ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 444 โชคร้ายไร้วาสนา-10
บทที่ 444 โชคร้ายไร้วาสนา-10
……….
“หรือว่าคนที่ไหว้วานท่านอ๋องมาเหมืองแร่คือท่านฉิงจงอ๋อง”
ซุนเต๋ออวี่ร้องตกใจ
เขาไม่ได้โง่
เพียงแต่เถรตรงเกินไปและมีไหวพริบไม่พอ
“ชู่…เบาเสียงหน่อย!”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาพูดกับเขาพลางทำมือจุ๊ปาก
“ตอนแรกข้านึกว่าหลิวรุ่ยอิ่งเป็น…หึๆ เจ้าก็รู้ว่าสองคนนั้นสกุลหลิวเหมือนกันด้วย!”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
“หลิวรุ่ยอิ่งเป็นลูกนอกสมรสของท่านฉิงจงอ๋องหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ซุนเต๋ออวี่กล่าว
“เจ้านี่น่าเบื่อจริง! รู้ก็พอแล้ว ไม่ต้องพูดออกมา…น่าเบื่อๆ!”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
พูดจบลุกขึ้นมองทอดไกลตรงหน้าต่าง
“ท่านอ๋องกล่าวเช่นนี้ไม่เหมาะสมแล้ว…ก่อนหน้านี้กระหม่อมบอกว่ารูปร่างคล้ายกัน ท่านเยาะหยันกระหม่อมว่ามีหลักการส่วนสูงเท่ากันแล้วหน้าตาเหมือนกันเสียที่ไหน นี่หลิวรุ่ยอิ่งกับท่านฉิงจงอ๋องแค่นามสกุลเดียวกัน ทำไมท่านอ๋องเกิดความคิดเช่นนั้นเสียได้เล่า”
ซุนเต๋ออวี่ยิ้มกล่าว
“ฮึ…รีบดื่มสุราบนโต๊ะเสีย วางไว้กลิ่นแรงนัก…”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาหันหลังทำเสียงเยาะหยันพลางกล่าวกับซุนเต๋ออวี่
เขาก็รู้ตัวว่าผิดจึงไม่พูดมาก
ไม่เช่นนั้นเป็นต้องโต้เถียงกับซุนเต๋ออวี่เต็มที่แน่นอน
จะว่าไปชีวิตเขาก็ราบเรียบน่าเบื่อเล็กน้อย…
ได้สบโอกาสอันดียิ่งเช่นนี้แต่งเรื่องให้ฉิงจงอ๋องหลิวจิ่งเฮ่าสักหน่อย ไฉนจะไม่ยินดีทำเล่า
แต่ในเมื่อตอนนี้เขามาถึงเหมืองแร่แล้วก็ไม่อาจกลับไปมือเปล่า
ตอนออกจากเมืองอ๋องเขาได้รับข่าวว่ากองกำลังในรัฐหงก็กำลังเร่งเดินทางมาที่นี่ทั้งวันทั้งคืน
คนเยอะคึกคัก
ไม่ว่าที่ไหนเมื่อไรล้วนเป็นเช่นนี้
“เจ้ารู้เรื่องรัฐหงมากแค่ไหน”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเอ่ยถาม
“ผู้ควบคุมรัฐเหวินทิงไป๋หาใช่คนรับมือได้ง่าย…นอกจากนั้น จวนชิงในรัฐหงยังเลื่องชื่อระบือนามในหมู่ผู้ฝึกยุทธ์มือดาบของอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องเราพ่ะย่ะค่ะ!”
ซุนเต๋ออวี่กล่าว
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยารู้เรื่องเหล่านี้ทั้งหมด เพียงแต่คร้านจะพลิกฟื้นความทรงจำจึงให้คนอื่นบอกเขาตรงๆ แทน
“เหวินทิงไป๋ใกล้ชิดกับจวนชิงเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี!”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
ซุนเต๋ออวี่ฟังแล้วยิ้มทันที
ไม่เพียงไม่ตอบ กลับจะถอยออกจากในห้องเงียบๆ
ท่านอ๋องผู้นี้อุตส่าห์สงบอารมณ์มาคิดเรื่องจริงจัง เขาจะไปรบกวนได้อย่างไร
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเคยไปรัฐหงสองครั้ง
ไม่ว่าในแง่ยุทธศาสตร์หรือคลังสินค้าดินแดนรัฐหงล้วนสำคัญที่สุดในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง
โดยเฉพาะความรุ่งเรืองของวิถียุทธ์ยิ่งทำให้เขาพึ่งพาได้
แต่ถ้าเหวินทิงไป๋ผู้ควบคุมรัฐหงแอบคบค้ากับจวนชิงเป็นการส่วนตัว กลับจะทำให้รัฐหงนี้กลายเป็นแผ่นเหล็กเนื้อเดียวกัน
เมื่อก่อนรัฐหงยังมีตระกูลหลี่คอยถ่วงดุลกับจวนชิง ภายหลังตระกูลหลี่เกิดเหตุร้ายสูญสิ้นไม่เหลือร่องรอยในชั่วข้ามคืน เรื่องนี้เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาก็รู้
แต่ตอนนั้นเขาไม่ได้สนใจ
เพียงเห็นเป็นบุญคุญความแค้นในยุทธภพทั่วไปเท่านั้น
เห็นแก่ตระกูลหลี่เป็นครอบครัวใหญ่ทรงอำนาจฝั่งหนึ่ง จึงสั่งให้ผู้ควบคุมรัฐหงตรวจสอบถึงที่สุด แต่สุดท้ายสิ่งที่ได้รับคือคำตอบกำกวมไม่ชัดเจน ในคำพูดนั้นยังถึงขั้นโยนเรื่องนี้ให้พลังเหนือธรรมชาติ คล้ายว่ามีพลังลี้ลับเป็นต้นเหตุ
ตอนนั้นเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเห็นคำตอบเช่นนี้ก็แค่ยิ้มไม่ยี่หระ หาได้ถามเจาะลึก
อย่างไรตระกูลหลี่เล็กๆ ก็ยังไม่ถึงคราวให้ท่านอ๋องคนหนึ่งต้องมานึกถึง
แต่ตอนนี้ดูเหมือนตนสะเพร่าไปหน่อย…
สำหรับผู้อยู่เบื้องบน การถ่วงดุลสำคัญที่สุดเสมอ
ตระกูลหลี่กับจวนชิงสามารถถ่วงดุลกันเอง เช่นนั้นจวนผู้ควบคุมรัฐหงก็ไม่อาจคบค้ากับทั้งสองฝ่ายอย่างลับๆ ได้
สถานการณ์ตอนนี้ จวนชิงทำสัญญาบางอย่างกับจวนผู้ควบคุมรัฐหงจนกลายเป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้น
จัดการรับมือตอนต้นตอยังไม่ก่อเป็นรูปร่างง่ายกว่ามาก พอไม้กลายเป็นเรือแล้วกลับยากเสียยิ่งกว่ายาก
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาจงใจปิดบังฐานะก็เพราะอยากแอบดูอยู่ในเหมืองแร่ว่าครั้งนี้จวนผู้ควบคุมรัฐหงคิดจะทำอย่างไร
เช่นนี้ก็สามารถเพิ่มข้อมูลและการสนับสนุนให้แผนการของเขาในวันหน้าได้หลายส่วน
ตอนหลิวรุ่ยอิ่งเดินถึงโถงใหญ่ชั้นล่าง พวกคนงานเหล่านั้นยังคงเอะอะต่อเนื่อง
เถ้าแก่เนี้ยนั่งข้างจิ้นเผิงเมื่อไรไม่รู้ กำลังดื่มสุราหยอกล้อกับเขาไม่หยุด
เยว่ตี๋อยู่ข้างๆ ก็ไม่รู้สึกอึดอัด ถามหวาหนงเรื่องอดีตมากมายที่เขาเคยใช้ชีวิตอยู่ในป่าเขา
พูดถึงเรื่องเหล่านี้สองนัยน์ตาของหวาหนงมักมีเปลวไฟลุกโชน
เหมือนมหาสมุทรที่หลิวรุ่ยอิ่งเห็นในดวงตาสวีเหล่าซื่อตอนนั้น นัยน์ตาของหวาหนงก็มีป่าเขากว้างใหญ่ไร้ใดเปรียบ
บางครั้งเขียวชอุ่ม บางครั้งหิมะขาวโพลน
ไม่ว่าเป็นกระต่ายป่าวิ่งกระโดดหรือหมีดำแข็งแกร่ง
พวกมันล้วนมีชีวิตปรากฏขึ้นตรงหน้าจากการบรรยายของหวาหนง
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้รบกวนพวกเขาคนใด เพียงนั่งลงเงียบๆ
“เจอคนนั้นแล้ว?”
เยว่ตี๋เอ่ยถาม
โดยการส่งกระแสเสียง
ตอนนี้โถงใหญ่คนเยอะมีหูตามากมาย
เรื่องปล้นเบี้ยหวัดอยู่ในช่วงจังหวะสำคัญอย่างยิ่ง หากมีคนตั้งใจฟังแล้วประกาศถ้วนทั่วจะก่อเป็นผลลัพธ์เช่นไรไม่มีใครล่วงรู้…
“เจอแล้วขอรับ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“คุยอะไรบ้าง”
เยว่ตี๋เอ่ยถาม
“เขาถามข้าเกี่ยวกับเรื่องเบี้ยหวัด ข้าเล่าให้เขาฟังตั้งแต่ต้นจนจบ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“เขา…”
“ใช่แล้ว เขานั่นละ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เยว่ตี๋พยักหน้า ‘เขา’ ที่ว่าสื่อถึงอะไรไม่จำเป็นต้องบอก เขาสองคนรู้อยู่แก่ใจ
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นสวีเหล่าซื่อยังนั่งดื่มเองรินเองอยู่มุมนั้น
“พาข้าไปดูเหมืองแร่หน่อยได้หรือไม่”
เขาเดินเข้าไปกล่าว
สวีเหล่าซื่อเงยหน้ามองหลิวรุ่ยอิ่งแวบหนึ่ง
“เจ้าจะไปเหมืองแร่ทำไม”
“สนใจ อยากไปดูหน่อย”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เขานึกขึ้นได้ว่าตนมานานขนาดนี้แล้วยังไม่ได้ไปดูเลยว่าเหมืองแร่หน้าตาเป็นอย่างไร
“วันนี้ไม่เหมาะ”
สวีเหล่าซื่อกล่าว
“ทำไมหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถามด้วยไม่เข้าใจ
ก็แค่เหมืองแร่ ถึงไม่มีคนทำงานมันก็คงอยู่เงียบๆ เช่นนั้น
จะแบ่งได้อย่างไรว่าเหมาะหรือไม่เหมาะ
“วันนี้เป็นวันชำระบัญชีของทุกเดือน มีคนมาชั่งน้ำหนักจำนวนแร่ที่ขุดในเดือนนี้ทั้งหมดแล้วลากไป”
สวีเหล่าซื่อกล่าว
“เช่นนั้นเป็นวันเงินเดือนออกของพวกเจ้าด้วย?”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ไม่ใช่…ต้องรอขนส่งสินค้าเงินเดือนถึงจะออก คำนวณบัญชีเสร็จยังต้องรออีกอย่างน้อยห้าหกเจ็ดแปดวัน”
สวีเหล่าซื่อกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งยิ้มเล็กน้อย ส่วนน้ำในคำพูดสวีเหล่าซื่อเยอะเกินไป
ห้าหกเจ็ดแปด ข้ามไปสี่วัน
ที่จริงสวีเหล่าซื่อไม่ได้พูดเท็จ
แร่เงินขนส่งเร็วบ้างช้าบ้าง
ตอนขาดแคลน คนเหล่านั้นแทบอยากจะนอนรอรับข้างเหมืองแร่แล้วขนออกไป
หากราคาตกก็อาจเก็บค้างไว้กว่าครึ่งเดือน
“ลากไปที่ไหน”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“เหมืองแร่นี้เป็นของนายท่านจิน ย่อมมีคนในจวนเขามาลากกลับไปที่เขา”
สวีเหล่าซื่อกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า
เขาเคยไปจวนนายท่านจิน ทั้งยังเคยเห็นเตาหลอมเหล่านั้น
ตอนนี้ไม่มีสงคราม ความต้องการแร่เหล็กไม่ได้รีบร้อนปานนั้น
ส่วนใหญ่ถูกตีเป็นของใช้จำเป็นในชีวิตประจำวันของชาวบ้าน
อย่างไรคนธรรมดาก็ไม่มีปัญญาใช้เครื่องเคลือบ
แม้เครื่องเคลือบสวยงาม แต่ต้นทุนในการหลอมสูงกว่าเครื่องเหล็กมากนัก
ทั้งยังแตกง่ายสึกง่าย
อย่างน้อยจานเหล็กใบหนึ่งใช้ได้เป็นสิบปี แต่ถ้าเป็นเครื่องเคลือบ ครู่ต่อไปอาจหลุดมือตกแตกเป็นชิ้นๆ
“มีเรื่องใดอีก”
สวีเหล่าซื่อเอ่ยถาม
“ทำไมตอนนั้นเจ้าต้องขโมยแท่งเงินของเถ้าแก่เนี้ย”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ข้าอยากได้เงิน!”
สวีเหล่าซื่อกล่าว
พูดอย่างเปิดเผย
“สัตบุรุษล้วนต้องการเงินทอง แต่ต้องได้มาด้วยวิธีถูกต้อง”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวสอนสวีเหล่าซื่อ
อย่างไรหลิวรุ่ยอิ่งก็มองว่าผู้ฝึกกระบี่ที่มีมหาสมุทรทั้งผืนอยู่ในดวงตาไม่ควรขโมยเงิน
“เจ้าดูว่าข้าเหมือนสัตบุรุษหรือไม่ ข้าไม่นับเป็นคนถ่อยด้วยซ้ำ อย่างน้อยคนถ่อยยังเป็นคน แต่ข้าเป็นคนไม่ได้แล้ว”
สวีเหล่าซื่อยิ้มกล่าว
เอ่ยคำพูดนี้ออกมา ถ้าไม่ล้อเล่นก็เยาะหยันตัวเอง
แต่สวีเหล่าซื่อบอกเล่าอย่างเรียบนิ่ง ไม่มีความรู้สึกใดแม้แต่น้อย
ที่พูดถึงก็เหมือนไม่ใช่ตัวเขา แต่เป็นเรื่องของคนอื่น
“แต่วันนี้เจ้าเอาคืนแล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เขายังพยายามช่วยแก้ให้สวีเหล่าซื่อ
“เพราะข้ามีสิ่งนี้!”
สวีเหล่าซื่อแบมือซ้าย กลางฝ่ามือปรากฏแสงทอง
เป็นทองคำแท่งที่ ‘เทพเจ้าโชคลาภ’ แจกในวันนี้
“สำหรับคนอยากได้เงิน เงินยิ่งเยอะยิ่งดีไม่ใช่หรือ มีเหตุผลให้คืนเสียที่ไหน…”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
สวีเหล่าซื่อไม่ได้ตอบอีก
เขาดื่มสุราอึกสุดท้ายในชามหมด และกินเต้าหู้แห้งคำสุดท้ายหมดอย่างเงียบๆ
จากนั้นลุกขึ้นยืน ใช้แขนเสื้อเช็ดปาก พยักหน้าให้หลิวรุ่ยอิ่งเล็กน้อยแล้วเดินออกจากประตู
พวกคนงานเหล่านี้ล้วนรวมเป็นกลุ่มสามถึงห้าคน
เป็นเช่นนี้ตั้งแต่วันแรกที่หลิวรุ่ยอิ่งมาที่นี่จนถึงตอนนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ไม่รู้เมื่อก่อนเขามีเพื่อนหรือไม่ แต่อยู่ที่นี่เขาไม่มีกระทั่งคนพูดคุยหยอกเย้าด้วยได้
คนที่ไม่มีเพื่อน ในใจจะเศร้าเพียงใด
ถึงเขาไม่พูด หลิวรุ่ยอิ่งก็สัมผัสได้
เพื่อนมักให้ความอบอุ่นแก่คนได้เสมอ
หากไม่มีเพื่อน อย่าว่าแต่จะแก้ปัญหาตอนศร้าใจอย่างไร กระทั่งความสุขก็ไม่มีที่ให้แบ่งปัน
ลมหอบหนึ่งพัดผ่านประตูจนหลิวรุ่ยอิ่งหลับตา
ลมผ่านไปแล้วหลิวรุ่ยอิ่งพบว่าในปากตนมีกรวดทรายเล็กน้อย
เขาดื่มน้ำอึกหนึ่งบ้วนปากเตรียมพ่นออกมา
นึกไม่ถึงตอนบ้วนปากกรวดทรายสัมผัสน้ำแล้วมีรสหวานเล็กน้อย
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เคยชอบกินของหวาน แต่พอปากมีรสชาตินี้กลับกระตุ้นให้เขาอยากหาของหวานมากิน
“เถ้าแก่เนี้ย ที่นี่มีของหวานบ้างหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ของหวาน? ฮ่าๆ…เจ้าอยากกินของหวานอะไร”
เถ้าแก่เนี้ยวางจอกสุรากล่าว
“ได้หมดที่มีรสหวาน!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“เมื่อก่อนตอนอารมณ์ดีข้ายังทำขนมก้อนน้ำตาลอยู่บ่อยๆ ผลสุดท้ายมีแต่ข้ากินเองคนเดียว ขายก็ขายไม่ออกเลยไม่ได้ทำแล้ว ถ้าเจ้าอยากกินของหวาน ที่ข้ามีน้ำตาลทรายเม็ดหยาบ แต่กินแล้วบดฟัน…ไม่แน่อาจทำให้ปากเป็นร้อนในด้วย”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
เถ้าแก่เนี้ยชะงักเล็กน้อย เดินไปหยิบถุงหนึ่งบนชั้นวางของหลังโถงใหญ่แล้วโยนให้หลิวรุ่ยอิ่ง
น้ำตาลทรายเม็ดหยาบนี้ใส่อยู่ในถุงผ้าป่าน
ผ้าป่านสีดินเหลืองลูบแล้วเนื้อหยาบนัก ยิ่งไม่ต้องคาดหวังว่าน้ำตาลทรายข้างในจะมีรสสัมผัสดี
แต่ตอนนี้หลิวรุ่ยอิ่งอยากกินของหวาน
เมื่อเกิดความคิดหมกมุ่น ไม่ว่าอย่างไรก็กดความคิดนี้ลงไปไม่ได้
ตรงปากถุงผ้าป่านเย็บด้วยเชือกขาวไว้แน่น
หลิวรุ่ยอิ่งคลำหาอยู่นานถึงเจอตำแหน่งปลายเชือก
เขาใช้เล็บหยิบปลายเชือก ออกแรงดึงและถุงผ้าป่านก็เปิดออก
ด้านในคือน้ำตาลทรายจริง แต่เหลืองเล็กน้อย…
หลิวรุ่ยอิ่งกำออกมาหนึ่งหยิบมือเล็กๆ ดมดูแล้วกลับมีกลิ่นดินฉุน
ไม่รู้ถุงผ้าป่านนี้วางอยู่บนชั้นมานานเท่าไร พายุทรายกับดินฝุ่นเหล่านั้นกัดเซาะถุงผ้าป่านทีละนิดจนซึมถึงด้านในน้ำตาลทราย
นานวันเข้าทำให้น้ำตาลทรายหอมหวานปนเปื้อนกลิ่นดิน
หากสองรสชาติที่ต่างกันสุดขั้วผสมอยู่ด้วยกัน กลับจะเป็นความแปลกไม่เหมือนสิ่งใดในใต้หล้า
น้ำตาลทรายเช่นนี้ใส่หม้อทำอาหารยังพอถูไถ หากกินเข้าปากเปล่าๆ เช่นนี้คงทำให้คนคลื่นเหียนอาเจียนเป็นแน่…
“ถ้ามีเกาลัดคั่วน้ำตาลก็ดีสิ!”
หลิวรุ่ยอิ่งพึมพำกับตัวเอง
พูดประโยคนี้จบเขาเองก็ตกใจ!
‘ไม่รู้นางสองคนออกจากหอทรงปัญญาแล้วไปไหนต่อ…’
หลิวรุ่ยอิ่งคิดในใจ
คนมีความคิดถึงและความห่วงหาก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง
ท้ายที่สุดคนเราไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องความสัมพันธ์ที่ห่างหายไปนาน
เพียงแต่ต้องจดจำความคิดถึงและความห่วงหาไว้ในใจเสมอ
…………………………………………