ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 448 ผ่านร้อนผ่านหนาวโชกโชน-2
บทที่ 448 ผ่านร้อนผ่านหนาวโชกโชน-2
……….
ตัวอักษรสองตัวนี้กลับหัว
ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งต้องตั้งใจอ่านจึงจะมองได้ชัด
ด้วยเป็นหัวข้อต้องห้ามเช่นนี้เสี่ยวจีหลิงจึงไม่กล้าเอ่ยออกมาชัดๆ ทำได้เพียงใช้มือที่เปื้อนน้ำมันเป็ดย่างเขียนบนโต๊ะเท่านั้น
รอจนหลิวรุ่ยอิ่งมองเห็นชัดแล้วเสี่ยวจีหลิงจึงใช้ฝ่ามือลูบออกจนสะอาด ไม่ให้เหลือสิ่งใดไว้ทั้งสิ้น
“หรือว่า…พวกเขาก็มาที่เหมืองแร่ด้วย”
หลิวรุ่ยอิ่งกดเสียงลงต่ำขณะเอ่ยถาม
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขามาหรือไม่ แต่คนที่พวกเจ้ารออยู่ที่เหมืองแร่ถูกพวกเขารั้งตัวไว้…”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
เขากินปีกเป็ดทั้งสองปีกหมดแล้ว
หลิวรุ่ยอิ่งขมวดคิ้วแน่น…
คนที่เขารออยู่ก็คือจิ้งเหยาที่ปล้นเบี้ยหวัดไปไม่ใช่หรือ
เขาเป็นผู้นำหน่วยของราชสำนักทุ่งหญ้า แล้วจะไปเกี่ยวข้องกับคนของสำนักปากสอบได้อย่างไร
หลิวรุ่ยอิ่งขบคิดเรื่องนี้เป็นร้อยหนก็คิดไม่ออก…
“สองวันก่อน มีคนผู้หนึ่งมาและต้องการสังหารเถ้าแก่เนี้ย”
จู่ๆ หลิวรุ่ยอิ่งก็เปลี่ยนเรื่อง
“คนผู้นั้นสวมชุดยาวสีดำ สวมหมวกสักหลาด ปิดหน้าเหลือแต่ดวงตาคู่หนึ่ง มือยังถือดาบโค้งเล่มหนึ่งใช่หรือไม่”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
พร้อมกับส่งสัญญาณให้หลิวรุ่ยอิ่งคลายมือจากกาสุราเพราะเขาก็กระหายขึ้นมาแล้วเช่นกัน
หลิวรุ่ยอิ่งมองเสี่ยวจีหลิงด้วยความตกใจ
“ข้าไม่ได้อยู่ที่นั่น แต่คนผู้นั้นและคนที่ทำร้ายข้าจนเจ็บหนักคราก่อนคือคนเดียวกัน คราก่อนแม้เขาจะไม่ได้ใช้ดาบโค้ง แต่ข้าเห็นเงารำไรตอนชุดของเขาพลิ้วไหว บางครั้งก็ต้องขอบคุณลมแรงๆ นี่…ทำให้ของหลายอย่างที่ควรถูกปิดซ่อนเอาไว้กลับเผยออกมา”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“เหมือนว่าเขาจะมาจากจวนชิง ไม่เพียงพูดชื่อจริงของเถ้าแก่เนี้ยออกมาได้ พูดอย่างเปิดเผยว่าจะให้นางตายไม่พอ ยังรอให้นางใช้ดาบตัดเงาที่เป็นวิชาของจวนชิงก่อนจึงจะสังหารนางได้”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“มีคนสั่งมา ไม่เห็นแปลกอันใด”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
แต่กลับไม่พูดอีกเลยแม้สักคำ
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าเขาต้องรู้รายละเอียดในเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่เสี่ยวจีหลิงเพียงต้องการพิสูจน์ทุกเรื่องที่เขาเห็นว่าสำคัญมากๆ ให้ครบถ้วนเท่านั้น
เขาไม่ใช่คนขายข่าว ทั้งไม่ใช่สายของกรมสอบสวน
จะว่าไป การที่เขามาปรากฏตัวอยู่ในห้องของหลิวรุ่ยอิ่งอย่างเปิดเผยก็นับว่าไม่ธรรมดาอย่างยิ่งแล้ว
เมื่อมีคนรู้ความเคลื่อนไหวของเขาอย่างชัดเจนเพิ่มขึ้นอีกคน เขาก็จะมีอันตรายเพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่ง
ที่เขาเชื่อใจหลิวรุ่ยอิ่งเพียงนี้ อาจเพื่อตอบแทนบุญคุณที่ช่วยชีวิตไว้ครั้งก่อน
คำว่าของกำนัลตอบแทนค่อนข้างบางเบาและไร้ซึ่งน้ำหนัก
แต่คนทั้งสองล้วนเป็นลูกหลานแห่งยุทธภพ จะสนใจไยดีกับของยิบย่อยเช่นนี้ได้อย่างไร
ชาวยุทธภพไม่ว่าจะอยู่ที่ใดล้วนคือพี่น้อง เรียกว่าพี่น้องสักคำ ทำเพื่อคำว่าน้ำใจไมตรีสักหน แม้วันหนึ่งจะต้องประดาบประกระบี่ ก็เป็นเพียงการสังหารอย่างเอาเป็นเอาตายที่เกิดขึ้นอีกครั้งในแดนมนุษย์เท่านั้น!
เส้นทางแห่งยุทธภพ เมื่อก้าวเข้าสู่ยุทธภพที่ลึกดั่งทะเล เข้าสู่โลกหล้าและผ่านพ้นโลกหล้า ล้วนเป็นการผ่านร้อนผ่านหนาวโชกโชน แม้จะหัวแข็งดื้อรั้นแต่จนใจนักที่ชะตากลับเล่นตลก! หวังเพียงว่าความประณีตสามส่วนนั้นจะผสานเข้ากับความสง่างามเจ็ดส่วน
ความแค้นในยุทธภพ รักชังไมตรีอาฆาต ทุกสุขพบพราก จุดตะเกียงแดงขาวให้สว่าง นกเป็ดน้ำคู่ประชันปีกเคียงสุราหมักนานปี แดนมนุษย์ก็เป็นเพียงเรื่องสุขและทุกข์
ทันใดนั้นหลิวรุ่ยอิ่งก็รู้สึกว่าที่แท้แล้วความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ก็ไม่ได้บอบบางและเชื่อถือไม่ได้ขนาดนั้น
ก็เป็นเช่นเสียงนกนางแอ่นยามวสันต์ที่สามารถร้องเรียกความละมุนของฝนปรอยได้
ยามรุ่งสางหลังผ่านค่ำคืนแห่งสายฝน ทั่วทั้งโลกหล้าล้วนแช่มชื่นกว่ายามปกติมากนัก
ในเกสรของบุปผาแรกบานมักมีหยาดฝนซ่อนเร้นอยู่
เพียงปัดเบาๆ ก็สั่นสะเทือนไปมา
แต่ที่สุดก็หาหนทางจนพบ ก่อนหยดลงสู่พื้นดัง ‘ติ๋ง’ จนร่างแหลกละเอียด
ฝนรินผกาผลิ บุปผาบานดึงดูดผีเสื้อ
ดูคล้ายกินใจ ที่แท้ปวดร้าว…
บุปผาผีเสื้อผูกมัด วาสนาแห่งรักยากพบอีกครา
ดอกไม้ยิ่งบานเย้ายวนใจคนเท่าใด ปีกผีเสื้อก็ยิ่งมีชีวิตชีวาเท่านั้น
เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วงความอาวรณ์และงดงามทั้งปวงที่เคยมีพลันกลายเป็นความน่าอนาถ
เหลือไว้เพียงเสียงสะอื้นทั่วปฐพี ชวนให้เจ็บปวดเหลือประมาณ…
เมื่อคิดไปดังนี้หลิวรุ่ยอิ่งกลับรู้สึกว่าตนเข้าใจเรื่องนานาขึ้นมาไม่น้อย
ต่อให้เป็นสำนักปากสอบแล้วจะอย่างไร
สำนักปากสอบมีความหมายในการดำรงอยู่ของตน กรมสอบสวนก็มีภารกิจที่ต้องรับผิดชอบ
สองฝ่ายหาได้ขัดแย้งกัน
ทว่าหากสำนักปากสอบเกี่ยวข้องกับการชิงเบี้ยหวัดจริงๆ เมื่อความหมายและภารกิจขัดแย้งกัน เขาควรตัดสินใจเช่นใดดี
หลิวรุ่ยอิ่งอดคิดถึงเรื่องที่สนทนากับเยว่ตี๋ก่อนหน้านี้ไม่ได้
เขามองออกว่าเยว่ตี๋ต้องการเกลี้ยกล่อมให้เขาไปพร้อมกับนาง
น้ำเสียงนุ่มนวล ไม่ได้บีบคั้น
และไม่เอาตำแหน่งมาข่มขู่เช่นที่ทำกับจิ้นเผิง
แต่หลิวรุ่ยอิ่งก็ยังรู้สึกได้ว่านางตัดสินใจแน่วแน่แล้ว
‘หรือว่านางมีเรื่องใดต้องกังวลกับสำนักปากสอบ’
หลิวรุ่ยอิ่งคิดในใจ
คนและเรื่องราวที่ทำให้เยว่ตี๋ปวดเศียรเวียนเกล้าได้ในโลกนี้ก็มีไม่มากแล้ว…
แม้ว่าในที่แจ้งนางจะบอกว่าเป็นเพราะเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาใกล้ชิดกับเหมืองแร่ ฉะนั้นกรมสอบสวนจึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องเข้าร่วมต่อไปอีก แต่ในทางลับ ใครจะรู้ได้แน่ชัดว่านี่เป็นเพียงข้ออ้างหรือไม่
อันตรายที่แท้จริงกลับคือสำนักปากสอบ ซึ่งคนทั่วทั้งใต้หล้าล้วนหลบเลี่ยงไม่เข้าไปพัวพันลึกซึ้ง
เสี่ยวจีหลิงเพิ่งรินสุราให้หลิวรุ่ยอิ่งจอกหนึ่ง แต่ยังไม่ทันส่งมาตรงหน้า หลิวรุ่ยอิ่งก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากประตูไปอย่างรวดเร็ว
เขายืนอยู่ตรงประตูห้องของเยว่ตี๋ก็ยังได้ยินบทสนทนาของนางกับจิ้นเผิงภายในห้อง
เวลานี้หลิวรุ่ยอิ่งไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังวล จึงผลักประตูเปิดออกทันใด ก่อนถือวิสาสะเดินเข้าไปเอง
เมื่อคนทั้งสองที่กำลังโต้เถียงกันเห็นหลิวรุ่ยอิ่งผลักประตูเข้ามา ต่างก็พากันงุนงง
“เหตุที่ท่านต้องการไป เป็นเพราะสำนักปากสอบใช่หรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งยืนขวางประตูขณะเอ่ยปากพูด
เยว่ตี๋ได้ฟัง สีหน้าก็ผ่อนคลายลงทันใด
หลายเรื่องไม่ว่าใหญ่เล็ก
ไม่อาจอธิบายต่อทุกคน ต้องแบกไว้แต่ผู้เดียวช่างยากเย็นนัก
“เจ้ารู้ได้อย่างไร”
เยว่ตี๋ย้อนถาม
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ตอบ
รู้ได้อย่างไรในเวลานี้ย่อมไม่สำคัญ
สิ่งสำคัญคือเขาพูดถูกแล้ว
จิ้นเผิงจ้องเยว่ตี๋พลางถาม
“ตำแหน่งของเจ้าสูงไม่พอ”
เยว่ตี๋เอ่ยไปประโยคหนึ่งอย่างเย็นเฉียบ แต่กลับตัดความคิดของจิ้นเผิงจนขาดสะบั้น
จิ้นเผิงชี้ไปทางหลิวรุ่ยอิ่งแล้วอ้าปากแต่กลับพูดไม่ออกสักคำ
หลิวรุ่ยอิ่งมองจิ้นเผิง แต่ก็ไม่ได้ให้คำอธิบายใดแก่เขาอีก
หลังจากพยักหน้าเล็กน้อยให้เยว่ตี๋แล้ว เขาก็ออกไปจากห้องของนาง
จนเมื่อเขากลับมาในห้องของตนเอง ก็พบว่าเสี่ยวจีหลิงไปแล้ว
สุราเต็มจอกวางอยู่ตรงหน้าตำแหน่งที่ตนเคยนั่ง
ตรงหน้าตำแหน่งที่เสี่ยวจีหลิงนั่ง มีคำเขียนไว้ประโยคหนึ่ง
ครั้งนี้ไม่ได้ใช้น้ำมันเป็ดย่างเขียน แต่ใช้สุรา
“ติดหนี้สุราจอกหนึ่ง ข้าไปก่อน”
หลิวรุ่ยอิ่งอ่านจบก็ยิ้มออกมา
ยกจอกสุราตรงหน้าขึ้นมาแล้วชนกับตำแหน่งที่เสี่ยวจีหลิงนั่งก่อนหน้านี้ไปแรงๆ ก่อนแหงนหน้าดื่มจนหมด
การชนทำให้สุราในจอกกระฉอกออกมาไม่น้อย
ตัวอักษรที่เสี่ยวจีหลิงเขียนไว้ก่อนนี้ลบเลือนไปจนหมด กลับกลายเป็นความลางเลือน…มองสิ่งใดไม่ออก
แต่แน่นอนว่านี่ก็เป็นเจตนาของเสี่ยวจีหลิง
ใช้สุราเขียนหนังสือย่อมลบเลือนง่ายกว่าใช้น้ำมันเป็ดเขียน และในเวลาเดียวกันก็รับประกันความปลอดภัยได้มากกว่าด้วย
เมื่อหลิวรุ่ยอิ่งดื่มสุราจนหมด ก็รู้สึกว่าหากว่ากันด้วยไมตรีและหลักการแล้ว เขาก็ยังจำเป็นต้องลงไปทักทายนายท่านจินที่โถงใหญ่ข้างล่าง
ก่อนไป เขามองบนโต๊ะอีกคราว
เขาหัวเราะ ห่านย่างสองน่องนั้นย่อมต้องอยู่ในท้องของเสี่ยวจีหลิง
เจ้านี่ ทั้งที่บอกว่าเอามาเป็นของกำนัลตอบแทนให้ตน แต่กลับกินเยอะกว่าตัวเขาเองเสียอีก…
โดยเฉพาะสุราบ่มนานปีของวังอ๋องไหนั้น
ว่ากันตามหลักแล้ว อย่างน้อยจะต้องรินออกมาได้ห้ากาสิบแปดจอกจึงจะถูก
ปรากฏว่าหลิวรุ่ยอิ่งได้ดื่มแค่หนึ่งจอก จากนั้นกาสุราและไหสุราก็บินหนีไปทั้งที่ไม่มีปีก…
มาหนนี้ เมื่อหลิวรุ่ยอิ่งเตรียมจะลงไปข้างล่างก็ไม่มีใครมาขวางเขาไว้อีกแล้ว
แต่เขากลับยังคงยืนอยู่กับที่ด้วยอาการใจลอย
ตอนพบนายท่านจินครั้งก่อน รู้เพียงว่าเขาเป็นคนมั่งมีผู้หนึ่ง…มีเหมืองแร่หลายแห่ง ในที่แห่งนี้เขานับเป็นคนที่รักษาคำพูด พูดคำไหนคำนั้น
แต่เมื่อได้พบกันอีกในยามนี้ ฐานะของเขากลับต่างกันราวฟ้ากับดิน…
นายท่านจินไม่เพียงเป็นนายน้อยใหญ่ของจวนชิงแห่งรัฐหงเท่านั้น เวลานี้ยังเป็นการออกมาทำภารกิจหลวงร่วมกับจวนผู้ควบคุมรัฐหง เพื่อสืบสวนคดีชิงเบี้ยหวัดอีกด้วย
คนยังคงเป็นคนผู้นี้
ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาหรือว่ากิริยาท่าทางล้วนไม่ได้เปลี่ยนไป
แต่เมื่อฐานะเปลี่ยน ทุกสิ่งย่อมเปลี่ยน
ก่อนนี้หลิวรุ่ยอิ่งยังเห็นว่าเขาเป็นพี่ใหญ่ที่ใจคอกว้างขวางผู้หนึ่ง แต่เวลานี้กลับต้องแยกแยะเรื่องราษฎร์เรื่องหลวงให้ชัดเจน ห้ามมีความคิดใดอื่นเด็ดขาด
“นายท่านจิน! ไม่พบกันนาน!”
หลิวรุ่ยอิ่งสาวเท้าออกไป ค่อยๆ ลงบันไดมาทีละขั้น
ยังไม่ทันเผยใบหน้า เสียงทักทายนี้ก็ดังลงไปข้างล่างแล้ว
“ผู้นั้นก็คือนายกองหลิวที่ข้าเคยเล่าให้ฟัง”
นายท่านจินอาศัยจังหวะว่างหันหน้าไปกระซิบบอกหลี่จวิ้นชางที่อยู่ข้างหลังเบาๆ
จนเมื่อหลิวรุ่ยอิ่งลงมาแล้ว และเดินเข้ามาในโถงใหญ่ นายท่านจินจึงประสานมือคำนับหลิวรุ่ยอิ่งกล่าวว่า
“ไม่พบกันนาน! นายกองหลิวสบายดี?”
“ดีทุกสิ่ง!”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
เมื่อเห็นว่านายท่านจินทักทายอย่างมีพิธีรีตองและอ่อนโยน หลิวรุ่ยอิ่งกลับไม่ค่อยคุ้นเคย
มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งยืนอยู่ข้างๆ ทางด้านหลังของนายท่านจิน ย่อมเป็นชิงเสวี่ยชิงกับเหวินฉีเหวิน ข้อนี้หลิวรุ่ยอิ่งรู้อยู่แล้ว
แต่เขาก็ยังจงใจถาม
แม้นายท่านจินจะรู้ว่าหลิวรุ่ยอิ่งรู้อยู่แล้วแต่จงใจถาม แต่ก็ยังแนะนำอย่างเกรงใจยิ่ง
ที่จริงหลิวรุ่ยอิ่งแค่ออยากรู้ว่าหลี่จวิ้นชางเป็นผู้ใดเท่านั้น
“ผู้นี้ก็คือสหายของข้าที่คบหากันมานาน อดีตคุณชายใหญ่ตระกูลหลี่แห่งรัฐหง นามว่าหลี่จวิ้นชาง!”
นายท่านจินกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งสีหน้าราบเรียบ แต่ในใจกลับมีคลื่นสาดซัด
ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้น
แม้แต่ท่านอ๋องที่พักอยู่ใน ‘ห้องดี’ ข้างบน เมื่อได้ยินคำนี้ก็ยังมองไปทางซุนเต๋ออวี่ ก่อนหัวเราะลั่นขึ้นมา…
“จวนชิงตัวดี! ทิงเหวินไป๋ตัวดี!”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเอ่ยทั้งตบโต๊ะ
“ท่านอ๋องกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
ซุนเต๋ออวี่ถาม
เขาเดาไม่ออกแต่อย่างใดว่าท่านอ๋องกำลังเบิกบานใจหรือกริ้วโกรธกันแน่
“ไม่มีความหมายใด ไม่มีความหมาย! ข้าแค่รู้สึกว่าน่าสนใจยิ่ง!”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
ซุนเต๋ออวี่ยังอยากถามอีก แต่กลับถูกเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาห้ามไว้
เขาชี้นิ้วไปที่ชั้นล่าง จากนั้นก็ชี้มาที่หูของตน
ส่งสัญญาณบอกให้ซุนเต๋ออวี่ตั้งใจฟังก่อน ฟังจบค่อยพูด
“ที่แท้เป็นคุณชายหลี่! ยังจำได้ว่าครั้งนั้น ‘คืบศอกขอบฟ้า’ ของตระกูลหลี่เป็นเพลงดาบนามกระฉ่อนใต้หล้าทีเดียว
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
คล้ายเป็นการยกย่อง แต่กลับเป็นคำพูดหยั่งเชิง
“นายกองหลิวชมเกินไปแล้ว! ตระกูลหลี่ไม่เหลืออยู่อีกแล้ว เวลานี้ข้าน้อยเป็นเพียงแค่หลี่จวิ้นชางเท่านั้น”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
วาจาไม่พินอบพิเทาทั้งไม่ยโส กระทั่งฟังความลังเลหรือเจ็บปวดไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
………………………………………
……….