ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 443 โชคร้ายไร้วาสนา-9
บทที่ 443 โชคร้ายไร้วาสนา-9
……….
“ท่านรู้จักข้า?”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
อย่างไรก่อนหน้านี้อีกฝ่ายก็เรียกชื่อตนถูกในคราวเดียว
“เคยได้ยินเรื่องเล่ามาบ้าง!”
คนผู้นี้กล่าวด้วยสีหน้าผ่อนคลาย แต่ท่าถือหนังสือพัดในมือนั้นทำให้หลิวรุ่ยอิ่งไม่สบายใจอยู่บ้างจริงๆ
หนำซ้ำเขาไม่ได้นั่งตัวตรงอยู่ตรงนั้น
แต่ก่ายสองเท้าไว้บนโต๊ะ
บนโต๊ะมีหนังสือวางอยู่อีกสองสามเล่ม
เหมือนเป็นผลงานของนักปราชญ์ทั้งสิ้น
แต่เขาไม่สนใจสักนิด วางสองเท้าทับบนหนังสือเช่นนี้
หากเหล่าบัณฑิตคร่ำครึในหอทรงปัญญาเห็นฉากนี้เข้าต้องโมโหจนหน้าดำหน้าแดงเป็นแน่…
“เจ้ากำลังเสียดายหนังสือเหล่านี้?”
เขาชี้ใต้ฝ่าเท้าบนโต๊ะตนพลางเอ่ยถาม
“เปล่า ข้าไม่ใช่บัณฑิตอยู่แล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวหัวเราะเยาะตนเอง
จากผู้ติดตามของคนผู้นี้เขาก็รู้ได้ว่าคนตรงหน้าไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน ตอนพูดหลิวรุ่ยอิ่งจึงระมัดระวังทุกคำพูดอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ดีจริง! ข้าก็ไม่ใช่…เมื่อครู่เห็นเจ้าจ้องมองหนังสือสองเล่มใต้ฝ่าเท้าข้าตลอด นึกว่าเจ้าเป็นบัณฑิตเลยกลัวเสียมารยาท!”
เขากล่าวเหมือนยกภูเขาออกจากอก
คล้ายรู้สึกกังวลเรื่องนี้อยู่จริง
นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายก็เงียบเช่นกัน
ก้มหน้าครุ่นคิด
สองฝ่ายก็เงียบเช่นนี้เป็นเวลาหนึ่งถ้วยชาโดยประมาณ คนผู้นั้นถึงเงยหน้าฉับพลัน
“พวกเจ้ากรมสอบสวนมาที่นี่นานเท่าไรแล้ว”
เขาเอ่ยถาม
“ครึ่งเดือนกว่า”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เดิมเรื่องเหล่านี้ไม่ควรพูดกับคนนอกโดยสิ้นเชิง
แต่ตอนเขาเพิ่งเข้าประตูคนผู้นี้ก็เรียกฐานะนายกองกรมสอบสวนของตนถูกต้องทันที
หากหลิวรุ่ยอิ่งปิดบังต่อกลับจะดูระวังตนเกินไป น่าขันยิ่งนัก
“เจออะไรบ้างหรือไม่”
คนผู้นี้ถามต่อ
พูดจบยังส่งสัญญาณให้ผู้ติดตามย้ายเก้าอี้ตัวหนึ่งมาให้หลิวรุ่ยอิ่งนั่ง
“ท่านถามถึงเรื่องใด”
หลิวรุ่ยอิ่งย้อนถาม
ในคำพูดมีความระมัดระวัง
อีกฝ่ายเหมือนรู้เรื่องตนทะลุปรุโปร่ง เขาก็อยากสืบหาต้นสายปลายเหตุเหมือนกัน
“เบี้ยหวัด”
นึกไม่ถึงคนผู้นี้กลับพูดออกมาอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา
หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินคำว่าเบี้ยหวัดแล้วกลับสบายใจ
อย่างไรเรื่องที่ตนกังวลที่สุดก็เกิดขึ้นแล้ว เช่นนั้นไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรอีก
“ไม่มีความคืบหน้า”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“สหายไม่ต้องระวังตัวขนาดนั้น ข้าแค่คุยเล่นกับเจ้า”
เขารู้สึกได้ว่าหลิวรุ่ยอิ่งมีกำแพงในใจจึงกล่าวเช่นนี้
ยังโบกมือให้ผู้ติดตามของตนหยิบสุราสองกาและจอกสุราสองใบมาด้วย
“ได้ยินว่าเจ้าคอแข็งไม่เบา?”
คนผู้นี้ถามต่อ
หลิวรุ่ยอิ่งได้แต่ยิ้มกระดากตอบรับ
“ข้าดื่มสุราไม่เป็น ปกติล้วนดื่มชา แต่บุรุษพูดคุยกันเหมือนต้องดื่มสุราหน่อยถึงจะปล่อยตัวตามสบาย เจ้าว่าใช่หรือไม่”
คนผู้นี้กล่าว
“หากท่านสนใจ ข้าย่อมเป็นแขกตามเจ้าภาพสะดวก!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ไม่ๆๆ ที่นี่เจ้าเป็นเจ้าภาพ ข้าเป็นแขก”
คนผู้นี้กล่าวโบกมือรัว
หลิวรุ่ยอิ่งขมวดหัวคิ้ว
คนผู้นี้เดี๋ยวว่าอย่างนั้นเดี๋ยวว่าอย่างนี้ ไม่รู้จะพูดอะไรกันแน่
“เจ้ามาเหมืองแร่นี้ก่อนข้าครึ่งเดือนกว่า คนมาก่อนย่อมเป็นเจ้าภาพ คนมาหลังย่อมเป็นแขก!”
เขากล่าว
พร้อมรินสุราให้ตัวเองจอกหนึ่ง แต่ไม่ได้รินให้หลิวรุ่ยอิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นเช่นนี้ก็ได้แต่รินให้ตัวเองเต็มหนึ่งจอก
คนผู้นั้นเห็นจอกของหลิวรุ่ยอิ่งมีสุราแล้วจึงยกจอกขึ้นส่งสัญญาณให้หลิวรุ่ยอิ่งเล็กน้อย จากนั้นจิบหนึ่งคำแค่ผิวๆ
“เจ้ารู้จักคนผู้นี้”
ดื่มสุราแล้วเขาชี้ผู้ติดตามที่ด้านข้างพลางกล่าว
“ซุนเต๋ออวี่ ผู้ถวายงานวังเจิ้นเป่ยอ๋อง วันนั้นมีวาสนาได้พบกันครั้งหนึ่ง”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เขาฟังแล้วพยักหน้า
ผู้ติดตามของเขาคือซุนเต๋ออวี่ ผู้ถวายงานวังอ๋องที่หลิวรุ่ยอิ่งได้พบในวันที่บังเอิญเจอเยว่ตี๋
ตอนเขาเดินเข้าโถงใหญ่หลิวรุ่ยอิ่งกับเยว่ตี๋ก็จำได้แล้ว
แต่เห็นซุนเต๋ออวี่ตั้งใจปิดบังฐานะ หลิวรุ่ยอิ่งกับเยว่ตี๋จึงทำเป็นไม่รู้จัก
ตอนนี้เขาเป็นฝ่ายเผยฐานะเอง
หลิวรุ่ยอิ่งกลับรู้สึกหวั่นกลัวเล็กน้อย…
ซุนเต๋ออวี่เป็นผู้ถวายงานของวังเจิ้นเป่ยอ๋องย่อมต้องอยู่ในวังอ๋อง
ตอนนี้กลับเป็นผู้ติดตามให้คนผู้นี้อย่างเคารพนบนอบ เช่นนั้นฐานะของคนผู้นี้ก็เปิดเผยแล้วไม่ใช่หรือ
“รู้จักก็ดี คุยกับคนคุ้นเคยจึงจะยิ่งผ่อนคลาย”
เขากล่าว
“ไม่ทราบท่านเรียกกระหม่อมมามีรับสั่งอันใดพ่ะย่ะค่ะ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
ในเมื่อเขาเดาฐานะของอีกฝ่ายได้แล้ว เวลาพูดยิ่งระวังมากโข
“ข้าจะกล้าสั่งนายกองกรมสอบสวนกลางได้อย่างไร แค่อยากคุยเล่นกับเจ้าสองสามประโยคเท่านั้น”
คนผู้นี้กล่าวหยอกเย้า
การกระทำเช่นนี้ต่างจากสิ่งที่หลิวรุ่ยอิ่งจินตนาการในหัวโดยสิ้นเชิง…
แม้เขาไม่รู้ว่าด้วยฐานะของอีกฝ่ายควรมีท่าทีเช่นไร แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่เช่นตอนนี้
“ท่านพูดมาได้พ่ะย่ะค่ะ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
ยกจอกสุราตรงหน้าคารวะเขาจอกหนึ่ง
คนผู้นี้ก็ไม่ได้วางท่าที ยกจอกสุราคารวะตอบ
เพียงแต่หลิวรุ่ยอิ่งเงยหน้าดื่มหมด เขากลับจิบคำหนึ่งแค่ผิวๆ เหมือนเดิม
“ข้าอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องเบี้ยหวัดถูกปล้นในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องครั้งนี้ เจ้ารู้กี่มากน้อย”
คนผู้นี้กล่าว
“อย่างไรตามที่ข้ารู้ เจ้าเป็นคนแรกที่เจอเรื่องนี้ และยังเคยประมือกับคนปล้นเหล่านั้น”
เขายกจอกสุราขึ้นอีกครั้ง ดื่มสุราในจอกหมด
“คนเป็นหัวหน้าชื่อจิ้งเหยา เป็นคนของราชสำนักทุ่งหญ้า ทั้งยังเป็นผู้นำหน่วยสามพ่ะย่ะค่ะ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
คนผู้นี้ฟังแล้วพยักหน้า
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นสีหน้าเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ดูท่าคงรู้สถานการณ์เหล่านี้นานแล้ว
เมื่อครู่เอ่ยถามเพื่อยืนยันกับหลิวรุ่ยอิ่งอีกครั้งเท่านั้น
“ตอนประมือเจ้าชนะหรือแพ้”
เขาพลันเปลี่ยนประเด็น ถามเรื่องไม่เกี่ยวกับเบี้ยหวัดถูกปล้นโดยสิ้นเชิง
“ท่านวัดแพ้ชนะด้วยบรรทัดฐานใด หากเป็นตาย กระหม่อมชนะ เขาก็ชนะ หากพูดถึงกระบวนท่าวิทยายุทธ์ เช่นนั้นกระหม่อมกับเขาล้วนแพ้ทั้งคู่พ่ะย่ะค่ะ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“แต่ไรมาแพ้ชนะล้วนแบ่งเป็นตาย”
คนผู้นี้พยักหน้ากล่าว
“รู้หรือไม่ว่าพวกเขาปล้นเบี้ยหวัดนี้ทำไม”
คนผู้นี้เอ่ยถาม
“ที่จริงกระหม่อมกลับคิดว่าผู้นำหน่วยจิ้งเหยาแห่งราชสำนักทุ่งหญ้าเป็นแค่หมากตัวหนึ่งที่ถูกผู้อื่นควบคุมพ่ะย่ะค่ะ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“อ้อ? หมายความว่าอย่างไร”
คนผู้นี้เอ่ยถาม
วางสองเท้าที่ก่ายอยู่บนโต๊ะมาตลอดลง กายเอนไปข้างหน้า รู้สึกสนใจอย่างยิ่ง
“ข้างกายเขามีคนหนึ่งนามว่าเกาเหริน เคยเป็นศิษย์พี่ร่วมอาจารย์ของเพื่อนสนิทข้า เพื่อนสนิทข้าก็คือเซียวจิ่นข่านหนึ่งในห้าสุดยอดนักพรตอินหยางแห่งใต้หล้า”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“เจ้าเป็นเพื่อนสนิทกับเซียวไต้ซือ นึกไม่ถึงจริงๆ…ได้ยินว่าหลายปีนี้เขาพักอยู่ในหอทรงปัญญาตลอด ข้าก็เคยเชิญเขาเป็นแขกอยู่หลายครั้ง แต่กลับถูกปฏิเสธอย่างสุภาพ”
คนผู้นี้กล่าว
“ไม่รู้เกาเหรินผู้นี้คิดทำอะไร แต่เขาเคยบอกกระหม่อมชัดเจนว่าจะเอาเบี้ยหวัดนี้มาซื้อลูกธนูพ่ะย่ะค่ะ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“อาวุธรบที่ราชสำนักทุ่งหญ้าขาดแคลนที่สุดก็คือลูกธนู ซื้อลูกธนูจำนวนมากเช่นนี้ ราชสำนักทุ่งหญ้าคิดเปิดศึกกับอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องข้าหรือไร”
ซุนเต๋ออวี่กล่าว
น้ำเสียงทุ้มมีพลัง
“หากเขาจะซื้อลูกธนูจริง เหตุใดต้องบอกเจ้าด้วย”
คนผู้นี้กล่าว
“กระหม่อมก็ไม่ทราบ แต่เกาเหรินทำอะไรแปลกประหลาดนัก คนอื่นเดาความคิดเขาไม่ออกโดยสิ้นเชิง กลับจะถูกเขาวางแผนไว้แม่นยำทุกก้าว พอไม่ระวังก็ตกหลุมพรางพ่ะย่ะค่ะ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ในเมื่อเขาเป็นศิษย์พี่ของเซียวไต้ซือ เช่นนั้นต้องมีฝีมือแน่นอน…แต่ด้วยฐานะของเขาก็มากเกินพอให้เป็นผู้ถวายงานเหมือนกับซุนเต๋ออวี่ เหตุใดต้องช่วยคนเลวกระทำเรื่องไก่ขันหมาขโมย[1]เช่นนี้ด้วยล่ะ…”
คนผู้นี้กล่าว
หยิบจอกสุราดื่มอีกคำ แต่ลืมว่าสุราในจอกหมดแล้ว
“เรื่องนี้…กระหม่อมก็ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ต่อมา กระหม่อม…”
“ต่อมา เจ้าก็ไปเมืองหยางเหวินพร้อมกับเยว่ตี๋ รายงานเรื่องนี้ถึงกรมสอบสวนกลางในอาคารกรมสอบสวนเมืองหยางเหวินแล้วเจ้าก็พากำลังคนมาเหมืองแร่นี้”
คนผู้นี้แย่งบทกล่าว
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ เรื่องก็เป็นเช่นนี้”
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า
“ขอบใจมาก!”
คนผู้นี้ยืนขึ้นกล่าวพลางประสานมือคารวะหลิวรุ่ยอิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งรีบลุกคารวะตอบ ใจรู้ว่านี่คือการส่งแขก
ถามไถ่อีกสองสามประโยคก็เดินออกจากห้อง
“ท่านอ๋องจะตัดสินใจอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ซุนเต๋ออวี่ได้ยินเสียงหลิวรุ่ยอิ่งลงข้างล่างจึงเอ่ยปากถาม
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาขมวดคิ้ว
หนังสือที่เอามาพัดถูกเขาโยนออกหน้าต่างแล้ว
“หากเกาเหรินเป็นศิษย์พี่ของเซียวไต้ซือจริง กลับเป็นเรื่องจัดการยากโดยแท้…”
ซุนเต๋ออวี่กล่าว
“ตอนนี้เจ้าคิดว่าเขาสองคนยังเกี่ยวข้องกันหรือไม่”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยามองซุนเต๋ออวี่พลางเอ่ยถาม
“เรื่องนี้…กระหม่อมก็ไม่แน่ใจพ่ะย่ะค่ะ!”
ซุนเต๋ออวี่กล่าว
“ไม่เกี่ยวข้องแน่นอน! และต่อให้เกี่ยว เซียวไต้ซือก็ต้องวางตัวนิ่งเฉย! อย่างไรสุดยอดนักพรตอินหยางก็มีบรรทัดฐาน…ไม่มีใครแหกกฎได้โดยง่าย หากเขาสอดมือเข้าเรื่องเบี้ยหวัดจริง เช่นนั้นจุดจบของเซียวไต้ซือจะอนาถนัก…กลับมามองตัวพวกเรา ก็แค่เสียเงินไม่กี่ล้านตำลึงเท่านั้น ทุกระดับอดข้าวมื้อหนึ่งไม่หิวตาย ไม่เกินหนึ่งเดือนเงินนี้ก็ออกมาอีก”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดท่านอ๋องยังต้องลำบากเปลืองแรงมาในเหมืองแร่นี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ซุนเต๋ออวี่ถาม
“เฮ้อ…เพราะได้รับไหว้วานมาน่ะสิ”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาคลึงจุดไท่หยางของตน ถอนหายใจกล่าว
คล้ายการมาเหมืองแร่นี้เป็นเรื่องจนใจแต่แรก
ซุนเต๋ออวี่พลันตกตะลึง
ตอนออกจากวัง ท่านอ๋องไม่ได้บอกเหตุผลที่มาที่นี่
ซุนเต๋ออวี่จึงไม่ได้ถามมาก
แต่เขาก็สงสัยเหลือเกินว่าเหตุใดท่านอ๋องผู้ไม่เคยกังวลเรื่องใดถึงมาใส่ใจเรื่องเบี้ยหวัดนี้
นึกถึงเขาถูกลอบสังหารในวังอ๋องของตนบ่อยครั้ง แต่ยังคงทำตนตามสะดวก ไม่ได้เอาใส่ใจโดยสิ้นเชิง
หรือยังมีเรื่องสำคัญกว่าความปลอดภัยของตัวเองอยู่จริง
“เจ้าคิดว่าหลิวรุ่ยอิ่งผู้นี้เป็นอย่างไร”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเอ่ยถาม
“นับว่าโดดเด่นในคนยุคหลัง ไม่ว่าขั้นฝึกยุทธ์หรือความกล้าหาญพ่ะย่ะค่ะ”
ซุนเต๋ออวี่คิดแล้วกล่าว
“หากมีแค่นี้…เจ้านั่นก็ไม่มีเหตุผลให้ใส่ใจขนาดนี้นะ…”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาพูดกับตัวเอง
เจ้านั่นที่เขาว่าไม่ใช่ใครอื่น เป็นฉิงจงอ๋องหลิวจิ่งเฮ่า
เขาตั้งใจมาเหมืองแร่ครั้งนี้ก็เพราะได้รับไหว้วานจากหลิวจิ่งเฮ่า
ไม่เช่นนั้นท่านอ๋องลอยชายอันดับหนึ่งในใต้หล้าอย่างซ่างกวนซวี่เหยาจะมาเหมืองแร่นี้โดยไม่กลัวลำบากได้อย่างไร
วังอ๋องอันใหญ่โตของตนสบายปานนั้น ยังฟังงิ้วที่ลานด้านหลังได้ตลอดเวลา
แย่แค่ไหนเขาก็ไปตกปลาในบ่อห่านป่าสีชาดได้
อย่างไรก็ไม่ถึงคราวมาเหมืองแร่แห่งนี้
วันนั้นหลิวจิ่งเฮ่าส่งจดหมายมาบอกว่าในกรมสอบสวนมีเด็กคนหนึ่งที่เขาคอยสนับสนุนมาเหมืองแร่ด้วยเรื่องเบี้ยหวัด ให้เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาช่วยดูแลให้ดี
ซ่างกวนซวี่เหยาได้รับจดหมายแล้วครุ่นคิดพักหนึ่ง ไม่รู้ควรจัดการอย่างไร
ช่วยดูแลให้ดีฟังดูง่าย
แต่ทำอย่างไรถึงจะนับว่าดูแล แล้วดูแลอย่างไรถึงจะดี
นี่ทำให้เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาปวดหัวจริงๆ…
เขายอมเหนื่อยกายดีกว่าต้องใช้สมอง
พอเริ่มคิดเขาก็อยากนอน
ก่อนมาเหมืองแร่ด้วยตัวเอง เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาก็เคยคิดส่งผู้ถวายงานไปพาตัวหลิวรุ่ยอิ่งกลับมาวังอ๋องของตนเสียเลย
รอเรื่องนี้ผ่านไปค่อยให้คนส่งเขากลับเมืองหลวง
เช่นนี้ก็ถือว่าบรรลุการไหว้วานของฉิงจงอ๋องหลิวจิ่งเฮ่าแล้ว
แต่นายกองกรมสอบสวนตัวเล็กๆ คนหนึ่งถึงขั้นทำให้ฉิงจงอ๋องหลิวจิ่งเฮ่าให้ความสำคัญขนาดนี้ เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาฉงนสนเท่ห์อย่างอดไม่ได้
ความสงสัยนี้คั่งค้างอยู่เรื่อยๆ ก็กลายเป็นแรงขับเคลื่อนเต็มเปี่ยม
ทำให้เขาต้องมาดูให้ได้ว่าหลิวรุ่ยอิ่งเป็นคนแบบไหน!
“แต่ก็ไม่เหมือนนะ…”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาพูดกับตัวเองอีกครั้ง
“ท่านอ๋องว่าอะไรไม่เหมือนหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ซุนเต๋ออวี่เอ่ยถาม
“เจ้าเคยเจอฉิงจงอ๋องหลิวจิ่งเฮ่าหรือไม่”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเอ่ยถาม
“เคยเจอสองสามครั้งพ่ะย่ะค่ะ”
ซุนเต๋ออวี่กล่าว
“แล้วเจ้าคิดว่าหลิวรุ่ยอิ่งมีหน้าตาส่วนไหนคล้ายกับฉิงจงอ๋องหลิวจิ่งเฮ่าหรือไม่”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเอ่ยถาม
“เอ่อ…สองคนนี้รูปร่างพอกันพ่ะย่ะค่ะ!”
ซุนเต๋ออวี่ครุ่นคิดอย่างหนักแล้วกล่าว
“ไร้สาระ! รูปร่างข้ากับเจ้าพอกัน ข้ากับเจ้าก็หน้าตาเหมือนกันแล้วรึ ในใต้หล้าคนรูปร่างเหมือนกันเยอะแยะไป ตัวสูงเหมือนกันหน้าตาก็เหมือนกันแล้วหรือ มีหลักการเช่นนี้เสียที่ไหน…”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
“หากท่านอ๋องถามหน้าตาอย่างเดียว เช่นนั้นไม่เหมือนเลยสักนิด…อย่างน้อยกระหม่อมก็คิดว่าไม่เหมือนพ่ะย่ะค่ะ!”
ซุนเต๋ออวี่กล่าวหัวเราะแก้เก้อ
“ข้าก็คิดเช่นนั้น…”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาจมสู่ความคิดอีกครั้ง
……………………………………………
[1] ไก่ขันหมาขโมย หมายถึง พฤติกรรมลักเล็กขโมยน้อยหรือการกระทำต่ำช้า
……….