ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 445 แปรเปลี่ยนกะทันหัน-1
บทที่ 445 แปรเปลี่ยนกะทันหัน-1
……….
“ท่านผู้นั้นมาแล้ว เจ้าเห็นว่าอย่างไร”
เยว่ตี๋ถาม
จิ้นเผิงใช้ปลายนิ้วเคาะขอบจอกสุรา ไม่ตอบสิ่งใดอยู่นาน
“ขึ้นไปคุยข้างบน?”
เยว่ตี๋พยักหน้า
ลุกขึ้นส่งสัญญาณให้หลิวรุ่ยอิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งพาหวาหนงและจิ้นเผิงไปที่ห้องของเยว่ตี๋พร้อมกัน
“พวกเขาอยู่ห้องข้างๆ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยพลางชี้ไปยังห้องที่ติดกัน
“ห้องที่ว่าดีนั้น ที่แท้แล้วดีสักเท่าใด”
จิ้นเผิงถาม
“ใหญ่กว่านี้เล็กน้อย อย่างน้อยยังมีห้องด้านในอีกห้อง”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ห้องอาบน้ำเล่า”
จิ้นเผิงถาม
เขาชมชอบการแช่ตัวอย่างยิ่ง
ฉะนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ห้องอาบน้ำ
“ข้าไม่เห็น ท่านไปลองสอบถามดูดีหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งกระเซ้า
จึงมักมีคำล้อเล่นเล็กๆ น้อยๆ ไม่รุนแรงยามสนทนากัน
“จริงจังกันหน่อยได้หรือไม่”
เยว่ตี๋ตบโต๊ะด้วยความเหลืออดอย่างยิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งเคร่งขรึมขึ้นมาในทันใด
แต่จิ้นเผิงกลับยังอยู่ในท่าทีสนุกสนาน
“ข้าไม่รู้ว่าท่านผู้นั้นคือผู้ใด แล้วท่านจะให้ข้าเคร่งเครียดขึ้นมาได้อย่างไร”
จิ้นเผิงกล่าว
“เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยา คนที่ติดตามเขามาก็คือซุนเต๋ออวี่ ผู้ถวายงานวังเจิ้นเป่ยอ๋อง”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“เจ้านี่…ที่แท้ก็คือซุนเต๋ออวี่! มิน่าเล่าสีหน้าท่านจึงไม่น่าดูอย่างยิ่ง!”
จิ้นเผิงกล่าว
เขารู้ความเป็นมาของเยว่ตี๋ดั่งนิ้วในมือตัวเอง
และรู้เรื่องความบาดหมางระหว่างว่านางกับซุนเต๋ออวี่อย่างชัดเจน
ความจริงเยว่ตี๋ปล่อยวางอย่างสงบได้นานแล้ว และตัดขาดซุนเต๋ออวี่ตั้งแต่กระบี่แหวกท้องนภาเมื่อครั้งก่อน
แต่จุดเปลี่ยนนี้จิ้นเผิงกลับไม่รู้แม้แต่น้อย
เมื่อเห็นว่าเยว่ตี๋ไม่ได้ตอบกลับและเอาแต่กัดฟันแน่น เขาก็รู้ว่าตนเองล้อเล่นได้เพียงเท่านี้
กระแอมเบาๆ สองสามครั้งเพื่อกลบเกลื่อนบรรยากาศกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ ก่อนลงมานั่งที่โต๊ะและหยิบแผนที่แผ่นหนึ่งออกจากอกเสื้อ
แผนที่นี้ไม่ใช่แผนที่ทั่วทั้งอาณาเขตของเจิ้นเป่ยอ๋องที่แขวนอยู่ในที่ทำการเมืองหยางเหวิน แต่เป็นแผนที่ของรัฐหง
บนแผนที่จิ้นเผิงทำสัญลักษณ์สีต่างๆ เป็นเส้นทางการเดินทางของคนและม้าหลายเส้นทางที่ตัดกันไปมา
“สิ่งที่ข้าจะบอกนั้นล้วนอยู่ในแผนที่นี้แล้ว”
จิ้นเผิงกล่าว
เยว่ตี๋และหลิวรุ่ยอิ่งมองแผนที่นี้อย่างละเอียด
ในแผนที่มีหัวเมืองรัฐหงเป็นศูนย์กลาง จิ้นเผิงใช้ชาดสีแดงสดเขียนวงกลมขนาดใหญ่เอาไว้
ข้างหัวเมืองยังมีวงกลมสีชาดอีกวงหนึ่งที่เล็กกว่าเล็กน้อย แต่ยังคงมีส่วนที่เขียนทับกับวงกลมของหัวเมือง
ภายในวงกลมมีตัวอักษรกำกับไว้โดยเฉพาะว่า ‘จวนชิง’
รายละเอียดอื่นๆ นอกจากนี้ เยว่ตี๋และหลิวรุ่ยอิ่งกลับไม่ได้มองอยู่ในสายตา
จุดที่มีสีเข้มที่สุดในภาพก็คือเหมืองแร่ที่พวกเขาอยู่ในเวลานี้
เหมืองแร่มีเส้นเชื่อมต่อกันหลายเส้นและวงกลมซ้อนทับหลายวง
จวนชิง รัฐหง กรมสอบสวน ราชสำนักทุ่งหญ้า วังเจิ้นเป่ยอ๋อง
เวลานี้ฝ่ายอำนาจหลักทั้งห้าได้มาถึงเหมืองแร่แล้ว หรือไม่ก็กำลังอยู่ระหว่างทางที่มุ่งหน้ามาที่นี่
“แค่เอาแผนที่นี่ออกมาก็จะไล่พวกเราไปได้แล้วรึ”
เยว่ตี๋มองเสร็จจึงเอ่ย
แผนที่นี้ดูแล้วลายตาไปหมด แต่ที่แท้ก็ล้วนเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้มานานแล้ว
ก็เพียงเอาเบาะแสทุกอย่างที่อยู่ในหัวมาทำสัญลักษณ์ในแผนที่เพื่อให้มองเห็นได้ชัดเจนขึ้นเท่านั้น
“เช่นนั้นท่านอยากให้ข้าทำสิ่งใด”
จิ้นเผิงถาม
“ข้ากำลังไตร่ตรองเรื่องหนึ่งอยู่”
เยว่ตี๋ลุกขึ้นยืน ก่อนเดินไปตรงหน้าต่าง
เอ่ยพลางจับจ้องไปยังที่แสนไกลผืนเดียวกับที่เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากำลังจ้องมอง
“เรื่องใด”
จิ้นเผิงถาม
“กรมสอบสวนของเราพอแค่นี้ได้หรือไม่”
เยว่ตี๋กล่าว
“พอแค่นี้?!”
จิ้นเผิงกับหลิวรุ่ยอิ่งอุทานออกมาเป็นเสียงเดียว
ไม่ว่าผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าเยว่ตี๋กลับมีความคิดว่าจะลั่นกลองถอยทัพอยู่ในใจ…
ทว่าตามความเข้าใจที่ทั้งคู่มีต่อเยว่ตี๋ย่อมรู้ว่าที่เยว่ตี๋กล่าวเช่นนี้ นางต้องมีเหตุผลของตนเอง
“เรื่องนี้ว่ากันอย่างถ่องแท้แล้ว นับเป็นเรื่องส่วนตัวของแดนเจิ้นเป่ยอ๋อง พวกเราไม่ควรก้าวก่าย”
เยว่ตี๋กล่าว
“แต่หลังจากจิ้งเหยาสังหารหัวหน้าอาคารกรมสอบสวนของเรา ก็เป็นการลากพวกเราเข้าไปข้องเกี่ยวแล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เมื่อว่ากันถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ ก็ไม่มีผู้ใดที่มีสิทธิ์พูดมากกว่าเขาอีกแล้ว
“จิ้งเหยาสังหารหัวหน้าอาคารผู้นั้นก็ใช่ว่าจงใจ แต่เพราะต้องการมีฐานะที่สามารถเดินเหินอย่างอิสระภายในแดนเจิ้นเป่ยอ๋องเท่านั้น ซึ่งนอกจากเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนแล้ว ยังจะมีผู้ใดสามารถทำเช่นนี้ได้อีก ตัวแปรหนึ่งเดียวก็คือบังเอิญได้พบกับเจ้าซึ่งกำลังจะเดินทางไปยังเมืองหลวง แต่สภาพการณ์ในเวลานั้น จิ้งเหยาก็เป็นเช่นศรบนคันธนูที่ไม่ยิงออกไปไม่ได้! ต่อให้ได้พบกับเจิ้นเป่ยอ๋องเอง เขาก็ยังต้องลงมือ”
เยว่ตี๋กล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า
สภาพการณ์ในวันนั้นเป็นจริงดังที่ว่า
หากหลิวรุ่ยอิ่งเดินทางเร็วหรือช้ากว่านั้นสองชั่วยาม และคลาดกับขบวนอารักขาเบี้ยหวัดไปเล็กน้อย แรงกระเพื่อมที่ตามมาในภายหลังต้องน้อยกว่ายามนี้มากนัก
“แต่ท่านอย่าได้ลืม! กรมสอบสวนกลางได้รับคำสั่งจากเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยา เป็นเขาเอ่ยกับปากเองว่าต้องการให้กรมสอบสวนของเราจัดกำลังมาช่วยสนับสนุนการสืบสวน”
หัวหน้าอาคารที่ตายไปนั้นเป็นพวกขี้เมาหยำเป
ตายแล้วก็ตายไป กลับเป็นประโยชน์ไม่มีโทษต่อกรมสอบสวนเสียอีก
แต่หลิวรุ่ยอิ่งที่มาถึงเหมืองแร่เป็นคนแรกกลับพากำลังพลของอาคารกรมสอบสวนเมืองหยางเหวิน ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจิ้นเผิงมาด้วย
ความเสียหายในภายหลัง จึงนับไม่ได้ว่าเป็นพันธะผูกพันระหว่างกรมสอบสวนกับจิ้งเหยาอีกแล้ว
แต่เป็นความแค้นส่วนตัวของจิ้นเผิงกับฝ่ายอำนาจลึกลับในเหมืองแร่
เขาจะไม่ยอมให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของตนต้องมาตายเปล่า
คนมีชีวิตอยู่ก็ปรารถนาแค่ให้ได้อยู่ใจสงบเท่านั้น
หากไม่อาจทำให้เรื่องต่างๆ ในเหมืองแร่เผยออกมาเป็นน้ำลดตอผุด แล้วเขาจะบอกกล่าวกับพี่น้องที่ใต้แม่น้ำเหลืองในยมโลกได้อย่างไร
หากฟังตามคำของเยว่ตี๋ด้วยการจากไปทั้งยังขุ่นเคืองเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจสงบใจได้เป็นแน่
“เมื่อเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยามาด้วยตนเอง พวกเราก็ไม่มีเหตุผลใดต้องอยู่ที่นี่อีกแล้ว”
เยว่ตี๋กลับกล่าวอย่างไม่ลดราวาศอกแต่อย่างใด
คล้ายว่าตัดสินใจอย่างหนักแน่นแล้วว่าจะไป
“ท่านเป็นผู้กำกับการกรมสอบสวนกลาง หลิวรุ่ยอิ่งก็เป็นนายกองของที่นั่น หากพวกท่านคิดจะไป ข้าก็ไม่มีสิทธิ์จะรั้งเอาไว้ เเต่คนของข้าต้องมาตายอยู่ที่เหมืองแร่แห่งนี้ คนที่ตายคือเจ้าหน้าที่อาคารกรมสอบสวนเมืองหยางเหวินของข้า ข้าเป็นหัวหน้าอาคาร หากจากไปทั้งเช่นนี้ แล้วจะบอกกล่าวกับพี่น้องสิบสี่คนที่พามาในครั้งนี้ได้อย่างไร และที่ข้ามาเหมืองแร่นี้จะมีความหมายใด เพื่อมาดื่มสุราและกินเนื้อนั่นรึ”
จิ้นเผิงกล่าว
โต้เถียงประจันหน้ากับเยว่ตี๋ขึ้นมา
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ความรู้สึกที่จิ้นเผิงมีต่อเยว่ตี๋
เขาจึงไม่เคยคิดว่าว่าตนเองจะได้เห็นจิ้นเผิงตบโต๊ะโต้เถียงกับเยว่ตี๋
“แต่…พวกเราก็ได้รับคำสั่งที่ชัดเจนจากกรมสอบสวนกลางว่าให้พวกเราสนับสนุนกำลังสืบสวนเรื่องการชิงเบี้ยหวัดอย่างเต็มที่”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เวลานี้มีเพียงเขาที่สามารถลุกขึ้นมาเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยเรื่องนี้ได้
แม้ว่าหวาหนงก็คิดอยากช่วยไกล่เกลี่ย แต่กลับไร้ซึ่งกำลัง
เพราะเวลานี้เขาแค่นับว่าเป็นศิษย์หลานของหลิวรุ่ยอิ่งเท่านั้น และยังไม่ได้เข้าสังกัดกรมสอบสวน
“เจ้าพวกที่อยู่ในเมืองหลวงนั่นไม่รู้ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นที่นี่ แต่ก็เป็นเช่นที่เจ้าว่า ข้าเป็นผู้กำกับการกรมซึ่งนับเป็นตำแหน่งสูงสุดรองจากผู้บังคับการกรม ฉะนั้นข้าสามารถตัดสินใจเด็ดขาดตามสภาพการณ์ที่เปลี่ยนไปในเวลานี้ได้!”
เยว่ตี๋กล่าว
“นอกจากนี้ ต่อให้กรมสอบสวนกลางมีคำสั่งที่ชัดเจนมาในยามนี้ ผู้กำกับการกรมเช่นข้าก็สามารถยุติคำสั่งได้แต่บัดนี้ไป!”
เยว่ตี๋พูดต่อ
นางพูดประโยคนี้พร้อมกับมองไปยังหลิวรุ่ยอิ่ง
หลังพูดจบเยว่ตี๋ก็เลื่อนมือขวาไปข้างหลังพร้อมหยิบของออกมา
“ปัง!”
ป้ายประจำตำแหน่งผู้กำกับการกรมสืบสวนกลางชิ้นหนึ่งถูกตบลงบนโต๊ะอย่างแรง
“ท่านผู้กำกับการกรมจะใช้ตำแหน่งมาข่มกันรึ”
จิ้นเผิงมองป้ายและเอ่ยทั้งยิ้มเย็น
“ข้าไม่ได้ใช้ตำแหน่งมาข่มเจ้า เพียงบอกเจ้าว่าข้ามีอำนาจนี้ หากข้าตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะยกเลิกคำสั่ง ก็จะไม่มาสอบถามความเห็นของเจ้าต่อเรื่องนี้ก่อน”
เยว่ตี๋กล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งเบ้ปาก…
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ป้ายประจำตำแหน่งผู้กำกับการกรมก็วางอยู่ตรงกลางโต๊ะ หากไม่ใช่การข่มหัวกันแล้วจะยังเป็นอะไรได้อีก
แม้แต่หลิวรุ่ยอิ่งก็ยังรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง
“เหตุผลของข้า ข้าก็บอกไปแล้ว ขอสอบถามท่านผู้กำกับการว่าท่านมีเหตุผลใด”
จิ้นเผิงมีโทสะจนยิ้มกลบเกลื่อน เอ่ยถามเยว่ตี๋อย่างมีไมตรี
มีเพียงตัวเขาเองที่รู้ว่ายามนี้ในอกกำลังมีคลื่นโหมซัดสาดอยู่อย่างไร
เยว่ตี๋ไม่เอ่ยสิ่งใด เพียงหยิบป้ายผู้กำกับการกรมของตนจากบนโต๊ะขึ้นมา ก่อนใช้มุมป้ายเคาะลงบนรอยต่อของจุดสีแดงสองจุดบนแผนที่ ซึ่งก็คือรัฐหงและจวนชิงต้นตอของเรื่องนี้
จิ้นเผิงมองการกระทำของเยว่ตี๋แล้วสูดหายใจลึกหนหนึ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งกลับขมวดคิ้วแน่น ไม่ค่อยเข้าใจนัก
เขารู้ว่าเหตุที่จู่ๆ เยว่ตี๋ก็เปลี่ยนใจ และยังแสดงออกอย่างหนักแน่นเช่นนี้ต้องเพราะนางมีข้อกังวลบางประการ
แต่ลำพังแค่วงกลมสีแดงสองวงจะมองสิ่งใดออกได้
“เขาไม่เข้าใจ หรือว่าเจ้าก็ไม่เข้าใจด้วย”
เยว่ตี๋หันหลังเอ่ยกับทุกคน
หลิวรุ่ยอิ่งกับจิ้นเผิงหันมามองหน้ากัน ล้วนไม่มีใครรู้ว่าเยว่ตี๋กำลังพูดอยู่กับใคร
“เฮ่อโหย่วเจี้ยนผู้ว่าการหัวเมืองรัฐติงตายอย่างไร เหตุใดท้ายที่สุดแล้วทังหมิงผู้ควบคุมรัฐติงจึงต้องลงเอยด้วยการที่ครอบครัวพลัดพราก ตลอดทางที่ผ่านมาเจ้าเห็นว่าติ้งซีอ๋องฮั่ววั่งสังหารคนด้วยใจอำมะหิตเช่นนี้ แต่เหตุใดจึงยังไม่คิดระแวงแม้แต่น้อย”
เยว่ตี๋กล่าว
ตอนนี้หลิวรุ่ยอิ่งจึงเพิ่งรู้ว่าคำพูดเมื่อครู่ เยว่ตี๋พูดกับเขา…
แต่เรื่องนี้ก็ทำให้เขาตระหนักขึ้นมาทันใด!
ครั้งนั้นเพื่อไม่ให้มีจุดจบด้วยการโดนกำจัดทิ้งเมื่อหมดประโยชน์ ทังหมิงผู้ควบคุมรัฐติงจึงร่วมมือกับเฮ่อโหย่วเจี้ยนผู้ว่าการหัวเมืองที่เป็นคนสนิท สมคบกับฝ่ายอำนาจของราชสำนักทุ่งหญ้าจัดฉากสู้รบที่ชายแดน
สุดท้ายกลับลงเอยด้วยการถูกติ้งซีอ๋องฮั่ววั่งจับได้ ทั่วทั้งรัฐติงจึงถูกกวาดล้างจัดระเบียบครั้งใหญ่เป็นประวัติการณ์
แม้ว่าดูไปแล้วทังหมิงจะยังเป็นผู้ควบคุมรัฐและยังคงอยู่ในตำแหน่งไม่ถูกปลด
แต่บุตรชายของเขากลับต้องเดินทางไปเป็นตัวประกันที่วังอ๋อง
กองกำลังคนสนิทที่เคยบ่มเพาะมาก็ถูกสังหารและสับเปลี่ยนไปจนหมด เรียกได้ว่าไม่เหลือแม้แต่น้อย
ซึ่งในเวลานี้ สถานการณ์ปัจจุบันของรัฐหงก็คือฉบับสำเนาของรัฐติงในครั้งนั้น
เหวินทิงไป๋ผู้ควบคุมรัฐหงมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจวนชิงถึงเพียงนี้ เกรงว่าเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาจะต้องเดาออกนานแล้ว
เวลานี้ เบี้ยหวัดของทัพชายแดนก็ยังถูกผู้นำหน่วยคนหนึ่งของราชสำนักทุ่งหญ้าปล้นที่ชายแดนของรัฐหงอีก
ความผิดนี้ สถานเบาคือกวดขันชายแดนไม่เข้มงวด
หากเป็นสถานหนัก ก็กลับสามารถถูกตั้งข้อหาว่าสมคบคิดศัตรูขายชาติได้อย่างง่ายดาย
จุดจบของเหวินทิงไป๋ ไม่แน่ว่าจะดีกว่าเฮ่อโหย่วเจี้ยนได้สักเท่าใด
ทุกคนต่างรู้กันทั่วว่าติ้งซีอ๋องฮั่ววั่งเป็นคนมีนิสัยเด็ดขาด
แต่ภายใต้รูปลักษณ์ภายนอกของเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาผู้นี้กลับมีความลึกลับเพิ่มมาอีกชั้นหนึ่ง
แต่ในยามที่ดูไปแล้วคนผู้หนึ่งไม่ได้เก็บสิ่งใดๆ มาใส่ใจ ก็ยากหยั่งได้ว่าเรื่องที่เขาถือสาเป็นที่สุดในใจคือสิ่งใด
ณ ห้องติดกัน
“เจ้าคงได้ยินพวกเขาโต้เถียงกันแล้ว?”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาถามซุนเต๋ออวี่