ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 442 โชคร้ายไร้วาสนา-8
บทที่ 442 โชคร้ายไร้วาสนา-8
……….
“ท่านพูดว่าจะเลี้ยงสุราหลายรอบแล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“แต่ข้าไม่ใช่คนที่พูดแล้วไม่ทำ ทุกครั้งที่บอกว่าเลี้ยง ข้าก็เลี้ยงจริง”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“คนพวกนี้เอาทองมาจากไหน”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“เทพเจ้าโชคลาภให้มา”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“ท่านคิดว่าโลกนี้มีเทพเจ้าโชคลาภจริงหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่วหัวเราะถาม
“ทำไมจะไม่เชื่อล่ะ พูดปากเปล่าไม่มีหลักฐาน แต่พวกเขาถือทองอยู่กับมือ”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“ท่านก็เลยเชื่อ?”
หลิวรุ่ยอิ่งแปลกใจเล็กน้อย
เถ้าแก่เนี้ยไม่ใช่คนที่จะถูกคนอื่นครอบงำความคิด
แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นคนอื่นว่าอย่างไรตนก็ว่าตาม
เรื่องที่ทำโดยไม่ผ่านการตริตรองมักจะเกิดอคติ
แม้โลกนี้มีตัวอย่างการทำเรื่องใหญ่สะเทือนเลือนลั่นเพราะอารมณ์ชั่ววูบมากมาย แต่อย่างไรนั่นก็เป็นส่วนน้อย เป็นกรณีพิเศษ แม้การตามกระแสหลัก คนอื่นพูดอะไรก็ว่าตามอาจทำให้ตนไม่ถูกกีดกัน แต่ขณะเดียวกันก็ถูกกำหนดให้ธรรมดาและตื้นเขิน
หลิวรุ่ยอิ่งก็เคยผ่านช่วงเวลาของการตัดสินใจเลือกแบบนี้
ตอนอยู่กรมสอบสวน เขาพยายามอยากเป็นเหมือนทุกคน
นี่ไม่ใช่การเสียสละเพราะขี้เกียจจัดการปัญหา แค่อยากกลมกลืนเข้ากับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งให้เร็วที่สุดเท่านั้น
แต่เมื่อเขาทำตัวเป็นคนรักสงบเพื่อตัดปัญหาหยุมหยิม กลับพบว่าชีวิตของตนไม่ได้ต่างจากก่อนหน้านี้เท่าไร
คนที่คบค้าไม่ได้ยังคงคบค้าไม่ได้
แม้เซียวจิ่นข่านที่สนิทสนมกับเขาที่สุดจะถูกเขาละเลย แต่ก็ยังเป็นคนที่สนิทกับเขาที่สุดเหมือนเดิม
สหายไม่เพิ่ม คนที่ไม่ชอบเขาก็ไม่ลดลง
แล้วจะทำเช่นนี้เพื่ออะไร
นอกจากฝืนตัวเองและได้รับความทุกข์ความกล้ำกลืนเต็มอกแล้วก็ไม่มีสิ่งอื่นใด
ปกติเจอเรื่องคิดไม่ตกเช่นนี้เขาจะไปคุยกับชายชราเลี้ยงม้า
แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ไป
ไม่ใช่เพราะเรื่องอื่น แต่เป็นเพราะเขารู้สึกพูดเรื่องนี้ออกไปแล้วขายหน้าเล็กน้อย ยากเอ่ยปาก
อย่างไรทิศทางและความคิดของคนยังคงกำหนดด้วยตนเอง
ต่อให้คนอื่นพูดประสบการณ์และคำแนะนำให้เขาฟังเท่าไรก็ไม่มีประโยชน์
ข้าวต้องกินเอง ถนนต้องเดินเอง
รู้หลักการมากเท่าไรก็ไม่สู้ไปเสียค่าโง่เองสักครั้ง
แม้หลิวรุ่ยอิ่งไม่เคยอ่านตำราเยอะขนาดนั้น แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่คนไม่รู้หนังสือ
หลักการในตำราเหล่านั้นเป็นแค่ตัวอักษรจืดชืดบรรทัดแล้วบรรทัดเล่า
ทำอย่างไรถึงจะเปลี่ยนตัวอักษรเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ที่ใช้ได้จริง ต้องใช้เวลาทั้งชีวิตลงมือ
จนถึงวันนี้ สิ่งที่หลิวรุ่ยอิ่งรับรู้ได้มากที่สุดก็คือแม้หลักการในตำราอาจไม่ถูกต้องทั้งหมด แต่ต้องตื้นเขินทั้งหมดเป็นแน่แท้
ไม่ว่าตำราหมวดต่างๆ ที่เต็มไปด้วยคำโบราณสวยหรูหรือตำนานเรื่องเล่ามหัศจรรย์เหล่านั้น พวกมันต่างก็มีข้อวิพากษ์แบบเดียวกัน
นั่นคือดำขาวแบ่งชัด รู้ถูกผิดในพริบตาเดียว
ตั้งแต่ออกจากเมืองหลวง ใจหลิวรุ่ยอิ่งก็ค่อยๆ ปฏิเสธหลักการและเรื่องเล่าในตำราเหล่านั้นทีละเรื่อง
ทุกคนมีด้านเลว ท่วาแต่ไรมาล้วนไม่มีใครเลวร้ายถึงขีดสุด
ทังหมิงผู้ควบคุมรัฐติงบิดาของทังจงซงสมรู้ร่วมคิดกับทหารหมาป่าทุ่งหญ้า เรียกได้ว่าทำผิดมหันต์
แต่เมื่อหลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าเขาทำเพียงเพื่อคุ้มครองครอบครัวเล็กๆ ของตนให้ปลอดภัย อย่างมากก็ได้เพียงบอกว่าเขาเห็นแก่ตัวเล็กน้อยเท่านั้น
สิ่งเดียวที่ต่างคือทังหมิงตำแหน่งสูงอำนาจมาก ราคาของความเห็นแก่ตัวต้องมากกว่าคนทั่วไปแน่นอน
หลิวรุ่ยอิ่งคิดในมุมคนอื่น รู้สึกว่ามนุษย์ล้วนตัวเล็กจ้อย อยู่ต่อหน้าคุณธรรมกับหนทางไม่ชอบ เขาก็จะเลือกเช่นเดียวกับทังหมิง
ในเมื่อทุกคนเหมือนกัน เช่นนั้นยังมีสิทธิ์อะไรไปยืนตัดสินการกระทำของคนอื่นอยู่บนจุดสูง
เรื่องมากมายใช่ว่าเจ้าไม่ได้ทำ
แต่เจ้าไม่มีโอกาสและไม่มีความสามารถ
หากให้โอกาสและความสามารถแบบเดียวกันกับเจ้า แต่ไรมาก็เห็นทำทุกคน
อาจถึงขั้นทำใหญ่กว่าด้วยซ้ำ…
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ใช่ว่าเตรียมตัวล่วงหน้าดีแล้วจะป้องกันได้
และเมื่อถึงตอนนั้น การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมักทำให้คนตั้งรับไม่ทัน
ก็เหมือนเถ้าแก่เนี้ยตรงหน้าผู้นี้
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่านางไม่มีทางเชื่อคำอ้างเทพเจ้าโชคลาภอะไรนั่นแน่นอน…
แต่ตอนคนงานกลุ่มนั้นแห่แหนเข้ามาพร้อมถือทองแท่งหนึ่งในมือกันทุกคน เถ้าแก่เนี้ยก็จำเป็นต้องเชื่อ
“เห็นทองแล้วข้าไม่เพียงเชื่อว่าบนโลกนี้มีเทพเจ้าโชคลาภ ข้ายังเชื่อว่าใต้เทพเจ้าโชคลาภมีกุมารโปรยเงินอยู่จริงด้วย”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“เทพเจ้าโชคลาภกับกุมารโปรยเงินเหมือนเป็นตำนานสองเรื่อง”
จิ้นเผิงพูดแทรก
“ในเมื่อเป็นตำนาน แล้วทำไมต้องจริงจังเช่นนี้”
“ข้าชื่อจิ้นเผิง!”
จิ้นเผิงกล่าวต่อ
แนะนำตัวขึ้นมา
“เจ้าไม่คิดว่าพูดตอนนี้สายไปหน่อย?”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“แนะนำชื่อตัวเองต้องแบ่งช้าเร็วด้วยหรือ เว้นแต่เจ้าไม่อยากรู้ว่าข้าเป็นใคร”
จิ้นเผิงกล่าว
“เจ้าพูดถูกแล้ว ข้าไม่อยากรู้จริงๆ”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“ข้าแค่คิดว่าการบอกชื่อตัวเองกับคนที่จะเลี้ยงสุราข้าเป็นมารยาทพื้นฐาน”
จิ้นเผิงกล่าว
“ข้ายินดีเลี้ยงเอง อยากดื่มหรือไม่ขึ้นอยู่กับเจ้า แต่เจ้าบอกชื่อตัวเอง และข้าก็ได้ยินแล้ว นี่กลับจะเป็นการบังคับให้ข้าจำว่าเจ้าเป็นใคร”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“รู้จักคนเพิ่มคนหนึ่งไม่ดีหรือ”
จิ้นเผิงเอ่ยถาม
“ไม่ดี ไม่ดีเลยสักนิด! โดยเฉพาะคนอย่างพวกเจ้า ไม่รู้จักสักคนสิดี”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“คนอย่างพวกเรา? พวกเราเป็นมิตรไม่พอหรือ”
จิ้นเผิงย้อนถาม
“พวกเจ้าเป็นมิตรอยู่แล้ว แต่เป็นมิตรกับทุกคน ข้าชอบคนที่เป็นมิตรกับข้าเท่านั้น”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“เทียบกับข้าบอกชื่อเจ้า การกระทำของเจ้าจะไม่ฝืนใจคนอื่นกว่าหรอกหรือ”
จิ้นเผิงเอ่ยถาม
“เจ้าก็เลือกไม่เป็นมิตรกับข้าได้ มีส่วนไหนให้ฝืนใจ”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
จิ้นเผิงพยักหน้า
ใช่ว่าหมดคำพูด
เขาแค่รู้สึกไม่มีความจำเป็นต้องพูดต่อไปเท่านั้น
เถ้าแก่เนี้ยเห็นพวกคนงานเหมืองเหล่านั้นวางทองคำไว้บนโต๊ะคิดเงินทั้งหมด ฟุ่มเฟือยสั่งเนื้อกินเป็นครั้งแรก
ในเมื่อมีเงิน เถ้าแก่เนี้ยก็ไม่อาจปฏิเสธพวกเขา
เก็บเงินแล้วได้แต่ไปต้มเนื้อให้พวกเขาโดยดี
“พวกเจ้าคงรู้จักคนงานเหล่านี้หมดแล้วกระมัง”
จิ้นเผิงมองกลุ่มคนคับคั่งในโถงใหญ่พลางเอ่ยถาม
ไม่รู้ถามหลิวรุ่ยอิ่งหรือเยว่ตี๋
“โดยรวมคุ้นหน้า แต่ถ้าบอกว่ารู้จัก ข้ารู้จักแค่คนนั้น!”
หลิวรุ่ยอิ่งชี้สวีเหล่าซื่อที่นั่งอยู่ตรงมุม
เขาไม่ได้สั่งเนื้อและไม่ได้ดื่มสุรา
ยังสั่งเหล้าขาวชามหนึ่งกับอาหารตุ๋นพะโล้จานหนึ่งเหมือนเดิม
เพียงแต่เต้าหู้แห้งที่เขาสั่งคราวนี้เยอะกว่าเมื่อก่อนสองชิ้น
ในมือถือทองคำก้อนนั้นเล่นไม่หยุด
ยามนี้ทองคำย่อมเหมาะกับการดื่มสุรากว่าอาหารตุ๋นพะโล้
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นเขายืดเหยียดกาย เต้าหู้แห้งตรงหน้าเหลือสองชิ้น
ความเคยชินของคนเปลี่ยนยากดังคาด
เมื่อก่อนเขากินเต้าหู้ตากแห้งชิ้นหนึ่งคู่กับสุราได้ชามหนึ่ง
แม้ตอนนี้มีกินมีใช้ ซื้อเต้าหู้แห้งได้สามชิ้น
แต่เขายังกินเต้าหู้แห้งหนึ่งชิ้นกับสุราหนึ่งชามเหมือนเดิม
“เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์”
จิ้นเผิงมองสวีเหล่าซื่อครู่หนึ่งแล้วกล่าว
“เป็นมือกระบี่ด้วย”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“เขาบอกเจ้าหรอ”
จิ้นเผิงเอ่ยถาม
“เปล่า ข้าเห็นเอง”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
จิ้นเผิงเบะปาก ได้ยินมานานแล้วว่ามีเสือซุ่มมังกรซ่อนในคนงานเหมือง
บนโต๊ะยังมีสุรา แต่ไม่มีใครดื่มอีก
เยว่ตี๋กวาดสายตามองใบหน้าของคนงานทุกคนอย่างละเอียด
หลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่รู้ว่านางคิดอะไรอยู่
“ทุกคนล้วนได้ทองคำแท่งสิบตำลึง ในนี้มีทั้งหมดสี่สิบเจ็ดคน”
เยว่ตี๋กล่าว
นางนับจำนวนอยู่นี่เอง
“ทั้งหมดเป็นสี่ร้อยเจ็ดสิบตำลึงทอง ก็ไม่ถือว่าเยอะมาก…”
จิ้นเผิงกล่าว
“แม้สี่ร้อยเจ็ดสิบตำลึงทองไม่ถือว่าเยอะ แต่เจ้าจะมอบให้คนไม่เคยรู้จักกันโดยไม่มีสาเหตุหรือ”
เยว่ตี๋เอ่ยถาม
จิ้นเผิงส่ายหน้า
คนมีเงินแค่ไหนก็คงไม่ทำเช่นนี้
หากมีคนทำเช่นนี้ เขาต้องมีเป้าหมายบางอย่าง
“สองคนเมื่อครู่พวกเจ้ารู้จักใช่หรือไม่”
จิ้นเผิงลดเสียงลงถาม
“ข้ารู้จักแค่คนเดียว”
เยว่ตี๋กล่าว
“คนไหน”
จิ้นเผิงเอ่ยถาม
“กุมารโปรยเงินคนนั้น”
เยว่ตี๋ยิ้มกล่าว
นางรู้สึกฉายานี้น่าสนใจจริงๆ
โดยเฉพาะคำว่า ‘กุมาร’
ผู้ติดตามคนนั้นอายุไม่น้อย ไม่เหมาะกับคำว่ากุมารอย่างยิ่ง
ทำอย่างไรได้หากเจ้านายของเขาเป็นเทพเจ้าโชคลาภ ไม่ว่าอายุมากน้อย เขาก็เป็นได้แค่กุมารโปรยเงิน
จิ้นเผิงเห็นเยว่ตี๋ไม่คิดจะบอกตนว่าคนผู้นั้นเป็นใคร จึงปิดปากไม่ถามอย่างรู้งาน
สายตาของทุกคนในโถงใหญ่พลันจับจ้องมาที่เขา
โดยเฉพาะพวกคนงานเหล่านั้น ยิ่งดวงตาเป็นประกาย
แต่ผู้ติดตามกลับไม่สนใจคนใด เพียงเดินมาข้างกายหลิวรุ่ยอิ่งเงียบๆ ก้มตัวลงพูดข้างหูเขา
“คนข้างบนอยากพบท่าน”
หลิวรุ่ยอิ่งฟังแล้วงงงัน เขาไม่รู้จักคนผู้นั้นด้วยซ้ำ เหตุใดถึงระบุชื่อว่าอยากพบตน
ฉับพลันนั้นไม่รู้ควรทำเช่นไร เลื่อนสายตาไปหาเยว่ตี๋ทันที
เยว่ตี๋เหมือนตั้งใจหลบเลี่ยง ก้มหน้าหยิบกาสุรารินให้ตนเอง จิ้นเผิงและฮหวาหนงคนละจอก
กระทั่งกาสุรานั้นวางลงโต๊ะส่งเสียงใสกังวาน หลิวรุ่ยอิ่งถึงลุกขึ้น
ผู้ติดตามเห็นหลิวรุ่ยอิ่งลุกขึ้นก็เดินขึ้นชั้นบน
ก่อนหน้านี้เถ้าแก่เนี้ยบอกตำแหน่งห้องแล้ว
เป็นห้องที่สองนับจากสุดฝั่งตะวันออกของชั้นบน
หลิวรุ่ยอิ่งตามอยู่ข้างหลังผู้ติดตาม แม้เห็นเขาก้าวฝีเท้าไม่เร็วนัก แต่ก็นำตนอยู่หนึ่งช่วงใหญ่
ขั้นบันไดหลายชั้นนี้เหมือนพื้นราบใต้ฝ่าเท้าเขา
ขึ้นถึงชั้นสองแล้ว ผู้ติดตามเข้าห้องไปก่อน
ไม่คิดจะรอแต่อย่างใด
เมื่อหลิวรุ่ยอิ่งเดินมาข้างหน้าถึงเห็นว่าประตูห้องไม่ได้ปิดสนิท แต่เหลือช่องกว้างเท่าสองนิ้วเอาไว้
หลิวรุ่ยอิ่งเดินถึงตรงนี้แล้วลังเลเล็กน้อย
เขาลังเลว่าตนควรผลักประตูเข้าไปเลยหรือเคาะเบาๆ สามครั้งแล้วรอข้อความตอบรับ
คิดไปคิดมาหลิวรุ่ยอิ่งยังคิดว่าเคาะประตูก่อนเหมาะสมกว่า
แต่ตอนมือเขาเพิ่งยกขึ้น ประตูนั้นกลับเปิดออก
ผู้ติดตามคนนั้นยืนอยู่ข้างประตู
เขายิ้มให้หลิวรุ่ยอิ่งเล็กน้อย
จากนั้นผายมือขวาทำท่าเชื้อเชิญ
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้าเล็กน้อยแล้วก้าวเข้าไปในห้อง
ผู้ติดตามปิดประตูทันที
ลมปิดเปิดประตูนี้พัดผ่านหลังหลิวรุ่ยอิ่ง ทำให้เขารู้สึกเย็นเยือกเล็กน้อย
ทางสั้นๆ ไม่กี่ก้าวจากโถงใหญ่ชั้นล่างถึงห้องนี้ทำให้แผ่นหลังเขาชุ่มเหงื่อ
“เจ้าคือหลิวรุ่ยอิ่ง? นายกองกรมสอบสวนกลาง?”
เสียงคนหนึ่งทอดมาจากข้างใน
หลิวรุ่ยอิ่งมองผู้ติดตามด้วยความลังเลแวบหนึ่ง อีกฝ่ายกลับส่งสายตาให้เขาเดินต่อไป
แม้ ‘ห้องดี’ นี้แบ่งเป็นนอกในสองห้อง
แต่ก็ยังดูคับแคบเล็กน้อย
ด้านในนอกจากเตียงหลังหนึ่ง ยังจัดโต๊ะเก้าอี้ไว้ชุดหนึ่งด้วย
เพียงแต่ไม่เหมือนโต๊ะเก้าอี้ในห้องอื่น ที่นี่เป็นโต๊ะสี่เหลี่ยม
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นคนหนึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะ ในมือถือหนังสือเล่มหนึ่ง
เพียงแต่เขาไม่ได้อ่าน กลับถือหนังสือไว้ในมือเป็นพัดโบกต่อเนื่อง
ในห้องไม่ร้อน
อุณหภูมิพอเหมาะ ไม่จำเป็นต้องพัดให้ได้ความเย็น
แต่คนผู้นี้กลับพัดไม่หยุด ทั้งยังพัดกินพื้นที่มากด้วย
คำว่าไว้บัณฑิตพัด พัดหน้า ผู้ฝึกยุทธ์พัด พัดท้อง
แต่คนที่พัดบนล่างพร้อมกันทั่วกายเช่นคนผู้นี้ หลิวรุ่ยอิ่งไม่เคยเห็นมาก่อน
…………………………………………
……….