ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 449 ใจเดิมปราดเปรื่อง-1
บทที่ 449 ใจเดิมปราดเปรื่อง-1
……….
“ท่านอ๋อง ดูเหมือนว่าหลี่จวิ้นชางจะเป็นผู้รอดชีวิตเพียงผู้เดียวของตระกูลหลี่ในครานั้นโดยมิต้องสงสัยพ่ะย่ะค่ะ”
ซุนเต๋ออวี่พูดกับเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยา
“ข้าได้ยินแล้ว”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเอ่ยพลางเอนตัวไปพิงข้างหลัง แหงนหน้าขึ้นมองคานบนเพดาน
“เหวินทิงไป๋ไม่ได้พูดความจริง”
ซุนเต๋ออวี่พูดต่อ
“เช่นนั้นเจ้าว่าเหตุใดเขาต้องโป้ปดเล่า คนเราพูดเท็จต้องมีเป้าหมายเป็นแน่ ปกปิดว่าตระกูลหลี่ไม่ได้ตายไปจนหมด คำเท็จนี้ที่แท้แล้วจะนำประโยชน์ใดมาให้เขา”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาถาม
แม้คล้ายว่ากำลังถามซุนเต๋ออวี่ แต่กลับเหมือนถามตนเองมากกว่า
“รัฐหงมีตระกูลใหญ่เพียงสองตระกูลเท่านั้น ซึ่งคือจวนชิงกับตระกูลหลี่ เหวินทิงไป๋เป็นผู้ควบคุมรัฐ รับคำสั่งจากท่านอ๋อง ปกปักษ์รักษาดินแดนของท่านอ๋อง ย่อมต้องเป็นกลาง ไม่ควรโอนเอนไปข้างใดข้างหนึ่งจึงจะถูก เพราะผู้ควบคุมรัฐเป็นฝ่ายทางการ ส่วนจวนชิงกับตระกูลหลี่แม้จะแข็งแกร่งเพียงใดก็เป็นตระกูลสามัญชน มีคำว่าไว้แต่โบราณ ‘สามัญชนไม่ขัดแย้งกับทางการ สามัญชนไม่ต่อสู้กับทางการ’ ฉะนั้นต่อให้จวนชิงร่วมมือกับตระกูลหลี่เพียงใดก็ยังควรนอบน้อมต่อผู้ควบคุมรัฐเข้าไว้จึงจะถูก เขาทำเช่นนี้นับว่าทำผิดต่อความเชื่อมั่นที่ท่านอ๋องมีต่อเขายิ่งพ่ะย่ะค่ะ…”
ซุนเต๋ออวี่นิ่งคิดพักหนึ่งจึงเอ่ยปาก
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาฟังอยู่ในหู เพียงยิ้มเล็กน้อยไม่บอกว่าใช่หรือไม่
ก่อนนี้เขารู้สึกมาโดยตลอดว่าซุนเต๋ออวี่เป็นคนตรงไปตรงมา หาคำตอบจากข้อเท็จจริง
นึกไม่ถึงว่าจะเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์เช่นกัน…
เมื่อครู่ตนสอบถามความเห็นเขาจริงๆ ดูเหมือนซุนเต๋ออวี่จะพูดออกมามากมาย แต่อาจเป็นข้อเท็จจริงที่รู้อยู่แล้ว หรือไม่ก็ถูไถไปตามน้ำ
ทว่ากลับไม่ได้ตอบคำถามสองข้อที่ตนถามเมื่อครู่นี้เลยสักคำ
สุดท้ายยังบอกว่าผิดต่อความเชื่อมั่นที่ตนมีให้…
นี่ก็เป็นการพูดอ้อมๆ ว่าตัวเขาเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาตาบอดไม่ใช่หรือ
ที่ให้คนเชื่อถือไม่ได้มานั่งตำแหน่งที่ต้องดูแลรัฐหง ซึ่งเป็นดินแดนสำคัญเช่นนี้
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาทอดถอนใจอยู่ในอกเงียบๆ…
ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใด เรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็ก สุดท้ายก็เป็นเรื่องของตัวเขาเอง
ไม่ว่าจะทำผิดกี่มากน้อย ผิดใหญ่หลวงหรือผิดเล็กน้อย สุดท้ายก็เป็นความผิดของเขาเอง
คิดๆ ไป เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน เดิมทีนึกว่าห้าอ๋องร่วมกันปกครอง แต่ละคนต่างปกครองดินแดนตน
อยู่ใกล้ขนาดได้ยินเสียงไก่เสียงสุนัข แต่ไม่ไปมาหาสู่กันชั่วชีวิต นับเป็นเรื่องสุขใจเรื่องหนึ่ง
ตราบใดที่ไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องไม่เป็นเรื่อง ปัญหาต่างๆ ก็จะจางหายไปเอง
หลายปีมานี้ เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาทำตามความคิดนี้มาโดยตลอด
ปกครองอย่างไม่ถือสาหาความให้มากมาย
แต่ผู้ควบคุมรัฐ ผู้ว่าการหัวเมืองและเหล่าตระกูลใหญ่พวกนี้กลับใช้ความใจคอกว้างขวางของตนเป็นข้ออ้างให้กำเริบเสิบสาน ซ้ำยังหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ
จนบัดนี้ แม้แต่ผู้ควบคุมรัฐก็ยังไม่มีความจริงใจและไม่พูดความจริงกับตน…
เรื่องที่เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาประหลาดใจที่สุดกลับไม่ใช่เรื่องที่เหวินทิงไป๋ผู้ควบคุมรัฐหงหลอกลวงตน
แต่เพราะคำเท็จนี้ไม่ส่งผลดีใดต่อเขาเลย
พูดเท็จล้วนเพื่อหวังผลประโยชน์
หากชายแดนเกิดสงคราม ผู้ว่าการและผู้สั่งการหัวเมืองเหล่านั้นก็มักรายงานต่อเบื้องบนว่ามีคนบาดเจ็บล้มตายมากมายเพื่อหวังเงินบำรุงขวัญทหาร แต่ยามรายงานต่อเบื้องล่างกลับแทบไม่เอ่ยถึงคนเจ็บคนตายเพื่อจะได้อมเงินเบี้ยหวัดจนหมด
ว่ากันตามจริงแล้วเรื่องทำนองนี้ก็เป็นเช่นนี้ทั้งสิ้น
แต่ขอเพียงไม่ทำเกินงามจนเห็นชัดเกินไป เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาก็จะหลับตาข้างหนึ่งแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
เมื่อฝ่ายอำนาจใหญ่เหล่านี้ไม่เปลี่ยนแปลง กิ่งก้านข้างๆ ก็น่าจะแออัดน้อยลงบ้าง ถือเป็นการให้น้ำและของหวานแก่พวกเขาสักเล็กน้อย
ไม่เช่นนั้น เมื่อรอจนถึงหนหน้า ผู้ใดจะยังขายชีวิตให้เจ้าอีก
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาคิดว่านี่เป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่งในการซื้อใจคน
ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องที่เขาเป็นกังวลก็หาใช่ตนเอง
เขามีบัญชีที่ชัดเจนอยู่ในใจ ไม่ว่าเวลาใด ต้องการลงมือกับผู้ใดหรือกำจัดผู้ใดให้สิ้นซาก ก็หยิบออกมาใช้ได้ตลอดเวลา ไม่ได้เสียเวลาแต่อย่างใด
นับแต่สงครามครั้งก่อนจนถึงบัดนี้ก็อยู่ดีมีชีวิตที่สงบสุขมาเกือบสิบปีแล้ว
แม้เหล่ายอดทหารและแม่ทัพกล้าในศึกครานั้นจะสามารถต่อกรได้หนึ่งต่อร้อย ขยายอาณาจักรจนได้บำเหน็จรางวัล แต่เมื่อถึงยามสุขสงบก็กลับกลายเป็นเนื้อร้ายหลายก้อนในโลกหล้านี้
บิดาอาศัยผลงานของตน บุตรชายอาศัยความชอบทางทหารของบิดา
ยกตนข่มท่าน วางอำนาจบาตรใหญ่รุ่นแล้วรุ่นเล่า สุดท้ายกลายเป็นภัยร้าย
แต่ปากคอของผู้คนในใต้หล้ากลับไม่ไปด่าทอผู้คนที่ทำให้ชื่อเสียงของวังเจิ้นเป่ยอ๋องต้องเสื่อมเสีย
อย่างมากก็แค่บ่นไม่กี่ประโยค แต่ภายหลังกลับหาต้นตอหลักมารับผิดชอบ จึงเอาแต่พร่ำบ่นอยู่ทุกวันว่าเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาไม่มีมนุษยธรรมเอาเสียเลย!
พวกบ่าวที่เป็นสุนัขรับใช้ก็ล้วนเป็นดังนี้ แค่คิดก็รู้ว่าต้องโง่เขลาเป็นแน่
เมื่อคิดได้ดังนี้ สำหรับเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาแล้ว คำว่า ‘ล่องลอยไร้แก่นสาร ‘ กลับเป็นคำชมเชยเสียอีก
ล่องลอยไร้แก่นสารเป็นก้าวแรกของคำว่าโง่เขลา
แต่ระดับชั้นยังห่างไกล และไม่ลึกล้ำเท่าอย่างหลังมากทีเดียว
เรื่องความขี้เกียจของตนนี้ เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยารู้ดีอยู่แก่ใจ
แต่แม้จะเป็นดังนั้น เขาก็ไม่อยากเป็นท่านอ๋องที่โง่เขลา…
สตรีงามตราบวันตาย ใช่ว่าจะไม่แก่ชรา
แล้วซ่างกวนซวี่เหยาผู้เป็นเจิ้นเป่ยอ๋องจะไม่เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
ล่องลอยไร้แก่นสารก็ล่องลอยไร้แก่นสารยามอยู่ในตำแหน่งอ๋องนี้เท่านั้น
แต่หากว่าไม่เอาการเอางานไปเสียทุกเรื่องจริงๆ เขาก็คงไม่ยืดอกไปร่วมมือกับอีกสี่อ๋องล้มราชบัลลังก์ช่วงชิงใต้หล้าเมื่อยี่สิบปีก่อน
แต่เมื่อใดที่มีคนสั่นสะเทือนการวางตัว ‘ล่องลอยไร้แก่นสาร’ ของเขา และทำให้เขาสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามจริงๆ แล้ว ซ่างกวนซวี่เหยาก็ยังคงเป็นเจิ้นเป่ยอ๋องผู้อยู่เหนือคนทั้งปวง ไม่ใช่พวกไม่เอาการเอางานที่ไปตกปลาในบ่อห่านป่าสีชาดหรือฟังละครร้องอยู่ในสวนหลังวังอ๋อง
ซุนเต๋ออวี่ยืนอยู่ที่โต๊ะ เขาเห็นว่าสีหน้าของเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
สีหน้าเช่นนี้เขาเคยเห็นเป็นครั้งที่สอง
ครั้งแรกคือไม่นานมานี้ หลังจากที่เสี่ยวลี่ตาย
จนบัดนี้ นี่เป็นครั้งที่สอง
ซุนเต๋ออวี่ยืนตัวตรง
แต่ในใจกลับรู้สึกไม่ดี
ด้านหนึ่งเขาเข้าใจยิ่งว่าการเป็นผู้นำคนของท่านอ๋องผู้นี้ไม่ง่ายดาย แต่อีกด้านหนึ่งกลับเป็นกังวลว่าตนเองจะต้องเผชิญกับชะตาเช่นเดียวกับเสี่ยวลี่และเหวินทิงไป๋เข้าสักวัน…
“เรื่องของรัฐหง ในเมื่อมาแล้วก็จัดการให้เรียบร้อยเถิด”
เนิ่นนานจากนั้น
ประโยคนี้ก็โพล่งออกจากปากของเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยา
เขาเอ่ยอย่างผ่อนคลายยิ่ง
น้ำเสียงแทบไม่ต่างกับเวลาล้อเล่นยามปกติ
แต่ยามฟังอยู่ในหูของซุนเต๋ออวี่ เขากลับต้องสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว…
เวลานี้เป็นปลายวสันต์
อากาศอบอุ่นขึ้นทุกวัน
ประกอบกับระดับพลังยุทธ์ของซุนเต๋ออวี่ ต่อให้อยู่ในช่วงที่หนาวที่สุด เพียงเสื้อตัวเดียวห่อกายก็จะไม่รู้สึกหนาวแม้แต่น้อย
แต่ความรู้สึกที่คำพูดนี้ส่งมาให้เขา กลับเป็นความหนาวเหน็บจากภายในสู่ภายนอก
เริ่มจากที่หัวใจซึ่งเป็นที่อบอุ่นที่สุดในร่างกายเขา
ทุกคราวที่ชีพจรเต้นและเลือดที่ไหลมายังอวัยวะภายใน รวมถึงตามกระดูกแขนขาทั้งสี่คล้ายว่ามีเกล็ดน้ำแข็งเกาะอยู่…
เลือดที่ไหลไปตามกล้ามเนื้อทั่วร่างนี้ ราวกับมีดฟันเลื่อยเล็กๆ หลายเล่มที่บาดจากข้างในกายของซุนเต๋ออวี่จนเจ็บปวดไปหมด
ด้วยจนหนทาง…ซุนเต๋ออวี่ทำได้เพียงเคลื่อนพลังปราณมาต้านทานความไม่สบายในกายนี้
เมื่อพลังปราณจากอินหยางสองขั้วปะทุขึ้นก็ปะทะกับเลือดสดในกายจนปะปนกันเหมือนเจอทางตัน ยากจะแยกจากกันได้…
เขาเคลื่อนพลังปราณจำนวนมากเพื่อหวังจะทลายกำแพงกั้นนี้ให้ได้ในคราวเดียว แต่หลังจากปะทะครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ยังไร้ผลต้องล่าถอย
ทุกจุดลมปราณและจุดต่างๆ ทั่วกายเริ่มร้อนขึ้นช้าๆ
เวลานี้ความรู้สึกเจ็บปวดค่อยๆ เลือนหายไป แต่สิ่งที่มาแทนที่ก็คล้ายกับแมลงเล็กๆ นับไม่ถ้วนกำลังกัดกินกล้ามเนื้อของเขา
ความปวดเมื่อยและคันคะเยอภายในกายกลับไม่รุนแรงเช่นความเจ็บปวดที่เป็นอยู่ก่อนหน้านี้
“เจ้าเป็นอันใดไป”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาถาม
เขาสังเกตได้ถึงความผิดปกติของซุนเต๋ออวี่
แต่ซุนเต๋ออวี่ตอนนี้ แม้แต่พูดก็ยังพูดไม่ออก
ถ้าคลายฟันที่กัดเอาไว้แม้เพียงน้อย ฟันก็จะสั่นอย่างห้ามไม่ได้และเกิดเป็นเสียง ‘กรอดๆ’
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาย่อมคาดไม่ถึงว่า คำที่เขาเอ่ยอย่างบางเบาเมื่อครู่นี้ กลับส่งผลรุนแรงต่อซุนเต๋ออวี่เพียงนี้
เขาเพียงแค่ใคร่รู้ว่าเหตุใดก่อนหน้านี้ซุนเต๋ออวี่ยังพูดเป็นน้ำไหลไฟดับ แต่เวลานี้กลับไม่พูดสักคำ
“ทูลท่านอ๋อง…กระหม่อมไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ!”
ซุนเต๋ออวี่กล่าว
คำพูดนี้ฟังแล้วอึดอัดอย่างยิ่ง
หากไม่ใช่เพราะน้ำเสียงค่อนข้างสูงวัย ก็เหมือนกับเด็กน้อยที่เพิ่งหัดพูด
“เจ้าดื่มมากไปแล้วใช่หรือไม่”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าวด้วยรอยยิ้ม
พร้อมกับโน้มตัวมามองซุนเต๋ออวี่อย่างมีอารมณ์ยิ่งและกล่าวว่า
“เจ้าผายลม! สุราสองกานั้นข้าให้เจ้าดื่มเสีย แต่เจ้ากลับไม่ได้ดื่ม! แล้วจะดื่มมากไปได้อย่างไร”
ซุนเต๋ออวี่ต้องปิดปากเงียบเมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ….
เขาย่อมไม่อาจพูดได้ว่าที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะความหวาดกลัว
จึงทำได้เพียงยิ้มขัดเขิน เพราะดูดีกว่าร้องไห้เล็กน้อย
………………………………………