาก แต่ยังคงพัดผ่านไม่หยุด
และนางก็นั่งตรงประตูโดยไม่มีอะไรบดบังเช่นนี้ ปล่อยให้ลมหอบเม็ดทรายก้อนกรวดปะทะใบหน้านาง
ตากลมเช่นนี้ต่อไปจะแก่เร็วนัก
โดยเฉพาะสตรี
แต่ตอนนี้เถ้าแก่เนี้ยไม่สนใจโดยสิ้นเชิง
ปล่อยให้เม็ดทรายก้อนกรวดเหล่านั้นปะทะใบหน้าและติดอยู่ในเส้นผมของนางเหมือนสายฝน
เวลาไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา ที่ไกลออกไปปรากฏเงาคนเป็นแถบ
เสียงพูดคุยคึกคักก็เข้าใกล้ขึ้นทุกที
ดูท่าแล้วเป็นได้แค่คนงานเหมืองกลุ่มนั้น
แต่ดวงอาทิตย์ยามนี้ยังห่างไกลจากเวลาเลิกงาน
ทำไมวันนี้มาเร็วนัก
พวกเขาไม่อยากทำงานหาเงินดื่มสุราแล้วหรือ
เถ้าแก่เนี้ยสงสัยไม่น้อย
ลุกขึ้นมองไปไกลๆ อย่างอดไม่ได้
แต่ความจริงเป็นเช่นนี้
คนเหล่านั้นคือคนงานในเหมืองแร่
และใบหน้าของทุกคนต่างเปี่ยมล้นด้วยความสุขใจ
ไม่รู้เจอเรื่องดีอะไรมาถึงทำให้พวกเขามีความสุขเช่นนี้
ฉากเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นนานมากแล้ว
เหมืองแร่เป็นสถานที่ที่ไม่มีความเบิกบาน
คนงานเหล่านี้ดื่มสุราเสร็จก็จะคุยเล่นสนุกสนาน หยอกเย้ากันให้ยิ้มได้เล็กน้อย
แต่ยิ้มตลอดเวลา ผ่อนคลายและมีความสุขจากข้างในเช่นนี้ เถ้าแก่เนี้ยไม่เคยเห็นมาก่อน
“วันนี้มีเรื่องดีอะไรหรือ”
เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยถาม
แม้เป็นคำถาม แต่น้ำเสียงกลับเรียบนิ่ง
“เถ้าแก่เนี้ย เพราะบารมีของท่าน! วันนี้พวกเราเลยได้เจอเทพเจ้าโชคลาภ!”
คนงานที่เป็นผู้นำกล่าว
คนนี้หลิวรุ่ยอิ่งก็เคยเจอ แต่ไม่รู้ชื่อแซ่
แค่รู้สึกคุ้นหน้าเท่านั้น
“เพราะบารมีข้า? ข้ามีบารมีที่ไหนกัน…”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว แต่จนใจเล็กน้อย
แต่หลังจากนั้นสายตาของนางก็ถูกของในมือคนงานผู้นี้ดึงดูดจนถอนออกไม่ได้!
“นี่…มาจากไหน?!”
เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยถาม
ตกใจจนพูดตะกุกตะกักเล็กน้อย…
เพราะบนมือคนงานนั้นไม่ได้ถือสิ่งอื่นใด แต่เป็นทองคำเหลืองอร่ามแท่งหนึ่ง!
เถ้าแก่เนี้ยมองคุณสมบัติและเนื้อบริสุทธิ์นั้นแค่แวบเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่ของปลอม
แต่เป็นทองคำแท่งของแท้ราคาดี!
เหล่าคนงานเดินเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ทุกคนล้วนเบิกบานใจ และบนมือทุกคนก็ถือทองคำแท่งแบบเดียวกัน
ชั่วพริบตาทั้งโถงใหญ่ปกคลุมด้วยแสงทองอร่าม
เถ้าแก่เนี้ยตะลึงตาค้าง…
ทองเยอะขนาดนี้มาจากไหน
“ที่เจ้าบอกว่าเทพเจ้าโชคลาภหมายถึงอะไร”
เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยถาม
“ท่านเป็นเถ้าแก่เนี้ย จะไม่รู้ว่าเทพเจ้าโชคลาภคืออะไรเชียวหรือ”
คนหนึ่งกล่าว
ตอนนี้เถ้าแก่เนี้ยเห็นสวีเหล่าซื่อตรงหางแถวของกลุ่มคน
นางเดินตรงเข้าไปคว้าแขนสวีเหล่าซื่อ
สวีเหล่าซื่อสบตานาง ฉวยจังหวะล้วงแท่งเงินที่ขโมยไปตอนนั้นออกจากในอก
เถ้าแก่เนี้ยเห็นมือซ้ายเขาถือแท่งเงินแท่งหนึ่ง มือขวาถือทองคำก้อนหนึ่ง
หากคนมีทองแล้ว ย่อมคืนเงินโดยไม่อาลัยอาวรณ์แม้แต่น้อย
เถ้าแก่เนี้ยมองสองมือของสวีเหล่าซื่อกลับไปกลับมาหลายครั้ง
สุดท้ายปล่อยแขนเสื้อเขา ปล่อยให้เขาทำตามใจอยาก
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นสวีเหล่าซื่อเดินเข้าโถงใหญ่แล้วจะวางแท่งเงินนั้นบนโต๊ะคิดเงิน
“เทพเจ้าโชคลาภนั่นหน้าตาเป็นอย่างไร”
เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยถามโดยหันหลังให้โต๊ะคิดเงิน
สวีเหล่าซื่อเพียงกะพริบตา ไม่เอ่ยคำใด
“คำถามนี้มีราคาเท่าแท่งเงินในมือเจ้า”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าวเสริมประโยคหนึ่ง
คราวนี้สวีเหล่าซื่อบรรยายให้นางฟังอย่างเชื่องช้า
เถ้าแก่เนี้ยฟังแล้วเพียงยิ้มเจื่อนมองขั้นบันไดทะลุไปชั้นสองนั้น…
สองคนนี้เป็นใครมาจากไหนกันแน่
ถึงขั้นมาเหมืองแร่แล้วทำลายกฎเกณฑ์ของที่นี่จนหมดสิ้น
ปล่อยขอทานไม่พอ ยังให้เงินพวกคนงานอีก
สุดท้ายมาครอง ‘ห้องดี’ เพียงหนึ่งเดียวของที่นี่แล้วยังไม่จ่ายเงิน
วันนี้เกิดเรื่องเยอะเกินไปแล้วจริงๆ…
เยอะจนเถ้าแก่เนี้ยเริ่มหายใจไม่ทัน
“ดื่มสุราหรือไม่ ข้าเลี้ยง”
เถ้าแก่เนี้ยเดินมาข้างโต๊ะหลิวรุ่ยอิ่งกับคนอื่นพลางเอ่ยถาม
ตอนนี้สิ่งที่นางต้องการที่สุดคือดื่มสุรา
แต่กลับไม่อยากดื่มเอง
……………………………………………