ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 450 ใจเดิมปราดเปรื่อง-2
บทที่ 450 ใจเดิมปราดเปรื่อง-2
……….
“เจ้าไม่เป็นอันใดจริงหรือ”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาถามอีกครั้ง
เพราะเห็นท่าทางและสีหน้าที่ค่อนข้างสับสนของซุนเต๋ออวี่…
“ทูลท่านอ๋อง กระหม่อมไม่เป็นอันใดจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ!”
ซุนเต๋ออวี่กล่าว
“คนข้างล่างนั่น เจ้ารู้จักหรือไม่”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาถาม
“เหวีนฉีเหวินบุตรชายของเหวินทิงไป๋ผู้ควบคุมรัฐหง เขาเคยพบกับกระหม่อมครั้งหนึ่ง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขายังจำกระหม่อมได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ซุนเต๋ออวี่กล่าว
“น่าเสียดาย…”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเอ่ยทั้งส่ายหน้า
“ท่านอ๋องเสียดายสิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ”
ซุนเต๋ออวี่ถามอย่างไม่เข้าใจ
เวลานี้ภายในกายเขาผ่อนคลายลงทั้งหมดแล้ว
มีอยู่ครู่หนึ่งที่ค่อนข้างอ่อนแรง แม้แต่ดวงตาทั้งคู่ก็ยังทะเลาะวิวาทกันอย่างห้ามไม่ได้
“น่าเสียดายที่เจ้าไม่ใช่แม่นางโฉมงาม เขาต้องไม่มีวันลืมเจ้าได้แน่!”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
“กระหม่อมเป็นตาเฒ่าคนหนึ่ง…พวกคนหนุ่มเห็นกระหม่อม ไม่เพียงจดจำไม่ได้ ต่อให้จำได้ก็คงอยากจะลืมเสียให้ได้พ่ะย่ะค่ะ!”
ซุนเต๋ออวี่ยิ้มกล่าวค่อนแคะตนเอง
“แต่แม่นางน้อยงดงามก็อาจเป็นสตรีในหอนางโลม ส่วนตาเฒ่ากลับเป็นถึงผู้ถวายงานวังอ๋อง หากให้เจ้าเลือก เจ้าจะเป็นสตรีในหอนางโลมหรือเป็นผู้ถวายงานวังอ๋อง”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาถาม
“กระหม่อมไม่เลือกได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ เพราะทั้งสองอย่างนี้กระหม่อมล้วนไม่ชอบทั้งสิ้น …”
ซุนเต๋ออวี่กล่าว
คำตอบนี้กลับอยู่นอกเหนือความคาดหมายของเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยา
เดิมทีเขานึกว่าซุนเต๋ออวี่จะเลือกอย่างหลัง ซึ่งก็คือผู้ถวายงานวังอ๋องโดยไม่ลังเล
แม้จะเป็นการประจบสอพลอก็ยังควรกล่าวเช่นนี้
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าไม่ลองถามข้าบ้าง”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
“นอกจากท่านจะเป็นท่านอ๋องแล้ว ท่านยังอยากเป็นสิ่งใดอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ซุนเต๋ออวี่ถาม
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยายิ้มไม่ตอบ
แต่เขากลับตอบคำถามของซุนเต๋ออวี่อยู่ในใจแล้ว
หากไม่ได้เป็นอ๋อง เขาอยากเป็นบัณฑิตมากที่สุด
ไม่ใช่พวกคร่ำครึคงแก่เรียน แต่เป็นบัณฑิตที่ได้อ่านหนังสือนับพันม้วน ได้เดินทางไปทั่วใต้หล้า ร่ำเรียนวิชาที่นำไปใช้ได้จริง
สองท่านอ๋องแห่งแดนพายัพ เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาและติ้งซีอ๋องฮั่ววั่งกลับแตกต่างกัน
ครั้งนั้นเขาใช้ตำแหน่งทั่นฮวา[1]สอบเข้าไปเล่าเรียนในหอทรงภูมิได้ทีเดียว
หากไม่ว่ากันเรื่องตัวอักษรและน้ำหมึก อย่างน้อยศิลปะสี่แขนงก็เป็นเรื่องชำนาญมือ ไม่มีทางด้อยกว่าเจ็ดหัตถเทวะบุ๋น ซึ่งเป็นดาวดวงใหม่จากงานประชันบุ๋นที่เจิดจรัสที่สุดเป็นแน่
หากมองมือข้างขวาของเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาให้ถี่ถ้วน จะมีก้อนที่เป็นไตอยู่ตรงข้อนิ้วชี้และนิ้วกลาง บนนั้นมีหูดหนาๆ คลุมอยู่
มีเพียงมือของบัณฑิตที่ถือพู่กันจึงจะเป็นเช่นนี้
“ข้าเขียนอักษรได้งดงามนัก หากไม่ได้เป็นอ๋อง ข้าอยากไปเขียนตัวอักษร”
สุดท้ายเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาก็ยังตอบคำถามซุนเต๋ออวี่
สิ้นเสียงก็แผ่กระดาษออกและฝนหมึก เมื่อพู่กันใหญ่สะบัดคราวหนึ่งก็เขียนอักษรออกมาสามตัว
“ซุนเต๋ออวี่? นามของกระหม่อม?”
ซุนเต๋ออวี่มองอักษรสามตัวบนกระดาษและเอ่ยด้วยความสงสัย
“ใช่ เป็นนามของเจ้า!”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
อักษรทั้งสามตัวนี้ดูคล้ายหงส์ระบำมังกรฟ้อน งดงามเกินจริง
แต่ภายในกลับเชื่อมโยงกัน ลดเลี้ยวขึ้นลงอย่างมีจังหวะ
อักษรทั้งสามตัวประคับประคองซึ่งกันและกัน ประสานรวมกันอย่างกลมกลืน ไม่อาจขาดไปแม้สักตัว
“คนที่เขียนอักษร ไม่ว่าเป็นอักษรตัวใดก็ย่อมเขียนได้ทั้งสิ้น หากเจ้าไม่ยินยอมให้ข้าเขียนนามของเจ้า เช่นนั้นข้าก็จะเขียนข้างหลังว่า ‘เต่า[2]ทะเล’?”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากล่าว
แม้ซุนเต๋ออวี่จะไม่รู้ว่า ‘เต่าทะเล’ คือสิ่งใด แต่ไม่ว่าสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับเต่าต้องไม่ใช่ของดีเป็นแน่
จุดนี้ซุนเต๋ออวี่มั่นใจอย่างยิ่ง
“อย่าดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ! นามของกระหม่อมดีอย่างยิ่ง…กระหม่อมชอบนามตนเอง!”
ซุนเต๋ออวี่กล่าว
“ให้เจ้า!”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเอ่ยอย่างสบายใจยิ่ง
อยู่ดีๆ กลับได้รับลายมือล้ำค่าของท่านอ๋องมาแผ่นหนึ่ง สำหรับเขาแล้วนี่นับเป็นเรื่องน่ายินดี
ซุนเต๋ออวี่พับแผ่นตัวอักษรนี้อย่างระมัดระวัง ก่อนเอาใส่ช่องในแขนเสื้อ
“หากเจ้าชื่นชอบนามของเจ้า สองสามวันนี้มีเวลาว่างข้าจะเขียนให้เจ้าวันละแผ่น!”
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเห็นท่าทีแสนระมัดระวังของซุนเต๋ออวี่ก็อดกระเซ้าขึ้นมาไม่ได้
“ไม่ต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ…แผ่นเดียวก็พอแล้ว”
ซุนเต๋ออวี่โบกไม้โบกมือพลางเอ่ย
แม้จะเป็นนามของตน แต่ก็คงไม่อาจเอาไปแขวนอยู่ทุกแห่งกระมัง
หากให้คนเห็นเข้า จะต้องหัวเราะจนฟันร่วงเป็นแน่!
ในขณะที่ซุนเต๋ออวี่กำลังปฏิเสธอยู่นั้น เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากลับแผ่กระดาษออกมาอีกแผ่นหนึ่ง แต้มหมึกกระหวัดพู่กัน เขียนตัวอักษรอีกแผ่นหนึ่ง
“ใจเดิมปราดเปรื่อง”
ซุนเต๋ออวี่มองตัวอักษรบนกระดาษ แต่กลับไม่รู้ความหมายที่อยู่ในนั้น
เหมือนจะไม่ใช่ถ้อยคำที่ครบสมบูรณ์ แต่เป็นเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาขืนจับมารวมกันเอง
ในเมื่อเป็นคำที่สร้างขึ้นมาใหม่ ดังนั้นความหมายที่แฝงอยู่ก็ต้องมีแต่ตัวเขาเองที่จะอธิบายได้ชัดเจน
หลังเขียนเสร็จ เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาก็นิ่งเหม่อมองตัวอักษรที่ตนเองเขียนขึ้น
‘ใจเดิม’ คือ เจตนารมณ์ดั้งเดิม
‘ปราดเปรื่อง’ แต่ไรมาก็คือผู้มีปัญญาและความสามารถที่พิเศษ
เมื่อซุนเต๋ออวี่แยกตัวอักษรทั้งสี่ ก็เหมือนพอจะเข้าใจความคิดอ่านของเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาในภาพกว้างๆ ได้
ความปรารถนาดั้งเดิมในใจ ชาตินี้เกรงว่ายากจะได้ดังหมาย
แต่กลับไม่อาจกล่าวโทษชะตาฟ้าดิน จึงพูดได้แค่ว่าตนมีภาระของผู้ที่มีปัญญาและความสามารถเหนือคน จึงไม่อาจรักษาเจตนารมณ์ดั้งเดิมนั้นเอาไว้ได้
ในจังหวะที่ซุนเต๋ออวี่เข้าใจขึ้นมานั้น เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาก็ดึงภาพอักษรแผ่นนี้มาม้วนเก็บเอาไว้
“ไม่ได้เขียนตัวอักษรมานาน พวกเราเก็บไว้คนละแผ่น!”
พูดจบยังเอาหัวไหล่ชนตัวซุนเต๋ออวี่
ด้วยท่าทีใกล้ชิดเหมือนพี่น้องที่สนิทคุ้นเคยอีกด้วย
……………………………..
ในโถงใหญ่ชั้นล่าง
หลิวรุ่ยอิ่งเข้าร่วมบรรยากาศแห่งวงสนทนาได้อย่างรวดเร็ว
สายตาของชิงเสวี่ยชิงและเหวินฉีเหวินคอยวนเวียนอยู่ที่ตัวเขาตลอดเวลา
สำหรับหนุ่มสาวคู่นี้แล้ว คำว่ากรมสอบสวนเป็นตัวอักษรที่ไม่คุ้นเคยและลึกลับที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
เหวินฉีเหวินพอจะเคยได้ยินคำว่ากรมสอบสวนผ่านหูจากทางบิดาของตนมาบ้าง
แต่ชิงเสวี่ยชิงกลับเป็นกระดาษขาวว่างเปล่าแผ่นหนึ่ง ไม่เคยรู้เรื่องใดๆ ทั้งสิ้น
ก่อนหน้านี้ได้ยินพี่ชายของตนเองเรียกหลิวรุ่ยอิงว่านายกองหลิว นางก็รู้สึกว่าประหลาดนัก
หลังจากกระซิบถามเหวินฉีเหวินเบาๆ จึงได้รู้ว่ากรมสอบสวนอยู่ในเมืองหลวง
ที่นั่นนับเป็นจุดศูนย์กลางของใต้หล้าทีเดียว!
สำหรับเด็กสาวที่ยังมีนิสัยใจคอเป็นเด็กน้อยผู้หนึ่ง กรมสอบสวนหรือนายกองอันใดนั่นล้วนไม่เกี่ยวข้องกับนาง
แต่ความเจริญนานับประการในเมืองหลวงต่างหากจึงคือจุดมุ่งหมายที่นางปรารถนาอยู่ในใจเป็นที่สุด
หากไม่ใช่เพราะหลิวรุ่ยอิ่งกำลังสนทนากับพี่ชายของนางอย่างครึกครื้น ชิงเสวี่ยชิงก็จะต้องถามแทรกถึงเรื่องราวต่างๆ ของเมืองหลวงไปแล้ว
“นายกองหลิวเดินทางครั้งนี้ลำบากยิ่ง…ชาวแดนเจิ้นเป่ยอ๋องเช่นข้าที่มีบรรพบุรุษอยู่ในรัฐหงต้องขอบคุณท่านแล้ว!”
นายท่านจินกล่าว
“นายท่านจินไม่ต้องมากพิธี! กรมสอบสวนต้องสอบสวนทั่วหล้า นี่เป็นหน้าที่รับผิดชอบของข้าอยู่แล้ว ไม่ต้องเอ่ยขอบคุณหรือไม่ขอบคุณอันใด!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวอย่างสุภาพอ่อนโยน
“ยิ่งไปกว่านั้น ร้านของเถ้าแก่เนี้ยก็อบอุ่นยิ่งนัก! ทำเอาข้าอยู่แล้วไม่อยากจากไปเลย!”
หลิวรุ่ยอิ่งเปลี่ยนหัวข้อทันใด และกลับล้อเล่นขึ้นมา
“แต่เจ้ายังติดค้างเงินอยู่ไม่น้อย!”
เถ้าแก่เนี้ยได้ฟังก็กลอกตามองบน เอ่ยโพล่งออกมาทันใด
“พี่น้องแท้ๆ ต้องจดบัญชีชัดเจน! แต่โบราณมาเรื่องผลประโยชน์มักทำให้เกิดเรื่องมากมาย ท่านดูสิเถ้าแก่เนี้ยพูดเรื่องติดค้างเงินกับข้าตรงไปตรงมาเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าหาได้เห็นข้าเป็นคนอื่นคนไกล!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ทุกคนมารวมกันที่เหมืองแร่ด้วยเรื่องของเบี้ยหวัด นับเป็นการรวมเหล่ายอดฝีมือ! น้องพี่ หนี้ของนายกองหลิว ข้าจะคืนให้เอง เจ้าอย่าเอามาพร่ำบ่นอีกเลย!”
นายท่านจินกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่าเถ้าแก่เนี้ยเบ้ปากสีหน้าไม่พอใจยิ่ง
ริมฝีปากยังคงขยับอยู่ ทว่าแต่ต้นจนจบก็ยังไม่ได้เค้นคำพูดใดออกมา
“คุณชายเหวินอายุยังน้อยแต่กลับรับหน้าที่สำคัญถึงเพียงนี้ นับว่าเก่งกาจแต่เยาว์วัยโดยแท้!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ท่านพ่อจำเป็นต้องอยู่ดูแลในหัวเมืองรัฐหง ไม่มีเวลาปลีกตัวได้จริงๆ จึงทำได้เพียงให้ข้ามาแทน แต่ทุกสิ่งก็ยังต้องให้ท่านพี่ชิงเป็นคนตัดสินใจเป็นหลักขอรับ”
เหวินฉีเหวินกล่าว
“เรื่องสำคัญถึงเพียงนี้ ท่านผู้ควบคุมรัฐเหวินก็ยังส่งคุณชายมา เห็นทีคุณชายจะต้องมีความสามารถเหนือผู้อื่นเป็นแน่!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
หาได้มีท่าทีเกรงอกเกรงใจเหมือนกับที่มีต่อนายท่านจิ้นเมื่อครู่นี้
กลับพยายามบีบให้เหวินฉีเหวินสนทนากับตนเองต่อไป
“ในหมู่คนรุ่นหนุ่มสาวของรัฐหง เพลงดาบของคุณชายเหวินก็นับว่าอยู่เหนือคนในรุ่นเดียวกัน! ในเมื่อผู้ควบคุมรัฐเหวินส่งบุตรชายของตนมา ก็แสดงให้เห็นว่าให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากเพียงใด เนื่องจากรัฐหงเป็นรัฐที่มีกิจนานามากมาย เมื่อผู้ควบคุมรัฐเหวินมอบหมายงานครบถ้วนแล้วจะต้องเดินทางมาด้วยตนเองเป็นแน่”
นายท่านจินเอ่ย
เป็นการช่วยแก้สถานการณ์ให้เหวินฉีเหวิน
ในเวลาเดียวกันก็เป็นการหาคำอธิบายที่ดีที่สุดให้กับเหวินทิงไป๋ผู้ควบคุมรัฐหงที่ไม่ได้มาเหมืองแร่ด้วยตัวเองอีกด้วย
………………………………………
[1] ทั่นฮวา คือ ผู้ที่สอบได้เป็นอันดับสามของการสอบบัณฑิตระดับสูงสุด อันดับหนึ่งคือจอหงวน อันดับที่สองคือปั้งเหยี่ยน
[2] เต่า เป็นคำแสลง หมายถึง โง่
……….
ที่ถูกล็อกด้วยเหรียญระบบจะใช้เหรียญปลดล็อกตอนต่อไปโดยอัตโนมัติ
• เมื่อเหรียญทองหมด สามารถเติมเงินแล้วอ่านต่อได้เลย ไม่สะดุด
• ……….จะเป็นการตั้งค่ารายเรื่อง และปิดโหมด อัตโนมัติเมื่อออกจากหน้าการอ่านนิยายเรื่องนั้น
อ่านน้อยลง
ปุ่มที่ 1 ใน 4 สารบัญ
ปุ่มที่ 2 ใน 4 ความคิดเห็น
ปุ่มที่ 3 ใน 4 ตอนก่อนหน้า
ปุ่มที่ 4 ใน 4 ตอนถัดไป
0
บทที่ 451 เหมาะควรปราดเปรื่อง-1
……….
“เหตุใดพวกเขาจึงไล่ตามเจ้าไม่หยุดเสียที”
ไกลออกไป ห่างจากเหมืองแร่อีกร้อยกว่าลี้
รถม้าคันหนึ่งแล่นไปไม่ช้าไม่เร็ว
เจ้าหมิงหมิงถามแม่นางน้อยผู้นั้นอยู่ภายในรถ
แม่นางน้อยผู้นี้ ย่อมต้องเป็นแม่นางที่ถูกสำนักปากสอบไล่ล่าสังหาร
คืนวันนั้น หลังจากเจ้าหมิงหมิงช่วยนางที่นอนจมกองเลือดอยู่ไว้ ก็กลับไปพบกับจิ้งเหยาเข้า
ไม่รู้ว่าพวกนางซึ่งเป็นสตรีสามคนหนีรอดออกมาได้อย่างไร สรุปก็คือเวลานี้พวกนางอยู่ในรถม้าคันหนึ่ง
ตลอดทางมานี้ ไม่ว่าเจ้าหมิงหมิงจะสนทนากับแม่นางน้อยอย่างไร นางก็ไม่ตอบ
เจ้าหมิงหมิงนึกว่านางเสียเลือดมากเกินไปและได้รับความกระทบกระเทือนใจ จึงมีอาการผิดปกติไปเล็กน้อย
แต่หากนางได้เห็นภาพตอนแม่นางน้อยดื่มสุรากับจิ้งเหยาในโรงเตี๊ยมก่อนหน้านี้ เกรงว่านางคงไม่คิดเช่นนี้แล้ว…
ไม่ใช่แค่คำถามเหล่านี้เท่านั้น แม้แต่หิวหรือไม่ กระหายหรือไม่ แม่นางน้อยก็ยังไม่ตอบ
ดีที่เจ้าหมิงหมิงเป็นคนละเอียดอ่อน
เวลาที่นางดื่มน้ำก็จะส่งกาน้ำให้แม่นางน้อยก่อน
แม่นางน้อยรับกาน้ำไป ไม่แม้แต่จะมอง ก้มหน้าก้มตาดื่มจนหมด
ไม่ว่าในกาน้ำนั้นจะมีน้ำอยู่เท่าไรก็ล้วนเป็นเช่นนี้
กาน้ำของเจ้าหมิงหมิงไม่นับว่าเล็กแต่อย่างใด
อย่างน้อยก็สามารถใส่น้ำได้ถึงสองชั่งกว่า
น้ำสองชั่งกว่า แต่กลับกรอกเข้าไปในร่างกายที่เล็กเพียงนี้ได้ในคราวเดียว เจ้าหมิงหมิงคิดไม่ออกเลยว่านางทำได้อย่างไร
เกาลัดคั่วน้ำตาลเห็นภาพนี้กลับเกิดความคิดพิเรนทร์ขึ้นมาด้วยความซุกซน
แน่นอนว่าเจ้าหมิงหมิงปฏิเสธ
เรื่องชั่วร้ายเช่นนี้ ครั้งอยู่บนเขาเรียงรันตอนนางเพิ่งกลายร่างเป็นมนุษย์ก็เคยทำมาก่อน
เปลี่ยนน้ำให้เป็นสุราและใส่ดินหยิบมือหนึ่งในสุรา
ตอนนั้นรู้สึกว่าน่าสนุกยิ่ง แต่เวลานี้นางผ่านพ้นช่วงอายุแห่งการเล่นตลกร้ายมาแล้ว
แต่เกาลัดคั่วน้ำตาลไม่คิดเช่นนั้น…
นางรู้สึกมาตลอดว่าการเห็นคนลำสักเป็นเรื่องสนุกอย่างยิ่ง
นอกจากคุณหนูของตนที่นางไม่เคยแกล้ง ไม่ว่าผู้ใดทั่วทั้งเขาเรียงรันเมื่อได้พบกับนางล้วนอยากเดินอ้อมไปให้ไกลทั้งสิ้น
หากหลบไม่พ้นจริงๆ ก็จะแค่พยายามยิ้มให้และพูดจาเกรงใจมีไมตรีสองสามคำ
ตลอดเส้นทางผ่านเมืองมาแล้วสี่ห้าเมือง
ตอนถึงเมืองที่เพิ่งผ่านมา เกาลัดคั่วน้ำตาลก็เปลี่ยนน้ำในกาเป็นสุรา
เจ้าหมิงหมิงไม่รู้ จึงยังคงยื่นไปให้แม่นางน้อยเช่นที่เคยทำ
พอเปิดกาน้ำออก กลิ่นสุราอบอวลก็พวยพุ่งไปทั่วทั้งคันรถในทันใด
เจ้าหมิงหมิงกำลังคิดจะทัดทาน แต่แม่นางน้อยก็กลับดื่มอั้กๆ เข้าไป…
เกาลัดคั่วน้ำตาลมองแม่นางน้อยด้วยรอยยิ้มร้าย
แต่ไม่นานจากนั้นรอยยิ้มร้ายนี้ก็กลายเป็นความตกตะลึง
เพราะแม่นางน้อยยังคงดื่มสุราสองชั่งกว่าลงท้องไปจนหมด ราวกับว่านางกำลังดื่มน้ำอยู่
ว่ากันตามหลักการแล้ว เมื่อแม่นางน้อยดื่มอย่างรวดเร็ว ก็ต้องมึนเมาขึ้นมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ต่อให้สามารถดื่มได้จนหมดก็ควรจะคอตกนอนหลับไปจึงจะถูก
แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไปมาก
นอกจากนางจะไม่หลับแล้ว ร่างกายนางก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
ยังคงนั่งอยู่เช่นนั้น ไม่พูดไม่จา
เจ้าหมิงหมิงคิดว่าหรือจะเป็นเพราะแม่นางน้อยผู้นี้เจ็บป่วย
ไม่เช่นนั้น คนทั่วไปไหนเลยจะเป็นเช่นนี้
น่าเสียดายที่เจ้าหมิงหมิงกับนางอยู่คนละเผ่าพันธุ์
เจ้าหมิงหมิงไม่รู้เรื่องการแพทย์ของมนุษย์เลยแม้แต่น้อย
ด้วยความจนใจ จึงทำได้แต่เดินทางอ้อมไปยังชานเมืองแห่งหนึ่ง
ในร้านขายยามีท่านหมอประจำอยู่คนหนึ่ง
เจ้าหมิงหมิงพาแม่นางน้อยไปให้ท่านหมอตรวจดูว่านางเป็นอะไรกันแน่
ท่านหมอตรวจอาการ ด้วยการสังเกต ดมกลิ่น สอบถาม และจับชีพจร
แต่แม่นางน้อยผู้นี้ใบหน้าแดงระเรื่อ สีหน้าสงบนิ่ง
ไม่เหมือนกำลังเจ็บป่วยทุกข์ทรมานเลยจริงๆ…
ท่านหมอเอ่ยถามอาการเจ็บป่วย แต่นางกลับไม่พูดสักคำ
จนถึงเวลานี้ เจ้าหมิงหมิงจึงเพิ่งพบว่าแม้แต่ตนเองก็ยังบอกไม่ถูกว่าแม่นางน้อยเป็นอะไรกันแน่
จะเป็นเพราะดื่มน้ำมากเกินไป ดื่มสุรามากเกินไป หรืออยากไปปลดทุกข์…
แต่เรื่องเหล่านี้จะนับว่าเป็นอาการเจ็บป่วยได้อย่างไร
หลังจากคิดไปคิดมา เจ้าหมิงหมิงจึงบอกความจริงกับท่านหมอไป
ท่านหมอฟังแล้วก็ตกตะลึงในทันใด ก่อนจะยิ้มออกมา
รอยยิ้มเช่นนี้กลับทำให้เกาลัดคั่วน้ำตาลไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง!
นางรู้สึกว่าท่านหมอคนนี้กำลังหัวเราะเยาะคุณหนูของตน
ทันใดนั้นจึงตบโต๊ะและลุกพรวดพราดขึ้นมา แทบจะเข้าไปดึงหนวดเคราบางๆ ของท่านหมอออกให้เกลี้ยงเสีย….
ท่านหมอผู้นี้เป็นหมอรักษาโรคภัยอยู่ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้มาตลอดชีวิต ไหนเลยจะเคยพบเห็นเรื่องเช่นนี้มาก่อน
จึงตกใจและลงไปหลบใต้โต๊ะทันที ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมออกมา…
เจ้าหมิงหมิงถลึงตาใส่เกาลัดคั่วน้ำตาลด้วยความโมโห
เกาลัดคั่วน้ำตาลรู้ว่าตนเองทำความผิด แต่ก็แค่แลบลิ้นออกมาอย่างจนปัญญาเท่านั้น
จวบจนเจ้าหมิงหมิงย่อตัวลง แล้วเอาตั๋วเงินที่ระบุเงินจำนวนมากใบหนึ่งวางไว้ตรงหน้าท่านหมอผู้นั้น เขาจึงยอมคลานงกๆ เงิ่นๆ ออกมาจากใต้โต๊ะ
ตั๋วเงินสองพันตำลึงใบหนึ่ง
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าวิชาแพทย์ของท่านหมอผู้นี้เป็นเช่นใด ต่อให้เป็นทั้งร้านขายยานี้ ก็ยังไม่คุ้มกับเงินจำนวนนี้
ยามตั๋วเงินกำอยู่ในมือ
ท่านหมอผู้นี้ก็หลงลืมความหวาดกลัว
กลับมาตรวจอาการอย่างมีสมาธิมากขึ้น
เจ้าหมิงหมิงรู้สึกอ่อนอกอ่อนใจ
แม้นางจะเข้าใจกฎเกณฑ์ในหล้าชัดเจนมานานแล้ว
แต่ทุกภาพที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาก็ยังทำให้นางรู้สึกเศร้าใจอยู่ดี
เงินสามารถทำให้ความหวาดกลัวที่เคยมีหายไปจนหมดสิ้น
หากเดิมทีไม่หวาดกลัว เช่นนั้นก็ยังสามารถทำให้เชื่อใจและมั่นใจได้มากขึ้นใช่หรือไม่
ในขณะที่เจ้าหมิงหมิงกำลังคิดอย่างใจลอยอยู่นั้น ท่านหมอก็ตรวจชีพจรให้แม่นางน้อยเสร็จแล้ว
“นาง…เป็นอันใดไปกันแน่”
เจ้าหมิงหมิงถาม
ท่านหมอลูบเคราของตนเอง เนิ่นนานไม่ตอบ
หัวคิ้วยู่ย่นจนมัดกันเป็นปม เหม่อมองหน้าโต๊ะซึ่งไม่มีสิ่งใดอยู่
“ยังมาแกล้งทำผีเข้าอยู่อีก…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลเบ้ปากพูด
นางมองเคราของตาเฒ่าผู้นี้ก็ยิ่งรู้สึกคันไม้คันมืออยู่ในใจ อยากถอนเคราของเขาออกทีละเส้นจนหมดจริงๆ
“แม่นาง อย่างไรท่านก็ไปหาผู้ที่เก่งกาจยิ่งกว่าเถิด…”
เนิ่นนานจากนั้น ท่านหมอก็พลันพูดออกมา
ไม่เพียงเท่านี้ เขายังเอาตั๋วเงินสองพันตำลึงที่เก็บไว้ในอกเสื้อก่อนหน้านี้ออกมาและคืนให้แก่เจ้าหมิงหมิง
เจ้าหมิงหมิงมองตั๋วเงินที่อยู่ตรงหน้า ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี…
นี่ตรวจโรคประสาอะไรกัน
สุดท้ายกลับเป็นเกาลัดคั่วน้ำตาลที่ไม่ขาดทุน
เพราะอย่างไรนางก็ได้ดูเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง
เจ้าหมิงหมิงเก็บตั๋วเงินกลับไปและคิดว่าท่านหมอผู้นี้ก็เป็นคนซื่อสัตย์ผู้หนึ่ง
อย่างน้อยก็ไม่ได้พูดจาส่งเดชเพื่อตั๋วเงิน
ด้วยเหตุนี้ก่อนที่นางจะออกไป จึงสะบัดมือ
ให้ตั๋วเงินใบนั้นเข้าไปอยู่ในช่องแขนเสื้อของเขาโดยไม่รู้ตัว
จากนั้นเดินออกมาจากร้านขายยาและกลับขึ้นรถม้า แม่นางน้อยผู้นั้นก็ยังคงเป็นดังเดิม
แม้ในดวงตาทั้งคู่จะมีชีวิตชีวา แต่กลับไม่ใส่ใจต่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว
ความคิดทั้งหมดของเจ้าหมิงหมิงในเวลานี้ล้วนอยู่ที่ตัวของแม่นางน้อย จึงมองข้ามเรื่องที่สำคัญยิ่งเรื่องหนึ่งไป
นั่นก็คือพวกนางซึ่งเป็นแม่นางสามคนเดินไปบนถนนที่คึกคักเช่นนี้ ช่างสะดุดตาเป็นที่สุด…
เจ้าหมิงหมิง เกาลัดคั่วน้ำตาลและยังมีแม่นางน้อยอีกผู้หนึ่ง
สามคนสามบุคลิก
เจ้าหมิงหมิงสง่างามสูงส่ง เกาลัดคั่วน้ำตาลซุกซนสดใส แม่นางน้อยแม้ออกจะซื่อ แต่ก็มีใบหน้าที่งดงามหมดจด
ในขณะที่รอให้เจ้าหมิงหมิงขึ้นรถม้าเพื่อออกเดินทางต่ออยู่นั้น นางก็สัมผัสได้ถึงสายตาไม่ประสงค์ดีหลายคู่จากรอบๆ ตัวที่ทั้งจงใจและไม่จงใจมองมา
แต่วันนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน
ส่วนว่าไม่เหมือนที่ใด เจ้าหมิงหมิงก็อธิบายไม่ได้เช่นกัน
รู้แต่เพียงในอกของนางมีความรู้สึกประหลาดอย่างหนึ่ง
มันสั่งสมอยู่ภายใน เข้าไม่ได้ ออกไม่ได้ อึดอัดเหลือทน…
หากไม่หาโอกาสระบายมันออกมา เกรงว่าตลอดเส้นทางนี้คงไม่สงบเป็นแน่
“มีเรื่องใด”
เจ้าหมิงหมิงหันหน้าไปถาม
แค่กวาดสายตา นางก็หาคนกลุ่มนั้นที่คอยจ้องเขม็งมาที่ตนได้ทันที
คนที่นำหน้าแต่งกายเช่นคุณชาย
คาดว่าคงเป็นนายน้อยของบ้านเรือนมีตระกูลในเมืองเล็กๆ แห่งนี้
ข้างหลังมีคนติดตามสามคน ล้วนเป็นพวกหน้าตาไม่น่าไว้ใจทั้งสิ้น
แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นพวกสหายร่วมกินดื่ม
รอจนวันใดนายน้อยผู้นี้ไม่มีเงินทอง สูญเสียอำนาจก็จะต้องแจ้นหนีไปไม่เห็นแม้แต่เงาเป็นแน่
“ไม่มี ไม่มีเรื่องใด! ข้าน้อยเพียงกำลังชื่นชมความงดงามล้ำเลิศแห่งแดนมนุษย์ก็เท่านั้น!”
นายน้อยกล่าว
เพียงแต่สำเนียงของเขาช่างประหลาดนัก…
แม้จะนับได้ว่าเป็นสำเนียงกลางที่ครบสมบูรณ์ ไม่มีสำเนียงท้องถิ่นแทรก แต่ยามฟังอยู่ในหูของเจ้าหมิงหมิงกลับรู้สึกไม่รื่นหูเอาเสียเลย
‘ความงดงามล้ำเลิศแห่งแดนมนุษย์….’
เจ้าหมิงหมิงพูดคำนี้อยู่ในใจอีกครั้ง
แต่กลับทำให้นางรู้สึกคลื่นไส้…
เจ้าชู้ก็คือเจ้าชู้ มองหญิงงามก็คือมองหญิงงาม!
ถ้ายอมรับอย่างเปิดเผย เจ้าหมิงหมิงอาจมองพวกเขาสูงขึ้นเล็กน้อย
“โอ้? เหตุใดข้าจึงไม่เห็นเลย”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
เกาลัดคั่วน้ำตาลเห็นว่าคุณหนูของตนไปต่อปากต่อคำคนเหล่านั้นก็มีสีหน้าประหลาดใจยิ่งนัก
เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าหมิงหมิงจะทำ!
นางไม่รู้ว่าคุณหนูถูกสิ่งใดกระตุ้นจิตใจ…
ทั้งไม่รู้ว่าคุณหนูคิดทำสิ่งใดกันแน่
แต่เกาลัดคั่วน้ำตาลกลับมั่นใจได้ข้อหนึ่ง
นั่นก็คือจนสุดท้ายแล้วคนที่พลาดท่าจะต้องเป็นสามสี่คนนั้น
“ในเมื่อคุณหนูก็อยากเห็นเช่นกัน ฉะนั้นข้าน้อยก็จะต้องให้คุณหนูได้สมดังหวัง!”
นายน้อยกล่าว
จากนั้นเดินเข้าไป เอื้อมมือหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากอกเสื้อและถือไว้ตรงหน้าเจ้าหมิงหมิง
มันคือกระจกบานหนึ่ง
สิ่งที่เจ้าหมิงหมิงมองเห็นในกระจกย่อมเป็นใบหน้าของนางเอง
“นี่หมายความว่าอย่างไร”
เจ้าหมิงหมิงถาม
ย่อมจงใจถามทั้งที่รู้อยู่แล้ว
นายน้อยผู้นี้พูดเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าจะให้เจ้าหมิงหมิงได้ชมความงดงามล้ำเลิศแห่งแดนมนุษย์
เวลานี้เจ้าหมิงหมิงมองเห็นตนเองอยู่ในกระจกก็หมายความว่านางคือความงดงามล้ำเลิศแห่งแดนมนุษย์ไม่ใช่หรือ
“คุณหนูก็คือความงดงามล้ำเลิศแห่งแดนมนุษย์อย่างไรเล่า!”
นายน้อยกล่าว
“คุณชายชมเกินไปแล้ว!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าวพร้อมยิ้มบางๆ
รอยยิ้มนี้ยิ้มออกมาได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ
มุมปากด้านซ้ายเพิ่งโค้งขึ้นมา ก็พลันหายไปทันใด
ทำให้ความงดงามหวานหอมที่เพิ่งได้เห็น กลับกลายเป็นความหยิ่งผยองหลีกหนีจากผู้คนนับพันลี้
ความงดงามในชั่วพริบตายิ่งทำให้คนรู้สึกว่าปรารถนาแต่เอื้อมไม่ถึงกว่าเดิม
หากได้มามากเกินไปก็จะไม่รู้จักทะนุถนอม
แต่หากทุกคราวล้วนได้มาเพียงเล็กน้อย
คอยเย้ายั่วและหลอกล่ออยู่เช่นนี้ กลับทำให้คนแทบคลุ้มคลั่ง
“ไม่ๆๆ ไม่มากเกินไป! ข้าน้อยพูดไปตามความรู้สึก!”
นายน้อยกล่าว
“ความรู้สึกใดหรือ รู้สึกโศกเศร้า?”
เจ้าหมิงหมิงถาม
“ได้พบเห็นคุณหนูที่เป็นความงดงามล้ำเลิศแห่งแดนมนุษย์เช่นนี้ จะรู้สึกโศกเศร้าได้อย่างไรกัน”
นายน้อยกล่าว
“ฤดูใบไม้ผลิกำลังจะผ่านไปแล้ว ย่อมต้องรู้สึกโศกเศร้าขึ้นมาบ้าง”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
พูดจบก็ทอดสายตามองไปบนท้องฟ้าแสนไกล
อ่านน้อยลง
หันข้างเล็กน้อย ทำให้ส่วนเว้าส่วนโค้งบนร่างงามเผยออกมาอย่างชัดเจน
เพื่อหน้าตาของตน นายน้อยผู้นั้นจึงยังคงสะกดใจเอาไว้
แต่สหายหลายคนข้างหลังเขากลับอดไม่ไหวแล้ว
หางตาของเจ้าหมิงหมิงมองเห็นท่าทีกระวนกระวายร้อนใจของคนเหล่านั้นก็แทบอยากจะหัวเราะออกมา
แต่นางยังคงเม้มปากกลั้นเอาไว้
“ฤดูใบไม้ผลิกำลังจะผ่านไปแล้ว แต่ได้รู้จักกับคุณหนู ฤดูใบไม้ผลินี้จะคงอยู่ตลอดไป!”
นายน้อยกล่าว
“ข้าจะมีความสามารถเช่นนี้ได้อย่างไร สี่ฤดูผันเปลี่ยนเป็นวิถีแห่งฟ้า หาใช่สิ่งที่มนุษย์จะก้าวก่ายได้…อีกอย่าง พวกเรายังไม่รู้จักกัน อย่างน้อยข้าก็ไม่รู้ว่าเจ้ามีนามว่าอย่างไร แม้แต่นามก็ยังไม่รู้ ไหนเลยจะนับว่ารู้จักกัน”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“ขอถามคุณหนูมีนามว่าอย่างไร”
นายน้อยกล่าว
“ก่อนถามผู้อื่นก็ควรแนะนำตนเองก่อนไม่ใช่หรือ นี่เป็นธรรมเนียมของยุทธภพ”
เจ้าหมิงหมิงเชิดหน้ากล่าว
ช่างดูสง่างามล้ำเลิศนัก
“ข้าน้อยจางเสี่ยวหยาง เป็นคนที่นี่ นึกไม่ถึงว่าคุณหนูก็เป็นคนในยุทธภพด้วย”
“เจ้าหมิงหมิง”
เจ้าหมิงหมิงพยักหน้าเล็กน้อยขณะเอ่ยนามของตน
“นั่งเดียวดายรำลึกอดีตในโถงว่าง จิบชาแทนสุราสนทนาพาที! เป็นนามที่งดงามยิ่ง!
จางเสี่ยวหยางกล่าว
“ที่แท้คุณชายเป็นปัญญาชนผู้หนึ่ง!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“หามิได้ ข้าเองก็เป็นชาวยุทธภพ การขัดแข้งขัดขา แสงดาบเงากระบี่ในโลกหล้านี้ก็มีอยู่ในหนังสือไม่น้อยทีเดียว!”
จางเสี่ยวหยางกล่าว
“น่าเสียดายแม้ว่าในหนังสือจะเป็นตัวอักษรดำบนกระดาษขาว แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นการเขียนออกมาทั้งหมด ต่อให้เป็นเรื่องประหลาดพิสดารในนิยายหรือตำนาน ย่อมไม่อาจเทียบได้กับความหลากหลายเปี่ยมสีสันในแดนมนุษย์แห่งนี้”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
ทันใดนั้นจางเสี่ยวหยางก็ไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใด
ทำได้เพียงพยักหน้ายิ้มตอบ
แต่เจ้าหมิงหมิงก็ไม่ได้เร่งร้อน ยังคงยืนเงียบๆ อยู่เช่นนี้
ไม่บอกว่าจะไปหรือจะอยู่
แต่เกาลัดคั่วน้ำตาลกลับร้อนใจขึ้นมา เวลานั้นเองจึงมายืนอยู่ข้างหน้ารถและเอาบังเหียนม้าแหย่ม้าเล่น
ม้าตัวนั้นกลับเป็นเหมือนแม่นางน้อย มันไม่สนใจใยดี ดวงตาทั้งคู่มองลงต่ำ
ไม่มีท่าทีตอบสนองต่อการหยอกเย้าของเกาลัดคั่วน้ำตาลเลยแม้แต่น้อย
อย่างมากก็เพียงแค่นเสียงสองสามครั้งออกจากปากและพ่นลมหายใจหนักๆ จากโพรงจมูกเท่านั้น
“น่าขยะแขยงจริงๆ!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลพูดกับม้า
………………………………………