ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 447 ผ่านร้อนผ่านหนาวโชกโชน-1
บทที่ 447 ผ่านร้อนผ่านหนาวโชกโชน-1
……….
สายตาของหลิวรุ่ยอิ่งกวาดไปยังจานทั้งสามที่อยู่บนโต๊ะอย่างถี่ถ้วน
สุดท้ายหยุดอยู่ที่จานไก่ย่างซึ่งอยู่ตรงกลาง ก่อนเอื้อมมือไปดึงน่องไก่น่องหนึ่งมา
“ข้าอุตส่าห์หวังดีเอาสุรากับเนื้อมาเป็นของกำนัลตอบแทน แต่เจ้ากลับไม่รอข้า?”
รอจนหลิวรุ่ยอิ่งกำลังจะเอาน่องไก่ใส่ปาก คนที่นอนอยู่บนเตียงจึงเอ่ยปากอย่างเนิบนาบ
แต่ดวงตาทั้งคู่กลับยังไม่ได้ลืมขึ้น
“ในเมื่อเป็นของกำนัลตอบแทน เช่นนั้นข้าก็ไม่ต้องเกรงใจแต่อย่างใด”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
พูดจบก็กัดคำโต
น่องไก่นี้อวบอ้วนดีนัก
ฝีมือในการย่างก็กำลังพอดี
หลังจากหลิวรุ่ยอิ่งกินน่องไก่จนหมดอย่างรวดเร็ว ก็รู้สึกว่าค่อนข้างคอแห้ง จึงเอื้อมมือไปทางไหสุราเก่าไหนั้น คิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นกลับดีดตัวขึ้นมาจากเตียงอย่างคล่องแคล่วและคว้าข้อมือหลิวรุ่ยอิ่งไว้
หลิวรุ่ยอิ่งยิ้มตาหยีมองเขา จนถึงเวลานี้ดวงตาทั้งคู่ของเขาก็ยังปิดอยู่ แม้แต่ช่องว่างสักเส้นก็ยังไม่โผล่ออกมาให้เห็น
ฝีมือที่รวดเร็วเพียงนี้ ไม่ผิดต่อฉายาเสี่ยวจีหลิงของเขาจริงๆ
“มือเปื้อนน้ำมันห้ามเปิดสุราเด็ดขาด!”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“เจ้าพิถีพิถันถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
มือที่เอื้อมออกมายังคงไม่ชักกลับแต่ยิ่งรุกเข้าไปกว่าเดิม
เพียงหมุนข้อมือก็สามารถหลุดออกจากง่ามนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ของเสี่ยวจีหลิงได้ราวกับงูน้ำตัวหนึ่ง
เสี่ยวจีหลิงย่อมไม่ยอมให้หลิวรุ่ยอิ่งได้ดังใจ จึงหมุนข้อมือของตนตามไปด้วย กระทั่งกำไว้แน่นหนาอีกครั้ง
ในระหว่างที่จับกันไปมาอยูนี้ หลิวรุ่ยอิ่งกลับเอื้อมมือซ้ายออกมา
หวังฉวยโอกาสจู่โจมขณะไม่ทันตั้งตัว เพื่อแย่งไหสุรากลับมา
แต่หนนี้เสี่ยวจีหลิงไม่ขวางเอาไว้ กลับปล่อยให้หลิวรุ่ยอิ่งคว้าไหสุราไปได้
“เหตุใดครั้งนี้จึงไม่ขวางไว้แล้วเล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“เพราะมือข้างนั้นของเจ้าไม่เปื้อนน้ำมัน”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“เจ้าก็ไม่ได้ลืมตา เหตุใดจึงรู้ว่ามือข้างนี้ของข้าสะอาดอยู่”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“เสียงตอนกินน่องไก่ด้วยมือเดียวกับสองมือนั้นต่างกัน!”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งหัวเราะฮ่าๆ ก่อนเอาไหสุราที่คว้าไว้ได้ในมือกลับไปวางบนโต๊ะอีกครั้ง
ในขณะที่ไหสุราลงถึงโต๊ะ เสี่ยวจีหลิงก็ปล่อยข้อมือของหลิวรุ่ยอิ่ง
ขยี้ตาที่ยังคงหลับอยู่ ก่อนค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“นี่เจ้านอนหลับไปจริงๆ หรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถามอย่างไม่อยากเชื่อ
“หลับตาลง หากไม่ใช่เพื่อนอนหลับ เช่นนั้นก็ตายแล้วเป็นแน่…”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“สุราเมื่อดื่มมากเข้าก็ทำให้คนตายได้เช่นกัน”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว แต่เป็นการเล่นคำให้ฟังดูมีเหตุผลมากเกินไป
“ดื่มสุรามากแล้วก็จะอยากนอน ไม่ว่าก่อนหน้านั้นจะเป็นทุกข์เพียงใด แต่สุดท้ายก็จะหลับอยู่ดี”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ตัวว่าไม่มีทางเถียงชนะเขา ยิ่งไปกว่านั้น คำพูดของเขาก็ไม่มีน้ำหนักมาแต่ไรจึงไม่ได้โต้เถียงต่อ
“น่องไก่อร่อยหรือไม่”
เสี่ยวจีหลิงถามต่อ
“อร่อย!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ตอนข้าวางไก่ เป็ดและห่านไว้บนโต๊ะ ก็แอบพนันกับตนเองอยู่ในใจ”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“ตนเองจะพนันกับตนเองได้อย่างไร”
หลิวรุ่ยอิ่งยิ้มส่ายหัวพลางเอ่ย
เขาคิดว่าเสี่ยวจีหลิงกำลังเล่นตลกกับตนอยู่
“มือซ้ายสามารถดื่มสุราในมือขวาจนหมดจอก ตนเองก็ย่อมสามารถพนันดื่มสุรากับตนเองได้!”
เสี่ยวจีหลิงพูดด้วยท่าทีขึงขัง
“เอาเถอะ…เจ้าพนันสิ่งใด แล้วชนะหรือว่าแพ้”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“ตนเองพนันกับตนเอง แพ้ชนะล้วนคือตนเอง ด้วยเหตุนี้จึงนับว่าไม่ได้พนัน”
เสี่ยวจีหลิงพูดจบก็หัวเราะลั่นอย่างเบิกบานใจ หัวเราะจนเอนไปข้างหลังทั้งตัว
แม้หลิวรุ่ยอิ่งจะรู้ว่าตนถูกเขาเล่นตลกเข้าให้แล้ว แต่เมื่อเห็นเขาหัวเราะเบิกบานใจเพียงนี้ ก็อดรู้สึกตามไปด้วยไม่ได้ จึงหัวเราะลั่นตามเขาขึ้นมาเช่นกัน
เสียงหัวเราะของคนทั้งสองยิ่งเบิกบานใจขึ้นเรื่อยๆ และเสียงก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
“ข้าพนันว่าเจ้าต้องกินไก่ย่างก่อน!”
เสี่ยวจีหลิงหยุดหัวเราะแล้วพูด
“เช่นนั้นเจ้าก็ชนะแล้ว!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวอย่างไม่ยี่หระ
“เจ้าไม่อยากถามข้าหรือว่าเหตุใดจึงมั่นใจเช่นนั้น”
เสี่ยวจีหลิงขยับตัวเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยถาม
ต้องให้หลิวรุ่ยอิ่งถามเขาก่อน เขาจึงค่อยทำให้อยากรู้แต่ไม่ยอมบอก และในท้ายที่สุดถึงพูดออกมา
แต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับไม่หลงกลเขา
อยากบอกก็บอก ไม่บอกก็ช่าง
แม้ในใจเขาเองก็อยากรู้ แต่หลิวรุ่ยอิ่งไม่อยากให้เสี่ยวจีหลิงมีความสุขที่แผนชั่วของเขาสำเร็จ
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเข้าไปดึงขาไก่อีกขาหนึ่งมาด้วยสีหน้าราบเรียบโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา
เชิดคางขึ้น กินน่องไก่ไปพลางเอียงตามองเสี่ยวจีหลิงไปพลาง
กลับทำให้ใจเสี่ยวจีหลิงว้าวุ่นยิ่งว่าเดิม…
แต่เขาเองก็ยังสงบปากอยู่เต็มกำลัง
หากเจ้าไม่ถาม ข้าก็ไม่พูดเด็ดขาด
แต่หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าเสี่ยวจีหลิงไม่ใช่คนที่สงบปากได้ เขาจะต้องพูดออกมาในอีกไม่ช้าก็เร็ว
กลั้นปัสสาวะ กลั้นอุจจาระ กลั้นพูดทั้งสามอย่างนี้ เสี่ยวจีหลิงต้องร้อนใจกับการกลั้นพูดมากกว่า!
“หลายวันมานี้ เจ้าไปท่องเที่ยวที่ใดมาอีก”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
เสี่ยวจีหลิงจะต้องไม่ปรากฏตัวขึ้นมาในที่แห่งหนึ่งโดยไร้สาเหตุเป็นแน่
ตอนที่หลิวรุ่ยอิ่งผลักประตูเข้ามาแล้วเห็นเสี่ยวจีหลิง ใจเขาก็เต้นโครมครามอยู่เช่นกัน…
เพราะเมื่อว่ากันจากความหมายบางประการแล้ว เสี่ยวจีหลิงก็คือลางบอกเหตุอย่างหนึ่ง
ลางบอกเหตุว่าที่ที่ตนเองอยู่จะต้องเกิดเรื่องที่เป็นเช่นคลื่นสาดซัดขนานหนัก
“ข้าไปแดนเจิ้นเป่ยอ๋องมาหนหนึ่ง”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“จากนั้นก็มาเหมืองแร่พร้อมกับเจิ้นเป่ยอ๋องหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งย้อนถาม
เสี่ยวจีหลิงพยักหน้าก่อน จากนั้นก็ส่ายหน้า
เรื่องเหล่านี้ไม่สามารถปิดบังเสี่ยวจีหลิงได้
หรือบอกได้ว่าสิ่งที่เขารู้นั้นเยอะกว่าสิ่งที่หลิวรุ่ยอิ่งรู้มากมายนัก
“ที่มาปรากฏตัวคราวนี้ เพราะต้องการพิสูจน์สิ่งใดอีก”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
เมื่อเทียบกับเรื่องที่ว่าเหตุใดเสี่ยวจีหลิงจึงรู้ว่าตนเองจะกินน่องไก่ก่อน ถามเรื่องที่ทั้งจริงจังและคับขันเร่งด่วนที่สุดซึ่งเกิดขึ้นในขณะนี้จะดีกว่า
“หลังจากข้าตามเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาออกเดินทางมาได้ไม่นานก็แยกตัวออกมาก่อนแล้ว เพราะอย่างไรก็รู้ว่าเขาจะต้องมาที่เหมืองแร่แห่งนี้ ขอเพียงข้ามาถึงไม่สายเกินไป ก็จะต้องมาทันสุราและอาหารชั้นเลิศอยู่แล้ว”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“สามารถสละโอกาสร่วมเดินทางกับเจิ้นเป่ยอ๋องได้ ต้องเพราะมีเรื่องน่าสนใจที่ดึงดูดเจ้าได้มากกว่า!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“หากคราวหน้า ให้เจ้าพนันว่าข้าจะกินสิ่งใดก่อน เจ้าก็จะต้องพนันถูกเป็นแน่!”
เสี่ยวจีหลิงกล่าวยิ้มๆ
“ข้าชอบกินห่านย่าง!”
เขาคิดสักพักหนึ่ง แล้วพูดเสริมขึ้นมาอีกประโยค
“เจ้าก็บอกข้ามาชัดเจนเพียงนี้แล้ว ยังต้องพนันอันใดอีก”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“เพราะข้ากลัวเจ้าจะลืม พนันผิดแล้วจะขาดทุน!”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
จากนั้นก็ใช้พลังฝ่ามือเปิดผนึกดินเหนียวบนไหสุรา
ทันใดนั้นเอง กลิ่นหอมเข้มข้นของสุราพลันฟุ้งกระจาย หอมหวนทั่วห้องเนิ่นนานไม่จางหาย
แต่กลิ่นสุรานี้หลิวรุ่ยอิ่งกลับคุ้นเคยอยู่หลายส่วน…
เขารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าตนเองเคยดื่มที่ใดมาก่อน แต่จู่ๆ ก็กลับคิดไม่ออก
ในขณะที่เขากำลังคิดทบทวนอยู่นั้น เสี่ยวจีหลิงก็เอียงไหสุราลงและเริ่มรินสุรา
เขาไม่ได้รินใส่จอกโดยตรง
แต่รินใส่กาสุราแสนงดงามสองกาก่อน
กาสุราสองกานี้ทำจากหยกขาว ล้ำค่าหายากเป็นที่สุด
หลิวรุ่ยอิ่งฉีกยิ้มเมื่อเห็นกาสุราทั้งสองกานี้
เพราะเขานึกออกแล้วว่าตนเองเคยดื่มสุรานี้ที่ใดมาก่อน…
ก็คือภายในห้องของเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาที่อยู่ติดกัน ห่างจากตอนนี้เพียงแค่หนึ่งชั่วยามกว่าๆ เท่านั้น
กาสุราที่เหมือนกันทุกประการ คิดว่าต้องเป็นของใช้ประจำกายของเจิ้นเป่ยอ๋อง
เสี่ยวจีหลิงบอกว่าเขาไปท่องเที่ยวจนทั่วแดนเจิ้นเป่ยอ๋องมารอบหนึ่ง ดูทีว่าเขาก็คงเข้าไปในวังเจิ้นเป่ยอ๋องและหยิบติดมือออกมาด้วยหลายหน!
“ กาสุราที่เหมือนกันทุกประการมีอยู่มากมาย สุราชั้นเลิศที่เหมือนกันทุกประการก็มีไม่น้อย แต่ที่สำคัญยังต้องดูว่ากาสุรานี้ให้ผู้ใดใช้ สุราชั้นเลิศนี้ดื่มกับผู้ใด!”
เสี่ยวจีหลิงรินสุราจนเต็มกาหนึ่งแล้วจึงเอ่ย
สามารถพูดเรื่องลักไก่ขโมยสุนัขได้อย่างสง่าผ่าเผยทั้งไร้ยางอายเช่นนี้ ก็นับว่าเป็นความสามารถสูงส่งเฉพาะอย่างหนึ่ง…
อย่างไรก็ตาม หลิวรุ่ยอิ่งไม่มีความสามารถนี้
ไม่เพียงหนังหน้าเขาไม่หนาพอ ข้อที่สำคัญที่สุดเกรงว่าท่าร่างของเขาไม่ได้ปราดเปรียวและงดงามเท่าเสี่ยวจีหลิง
ในยามที่คนเราเชื่อมั่นในความสามารถอย่างหนึ่งของตนเป็นที่สุด กลับจะเป็นกังวลและหวาดกลัวขึ้นมา…
ลำพังว่ากันเรื่องท่าร่าง เสี่ยวจีหลิงก็รู้สึกอยู่ทุกคืนวันว่าตนเองไม่ได้เบาหวิวและว่องไวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
ความกังวลเช่นนี้ลำพังแค่อาศัยตนเองก็ไม่มีทางสงบลงได้แต่อย่างใด
ได้แต่ต้องอาศัยสิ่งของภายนอกมาพิสูจน์
การไปขโมยของในวังอ๋องย่อมเป็นวิธีที่ดียิ่งวิธีหนึ่ง
โดยทั่วไปแล้วคนที่เป็นสุภาพบุรุษบนคานมักขี้ขลาดหวาดผวา
แต่เสี่ยวจีหลิงไม่ใช่
นอกจากเขาจะไม่หวาดผวาและไม่ขี้ขลาดแล้ว กลับฮึกเหิมอย่างยิ่ง!
เพราะเขาไม่ได้ไปขโมยของ หรือพูดได้ว่าการไปชิงสิ่งของหาใช่เจตนาดั้งเดิมของเขา
แต่เสี่ยวจีหลิงไปค้นหาหลักฐาน และแสวงหาการปลอบโยน
ค้นหาหลักฐานว่าท่าร่างของเขายังคงคล่องแคล่วว่องไว และแสวงหาการปลอบโยนเพื่อคลายปมในใจลง
ยามนี้ทั้งไหและกาสุราล้วนอยู่ตรงหน้า เขาย่อมค้นหาสิ่งที่ต้องการพบแล้ว
“แต่เจ้าลืมเอาชุดจอกสุรามาด้วย!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
ตอนเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเลี้ยงสุราเขาในห้องข้าง กาสุราหยกขาวชุดนี้ยังมีจอกโมราเคลือบอีกสองใบด้วย
ตัวจอกนั้นทำจากโมรา ส่วนก้นจอกเคลือบแก้วรูปวงแหวน
เสี่ยวจีหลิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันใดเมื่อได้ยินคำพูดนี้ของหลิวรุ่ยอิ่ง
แม้แต่มือที่กุมกาสุราอยู่ก็ยังเริ่มสั่นขึ้นมาเล็กน้อย
“ในเมื่อเป็นสุราชั้นเลิศ ก็อย่าให้สิ้นเปลืองเล่า!”
หลิวรุ่ยอิ่งคว้าจอกสุราจากมือเขามาพลางเอ่ย
“ข้าดื่มสุราไม่ได้อีกแล้ว…”
จู่ๆ เสี่ยวจีหลิงก็เอ่ยออกมาหลังนิ่งงันไปพักหนึ่ง
“คนที่สามารถทำให้สุรากลายเป็นเลือดได้ จะอยู่ห่างสุราได้อย่างไร”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยกระเซ้า
“สุราทำให้ท่าร่างของข้าไม่ว่องไวเท่าก่อนนี้มากนัก…หากเป็นเมื่อสามปีก่อน ไม่สิไม่กี่เดือนก่อน! ข้าจะต้องสามารถเอาจอกสุรามาด้วยได้ ชุดดื่มสุราทั้งชุด ไม่พลาดไปแม้สักชิ้น!”
เสี่ยวจีหลิงเอ่ย
เริ่มหลบเลี่ยงสายตา
หลิวรุ่ยอิ่งมองออกว่าด้วยคำพูดที่ตนไม่ได้ตั้งใจประโยคหนึ่ง กลับทำให้เสี่ยวจีหลิงเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาจริงๆ เขาก็รู้สึกลำบากใจขึ้นมาเช่นกัน…
ความจริงแล้ว เสี่ยวจีหลิงก็แค่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเกินไปเมื่อครั้งก่อน…ปราณโลหิตและปราณกำลังยังไม่ฟื้นคืนเท่านั้น
แค่นอนหลับดีๆ สักหลายตื่น กินอาหารให้อิ่มหลายๆ มื้อ แค่ไม่กี่วันก็สามารถฟื้นกำลังได้อย่างไม่มีปัญหา
“เช่นนั้นเจ้าก็กินเนื้อ กินเนื้อเป็ด!”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยทั้งชี้ไปบนโต๊ะ
“เหตุใดต้องเป็นเป็ด…”
เสี่ยวจีหลิงเบ้ปาก สีหน้าฉายแววรังเกียจ
เพราะเขาไม่ชอบเป็ดที่สุด
แต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับดึงปีกเป็ดสองข้างส่งให้เขาแล้วบอกว่า
“กินสิ่งใดก็บำรุงสิ่งนั้น ในบรรดาไก่ เป็ดและห่าน เกรงว่าเป็ดจะบินได้ดีที่สุด เจ้ากินปีกเป็ด ก็จะช่วยบำรุงท่าร่างของเจ้าได้ดียิ่งไม่ใช่หรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เสี่ยวจีหลิงได้ฟังดังนั้นดวงตาทั้งคู่ก็เป็นประกาย รีบรับปีกเป็ดมาจากมือหลิวรุ่ยอิ่งแล้วเริ่มกิน
แต่เขากินไปได้สองคำ ก็ใช้นิ้วมือที่เต็มไปด้วยน้ำมันเขียนอักษรสองตัวบนโต๊ะว่า
‘สำนักปากสอบ’
………………………………………
……….