ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 446 แปรเปลี่ยนกะทันหัน-2
บทที่ 446 แปรเปลี่ยนกะทันหัน-2
……….
“ได้ยินแล้วพ่ะย่ะค่ะ…กรมสอบสวนนี่ก็ช่างสนใจนัก!”
ซุนเต๋ออวี่เอ่ยพลางยิ้ม
“ไม่ใช่กรมสอบสวนน่าสนใจ เป็นผู้กำกับการกรมหญิงผู้นี้ต่างหากที่น่าสนใจ!”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
“เจ้าคิดว่าสิ่งที่พวกเขาพูดมีเหตุผลหรือไม่”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาถาม
“ท่านอ๋องหมายถึงเรื่องของรัฐหง หรือเรื่องของตัวท่านอ๋องเองพ่ะย่ะค่ะ”
ซุนเต๋ออวี่ถาม
“ซุนเต๋ออวี่เจ้าตัวดี! ก่อนนี้ตรงไปตรงมา พูดจาไม่วกวน! เหตุใดพอให้เจ้าเป็นผู้ดูแลใหญ่ได้ไม่กี่วันก็กลับเล่นลิ้นเสียแล้ว”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยายิ้มพลางเอ่ย
“ไม่ได้อยู่ตำแหน่งท่านไม่อาจคิดการเช่นท่านได้พ่ะย่ะค่ะ ก่อนหน้านี้กระหม่อมเป็นเพียงผู้ถวายงาน รับคำสั่งจากท่านอ๋อง ตั้งใจสะสางให้เสร็จเป็นพอ ไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ไม่ต้องดูสีหน้าผู้ใด แต่เวลานี้มีเรื่องใหญ่โตมอบหมายกับมือข้า ย่อมไม่อาจยึดถือตนไม่ไยดีต่อภายนอกเหมือนเมื่อก่อนได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ…”
ซุนเต๋ออวี่ยิ้มเอ่ยทั้งส่ายหัว
“มองไม่ออกจริงๆ ว่าเจ้าเป็นคนหลายหน้า !”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
“ความจริงท่านอ๋องมองออกมานานแล้ว! ไม่เช่นนั้นท่านจะให้กระหม่อมรับตำแหน่งของเสี่ยวลี่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ซุนเต๋ออวี่กล่าว
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาได้ยินแล้วสายตาพลันหยุดนิ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าเมื่อครู่กลับหายวับไปทันตา
“ว่ามาเช่นนี้ คล้ายว่าเจ้าเข้าใจข้าถ่องแท้นัก!”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
ซุนเต๋ออวี่เห็นว่าท่านอ๋องเปลี่ยนสีหน้าเร็วว่าพลิกหน้าหนังสือ พลันลนลานไม่รู้จะวางมือเท้าเช่นใด
“ฮ่าๆๆ! แต่ข้าก็เหมือนกับเจ้า เป็นคนหลายหน้าเช่นกัน! เช่นว่าคนทั่วไปล้วนรู้ว่าข้าชอบตกปลา แต่มีคนน้อยนักที่รู้ว่าข้ายังชอบขี่ม้ายิงธนูด้วย! ปกติแล้วมักดื่มชา แต่ยามกลางคืนข้าก็เคยแอบดื่มสุราผู้เดียวเช่นกัน!”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเห็นอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของซุนเต๋ออวี่ก็เอ่ยทั้งหัวเราะลั่นขึ้นมา
ซุนเต๋ออวี่ถูกท่าทีประเดี๋ยวดีใจประเดี๋ยวกริ้วโกรธทำให้สับสนไปหมดแล้ว
แต่รู้สึกอยู่ในใจว่าท่านอ๋องผู้นี้ก็คือท่านอ๋อง
เพียงนั่งสงบอยู่ตรงนั้น ไม่ได้ลงไม้ลงมือ ทั้งไม่ได้ยกเท้าขึ้นมา พูดเพียงสองสามประโยคก็กลับทำให้ตนขวัญกระเจิงได้ถึงเพียงนี้….
ความสามารถเช่นนี้ไม่สามารถชดเชยได้ด้วยการอ่านหนังสือหลายเล่มหรือมีระดับยุทธ์สูงขึ้นอีกหลายชั้น
เจิ้นเป่ยอ๋องเอ่ยจบก็โบกมือให้ซุนเต๋ออวี่ออกไปได้
เขาลุกขึ้นมาปิดหน้าต่าง ไม่ทอดสายตาไปไกลๆ อีกแล้ว
พร้อมกับเลิกตั้งใจฟัง เวลานี้เสียงโต้เถียงที่ดังมาจากห้องข้างๆ ไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีกแล้ว
จะว่าไป ในใจเขาก็กลับหวังให้กรมสอบสวนจากไปจริงๆ
หากว่าไปเสีย หลิวรุ่ยอิ่งก็จะต้องกลับไปที่เมืองหลวง
และนับว่าตนไม่ผิดต่อสิ่งที่ฉิงจงอ๋องหลิวจิ่งเฮ่าไหว้วานมา
เพียงแต่หากกรมสอบสวนที่เป็นทหารเบิกทางและโล่กันศรชั้นดีเพียงนี้จากไปจริงๆ กลับทำให้เขาตัดใจไม่ค่อยได้…
ใช่ว่าเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาไม่ชอบสุรา แต่ไม่ช่ำชองการดื่มสุราต่างหาก
ครั้งยังหนุ่ม เขาก็เคยกินดื่มอย่างบ้าคลั่งเพื่อให้ได้อยู่ร่วมกับเหล่าพี่น้อง
แต่จนใจที่แค่ดื่มไปครึ่งจอก ก็รู้สึกตัวเบาราวกับเหาะเหินไปสวรรค์ชั้นเก้า
ตระกูลซ่างกวนเป็นตระกูลใหญ่ทางใต้
แต่เคี่ยวกรำบุตรหลานในตระกูลเป็นที่สุด
มีเพียงคนที่ได้ลิ้มรสชีวิตที่จริงแท้ที่สุดจึงจะสามารถผจญคลื่นอย่างไม่สะท้านได้
นี่ก็เป็นปลายวสันต์แล้ว คิมหันตฤดูเป็นฤดูที่เขาชื่นชอบเป็นที่สุด
เพราะทุกคราวเมื่อถึงฤดูร้อน สภาพอากาศที่อบอุ่นและการดูแลรักษา ทำให้ผักสดหลากหลายสีสันในท้องไร่เริ่มเติบโตอย่างบ้าคลั่ง รวดเร็วจนเก็บมากินไม่ทัน
ทุกคราวที่เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาดื่มสุรา ล้วนฝันถึงผักผลไม้ในลานบ้านและท้องไร่ในชนบทแห่งนั้น
แต่เขาก็รู้ว่าชั่วชีวิตนี้ตนอาจไม่มีโอกาสกลับไปดูอีกแล้ว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็ได้แต่ถอนหายใจยาวและหยิบเอาแผนที่แผ่นหนึ่งออกมา
กาสุราที่ดื่มกับหลิวรุ่ยอิ่งเมื่อครู่นี้ยังคงวางอยู่บนโต๊ะ
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยายกของเหล่านั้นออก ก่อนนำไปวางไว้ข้างๆ
“เจ้านี่…!”
เมื่อเห็นว่าในกายังมีสุราอยู่เต็มจึงด่าทอขึ้นมาประโยคหนึ่ง
ก่อนหน้านี้เขาพูดไว้ชัดเจนแล้วว่าให้ซุนเต๋ออวี่ดื่มสุราสองกานี้ให้หมด
แผนที่ที่เขาแผ่ออกมาก็คือแผนที่ของทั้งแดนเจิ้นเป่ยอ๋อง
ข้างบนนั้นทำสัญลักษณ์ตำแหน่งรัฐทั้งสี่ของแดนเจิ้นเป่ยอ๋องเอาไว้ชัดเจน พร้อมชื่อแซ่ของผู้ควบคุมรัฐ
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยามองแผนที่นี้ ทันใดนั้นก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นในใจ
“ซุนเต๋ออวี่!”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาร้องเรียก
จนเมื่อเขาเดินเข้ามา เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาจึงกลับหัวแผนที่ให้เขาดู
แผนที่ที่เคยสะอาดหมดจด เวลานี้กลับถูกท่านอ๋องผู้นี้วาดลูกศรและสัญลักษณ์ไม่น้อย
“เจ้าเห็นว่าเป็นเช่นใด”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาถาม
“ท่านอ๋อง…กระหม่อมคิดว่าไม้นี้ล้ำเลิศยิ่งพ่ะย่ะค่ะ! สามารถทำลายข้อตกลงที่เหล่าผู้ควบคุมรัฐจับกลุ่มสมคบคิดกันได้ในคราวเดียว โดยไม่ต้องหลั่งเลือดหรือใช้กำลังหทารเลยพ่ะย่ะค่ะ!”
ซุนเต๋ออวี่กล่าว
“ข้าไม่ใช่ฮั่ววั่ง…เขาชื่นชอบการสังหารคนสร้างบารมี แต่ความเคารพที่ได้มาเกรงว่าจะเป็นความหวาดกลัวเสียมากกว่า วันใดที่ความหวาดกลัวหมดสิ้นไป สิ่งที่สะท้อนกลับมาจะเป็นการล้างแค้นที่รุนแรงยิ่งกว่า”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
“ข้างห้องเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาถาม
“ยังตัดสินใจไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ…”
ซุนเต๋ออวี่กล่าว
…………………….
ณ ห้องติดกัน
เยว่ตี๋และจิ้นเผิงล้วนไม่มีใครทำให้อีกฝ่ายยอมถอยได้
ต้องพูดจริงๆ ว่าสิ่งที่เยว่ตี๋คิดนั้นก็มีเหตุผลอยู่หลายส่วนทีเดียว
การดำรงอยู่ของกรมสอบสวนก็เพื่อสืบสวนให้ใต้หล้าสุขสงบ ไม่ใช่เพื่อให้พวกเขาเข้าไปมีส่วนร่วมกับเรื่องภายในไม่ว่าของอาณาจักรอ๋องใดๆ ก็ตาม
เรื่องราวดำเนินมาจนถึงขั้นนี้ เรียกว่าเกินเลยจากขอบเขตความสามารถและอำนาจของกรมสอบสวนมากแล้ว
“ท่านจะต้องไปให้ได้?”
ทั้งสองฝ่ายปะทะอารมณ์และนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน จิ้นเผิงเป็นคนเอ่ยปากพูดก่อน
“ใช่ว่าข้าจะต้องไปให้ได้ แต่ข้าสั่งให้พวกเจ้าล้วนต้องไป!”
เยว่ตี๋กล่าว
“ข้า…”
จิ้นเผิงกำลังจะเอ่ยปาก ก็มีเสียงดังมาจากโถงใหญ่ชั้นล่าง
“คล้ายว่ามีคนมาอีกแล้ว!”
หลิวรุ่ยอิ่งวิ่งไปตรงหน้าต่าง มองไปข้างล่างหนหนึ่งพลางเอ่ย
“นั่งรถหรือขี่ม้า”
เยว่ตี๋ถาม
“ขี่ม้าขอรับ”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
“มีสัญลักษณ์บนตัวม้าหรือไม่”
เยว่ตี๋ถามต่อ
“ครึ่งหนึ่งมี อีกครึ่งหนึ่งไม่มี”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เขาเห็นว่าด้านข้างของอานและบังเหียนม้าบางส่วนปักอักษร ‘ชิง’ เอาไว้
“คนของจวนชิงมาแล้ว”
จิ้นเผิงกล่าว
“ต้องมาพร้อมกับคนจากจวนผู้ควบคุมรัฐหงเป็นแน่”
เยว่ตี๋กล่าว
“เวลานี้ท่านยังจะไปอีกหรือไม่”
จิ้นเผิงยิ้มถาม
เยว่ตี๋ไม่ตอบ
ห้องของพวกเขากับเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยามีเพียงผนังกั้นกลาง เวลานี้กลับคึกคักนัก โต้เถียงเสียดสีกันไปมา!
“ท่านอ๋อง คนของรัฐหงมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ซุนเต๋ออวี่กล่าว
“ข้าจำได้ว่าส่งจดหมายให้เหวินทิงไป๋ตั้งแต่ก่อนพวกเราจะออกเดินทางแล้ว แต่คนของพวกเขากลับชักช้าจนเพิ่งมาถึงเอายามนี้”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
“ส่งก่อนพวกเราออกเดินทางหกวันพ่ะย่ะค่ะ”
ซุนเต๋ออวี่กล่าว
“แต่พวกเขากลับมาถึงช้ากว่าพวกเรา…เจ้าว่านี่นับเป็นการเพิกเฉยต่อคำสั่งของท่านอ๋องหรือไม่”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
“ท่านอ๋องเห็นว่าเป็นเช่นใดก็เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ซุนเต๋ออวี่เอ่ยทั้งพยักหน้าด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาพยักหน้า เอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ หลับตาลง
…………………….
จากคำพูดที่เขาเพิ่งกล่าวออกมา มองออกได้ไม่ยากว่าทั้งหมดนี้คล้ายเป็นไปตามที่เยว่ตี๋คาดการณ์ไว้ไม่ผิด
จิ้นเผิงเก็บแผนที่แผ่นนั้นของตนกลับไป ก่อนหันหลังเดินออกจากห้อง
เมื่อเสียงปิดประตูดังขึ้น เยว่ตี๋จึงเพิ่งเงยหน้าขึ้นมองหลิวรุ่ยอิ่ง คล้ายมีเรื่องต้องการพูด แต่เพราะมีหวาหนงอยู่ที่นี่ จึงไม่ค่อยสะดวกนัก
“ปกติแล้วเจ้าเถรตรงเช่นนี้หรือ”
เยว่ตี๋ถาม
เดิมทีนางนึกว่าหลิวรุ่ยอิ่งจะส่งสัญญาณให้หวาหนงออกไปก่อน แต่คิดไม่ถึงว่าเขากลับพูดตรงๆ ออกมา
“เขายังมองเรื่องเหล่านี้ไม่ออก”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เยว่ตี๋ฟังจบก็พยักหน้า
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าต้องตัดสินใจเช่นนี้”
เยว่ตี๋ถามหลิวรุ่ยอิ่ง
“โดยหลักๆ แล้ว เพราะคำนึงว่าเจิ้นเป่ยอ๋องจะใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างเพื่อลงมือกับรัฐหง”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“เจ้าต้องการสร้างผลงาน ความรู้สึกเช่นนี้ข้าเข้าใจดี แม้ข้าจะเป็นสตรีแต่ก็เคยเดินบนเส้นทางเดียวกับเจ้ามาก่อน”
เยว่ตี๋กล่าว
ด้วยน้ำเสียงเห็นใจอย่างยิ่ง
“ข้าเป็นนายกองกรมสอบสวน ข้ารับแต่คำสั่งของกรมสอบสวนกลาง”
หลิวรุ่ยอิ่งคิดสักพักจึงเอ่ย
อย่างไรก็ยังตอบปฏิเสธเยว่ตี๋
“แม้ข้าจะเป็นผู้กำกับการกรม แต่ตอนข้าออกจากกรมสืบสวนในปีนั้น เว่ยฉี่หลินก็เคยบอกกล่าวกับข้าว่าจะเก็บตำแหน่งเอาไว้ ไม่โยกย้ายไปที่อื่น”
เยว่ตี๋กล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งฟังอยู่เงียบๆ
เขารู้ว่าเยว่ตี๋ตัดสินใจจะไปอย่างแน่วแน่แล้ว
“ตอนเจอกันครั้งแรกข้ายังจำได้ท่านเคยพูดว่าจะร่วมสะสางคดีชิงเบี้ยหวัดนี้กับข้าไปตลอดทาง และต่อจากนั้นก็นับว่าถึงเวลาที่ท่านต้องกลับไปยังกรมสอบสวนกลางแล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ไม่ผิด แต่เรื่องนี้ใช่ว่าคำพูดข้าเชื่อถือไม่ได้ เพียงแต่ทุกเรื่องล้วนจำเป็นต้องมีช่วงเวลาในการสอบสวนเท่านั้น หากเจ้ายอมจากไป ข้าก็ยังสามารถกลับไปรายงานผลที่กรมสอบสวนกลางพร้อมกับเจ้าได้”
เยว่ตี๋กล่าว
“ข้าไม่ชอบล้มเลิกกลางคัน!”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยพลางประสานมือคำนับเยว่ตี๋
ก่อนหันหลังเตรียมจะจากไป
“เจ้าทำเองรับเองเถิด!”
เสียงของเยว่ตี๋ดังทอดมาจากข้างหลังเขา แต่กลับไม่อาจทำให้ฝีเท้าเขาหยุดลงแม้แต่น้อย
เพียงแต่เมื่อเขาเดินออกมาจากห้องแล้ว ในใจกลับรู้สึกกลัดกลุ้มและผิดหวังอย่างยิ่ง…
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ เกินคาดคิดเกินไป
หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินเสียงของนายท่านจินดังมาจากห้องโถงชั้นล่างจึงเตรียมจะลงไปทักทาย
นึกไม่ถึงว่ากลับมีคนยื่นแขนมาขวางเขาเอาไว้ตรงทางลงบันได
“พี่ชายน้องสาวเขาได้พบกันย่อมต้องรื้อฟื้นความหลัง คนนอกเช่นเจ้าจะลงไปร่วมวงด้วยทำไม”
จิ้นเผิงกล่าว
“อย่างน้อยก็ยังมีคนของจวนผู้ควบคุมรัฐหงอยู่ด้วย ไม่ใช่ว่ากรมสอบสวนเราควรไปต้อนรับสักหน่อยหรอกหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยทั้งยิ้มเจื่อน
“ไม่รีบ…ไม่รีบ…รอข้าดูก่อนค่อยว่ากัน!”
จิ้นเผิงโบกมือพลางเอ่ย
พวกเขาสองคนนั่งยองๆ
สามารถมองเห็นเหตุการณ์ในโถงใหญ่ได้อย่างชัดเจนผ่านช่องระหว่างขั้นบันได
นายท่านจิน เหวินฉีเหวิน ชิงเสวี่ยชิงและเถ้าแก่เนี้ย
คนที่เพิ่งมาและคนที่อยู่แต่เดิม จิ้นเผิงบอกชื่อได้ทั้งหมด
มีเพียงคนข้างกายนายท่านจินซึ่งมีอายุไล่เลี่ยกันที่จิ้นเผิงไม่รู้จักแต่อย่างใด
มองกิริยาท่าทางของคนผู้นี้ แม้ว่าจะเหมือนคนที่ติดตามมาอารักขา แต่ก็ไม่ได้อยู่ในข่าวสารที่กรมสอบสวนส่งมาให้ก่อนหน้านี้
“มีคนหนึ่งที่ไม่รู้ที่มาที่ไป อย่าเพิ่งวู่วาม”
จิ้นเผิงกล่าว
คนที่เขาชี้ก็คือหลี่จวิ้นชาง
หลังจากตอบรับคำแล้ว หลิวรุ่ยอิ่งจึงกลับไปยังห้องของตน
หลังจากผลักประตูเข้าไปแล้ว ก็มีคนผู้หนึ่งนอนอยู่บนเตียงของตน
คนผู้นี้นอนท่าเดิมกับครั้งก่อน และเข้ามาในห้องของหลิวรุ่ยอิ่งด้วยวิธีเดิม
สิ่งที่ไม่เหมือนก็คือ ครั้งนี้เขาร่างกายแข็งแรง มีชีวิตชีวาเป็นมังกรผาดพยัคฆ์โผน
มีกลิ่นหอมหนึ่งอบอวลอยู่ภายในห้อง
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่าบนโต๊ะมีสุราสองไห เป็ดย่างหนึ่งตัว ห่านย่างหนึ่งตัว และไก่ย่างหนึ่งตัว
ดินเหนียวที่ผนึกบนปากไหสุราเก่าแก่นัก ดูทีว่าเป็นไหที่เก็บไว้ไม่ใช่เวลาสั้นๆ เลย
………………………………………
……….