ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 452 เหมาะควรปราดเปรื่อง-2
บทที่ 452 เหมาะควรปราดเปรื่อง-2
……….
จากนั้นก็แค่นเสียงออกมาเหมือนกันและยังสั่งน้ำมูกใส่ม้าอีกด้วย
แต่โบราณมามีคนดีดฉินให้วัวฟัง วันนี้กลับมีเกาลัดคั่วน้ำตาลที่แกล้งม้ากลางถนน
หากนับกันจริงๆ ก็ยากจะแบ่งแยกได้ว่าอันไหนสูงต่ำกว่ากัน
เมื่อเจ้าหมิงหมิงเห็นก็ปิดปากหัวเราะเบาๆ ขึ้นมา
“เจ้าเบื่อเพียงนี้เชียว?”
“ไม่เบื่อเจ้าค่ะ แค่ไม่มีสิ่งใดทำ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าว
ไม่มีสิ่งใดทำกับเบื่อหน่ายดูแล้วเป็นคนละคำ แต่ความจริงแล้วกลับเป็นเรื่องเดียวกัน
เบื่อหน่ายก็เป็นเพราะว่าไม่มีเรื่องใดทำไม่ใช่หรือ
หากมีเรื่องทำนางก็จะยุ่งขึ้นมา และไม่ต้องเบื่อหน่ายแล้ว
“เจ้าอยากทำสิ่งใด”
เจ้าหมิงหมิงถาม
“ไม่ทราบเจ้าค่ะ อยากทำไปหมด แต่ก็ไม่อยากทำด้วย…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลบอก
หนนี้ไม่ไปแกล้งม้าที่น่าสงสารแล้ว แต่กลับตั้งใจแปรงแผงคอให้มันอย่างถี่ถ้วน
“คุณหนู ท่านนี้คือ…”
จางเสี่ยวหยางกล่าว
“นางเป็นน้องสาวของข้า คนนี้ก็ด้วย!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
จางเสี่ยวหยางกล่าว
“ชมมาจนถึงเวลานี้ ก็บอกแต่ว่างดงาม! ยังกล้าบอกว่าตนเองเป็นปัญญาชนอีก?”
เกาลัดคั่วน้ำตาลพูดพึมพำประโยคหนึ่ง
เสียงไม่ดัง แต่ก็เพียงพอที่จะส่งไปถึงหูของจางเสี่ยวหยาง
ทันใดนั้น บรรยากาศก็น่าอึดอัดขึ้นมาทันใด
จางเสี่ยวหยางยิ้มขัดเขิน
แต่สายตาที่เขามองไปทางเกาลัดคั่วน้ำตาลฉายแววดุร้ายขึ้นมา
“คุณหนูเดินทางผ่านมาที่นี่หรือ”
จางเสี่ยวหยางถาม
เมื่อเทียบกันแล้ว การสนทนากับเจ้าหมิงหมิงกลับสบายใจและวางตัวง่ายยิ่งกว่า
“ใช่ พวกเราเพิ่งเดินทางผ่านมา”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“ฟ้าเริ่มค่ำแล้ว มิสู้ข้าเลี้ยงอาหารคุณหนูทั้งสามท่านเสียก่อน จึงค่อยออกเดินทางต่อ?”
จางเสี่ยวหยางกล่าว
ถึงคราวนี้เจ้าหมิงหมิงกลับอดกลั้นต่อไปไม่ไหวแล้ว…
จึงหัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบานยิ่งขึ้นมา
ตะวันเพิ่งเลยยามเที่ยงไปแท้ๆ แต่จางเสี่ยวหยางกลับบอกว่าฟ้าจวนจะค่ำแล้ว
ไม่ว่าคำพูดใด เมื่อมาอยู่ในปากของปัญญาชนผู้นี้ก็ล้วนกลับดำเป็นขาวได้
เจ้าหมิงหมิงนึกถึงครั้งหนึ่งที่บิดาเคยบอกกับตนว่าที่แท้แล้วแดนมนุษย์และเขาเรียงรันก็ไม่มีอะไรต่างกัน
หากจะต้องแบ่งแยกกันจริงๆ ก็คือในแดนมนุษย์นี้มีปัญญาชนมากเกินไป…
ครั้งนั้นเจ้าหมิงหมิงไม่มีความเข้าใจใดๆ เกี่ยวกับปัญญาชน
กลับรู้สึกว่าการร่ำเรียนหนังสือนั้นเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง
เพราะอย่างไรทั้งความรู้และหลักการต่างๆ ล้วนต้องร่ำเรียนจากในหนังสือก่อน ภายหลังจึงจะนำมาฝึกฝนในชีวิตจริงได้
แต่บิดาของเจ้าหมิงกลับบอกนางว่าการร่ำเรียนนั้นเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่ไม่ดีก็คือปัญญาชน
เมื่อคนร่ำเรียนหนังสือ ก็จะกลายเป็นปัญญาชนไม่ใช่หรือ
หรือว่าคนไม่รู้หนังสือที่อ่านหนังสือไม่ออกสักตัวจึงจะนับว่าดี?
เจ้าหมิงหมิงยังคิดไม่ออก
แต่เวลานี้นางกลับเข้าใจขึ้นมาอย่างถ่องแท้
เดิมทีการร่ำเรียนนั้นก็เพื่อแบ่งแยกดำขาว แยกแยะผิดถูก
แต่เมื่อปัญญาชนเข้าใจดำขาวและผิดถูกแล้ว ก็คิดจะกลับดำเป็นขาว กลับถูกเป็นผิด
การทำเช่นนี้นับได้ว่าเป็นการขบถอย่างหนึ่ง หรือเป็นการแก้แค้นเอาคืนกันแน่ เกรงว่าแม้แต่ตัวปัญญาชนเองก็ยังบอกไม่ได้ชัดเจน
สรุปก็คือ เมื่อคนร่ำเรียนหนังสือมากมายแล้ว ก็จะชอบเล่นลิ้นและมีเล่ห์เหลี่ยมจัด
แค่ชั่วเวลาขยับไม้ขยับมือก็วางแผนการได้มากมาย ไม่อาจตรงไปตรงมาได้อีก นี่ก็คือเรื่องจริง
เมื่อเทียบกับการฝึกยุทธ์แล้ว กลับสง่าผ่าเผยต่างกันมาก
“มีร้านดีๆ ในเมืองนี้บ้างหรือไม่ เรื่องอื่นน้องสาวข้าสองคนล้วนผ่อนปรนได้ มีเพียงเรื่องกินที่ไม่ได้!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
นี่กลับเป็นเรื่องจริง
ครั้งเกาลัดคั่วน้ำตาลอยู่บนเขาเรียงรันก็ขึ้นชื่อเรื่องเห็นแก่กิน
แต่ไรมานางไม่เคยว้าวุ่นกังวลใจเพราะเรื่องอื่นมาก่อน แต่หากพลาดของกินอร่อยอันใดไป นางก็สามารถเอาผ้าห่มคลุมโปงร้องไห้โฮได้ทีเดียว…
“แม้เมืองแห่งนี้จะเล็ก แต่ก็มีร้านหนึ่งที่น่าไปจริงๆ! ที่นั่นทำอาหารเลื่องชื่อของแดนพายัพเป็นหลักขอรับ”
ทั้งเป็นการบอกอย่างจงใจและไม่จงใจว่าพวกนางเดินทางมาจากทางใต้
“หากคุณหนูยินดี ข้าน้อยจะนำทางไปให้?”
จางเสี่ยวหยางกล่าว
แต่ตัวเขากลับเดินออกไปแล้ว
ดูจากท่าทาง เขาก็ฝึกยุทธมาเช่นกัน
ไม่เช่นนั้นก็จะไม่ขยับตัวว่องไวเช่นนี้
“ขอบคุณมาก!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“คุณหนู ท่านจะไปทานอาหารกับเขาจริงหรือเจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลบังคับรถม้าตามหลังจางเสี่ยวหยางไป
อาศัยจังหวะว่างสอบถามนางเบาๆ
“มีสิ่งใดไม่ได้หรือ”
เจ้าหมิงหมิงย้อนถาม
“ไม่เจ้าค่ะ…ย่อมได้อยู่แล้ว! ข้าก็แค่รู้สึกว่า…รู้สึกว่าปกติแล้วคุณหนูไม่ได้เป็นเช่นนี้!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าว
“ปกติแล้วข้าเป็นเช่นใดหรือ”
เจ้าหมิงหมิงถาม
แต่เกาลัดคั่วน้ำตาลก็อธิบายออกมาไม่ได้เช่นกัน
เพียงมีความรู้สึกคลุมเครืออย่างหนึ่ง
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด…รู้สึกอึดอัดในใจ แค่อยากหาเรื่องทำสักเล็กน้อย”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
เกาลัดคั่วน้ำตาลได้ฟังก็พยักหน้าและไม่พูดสิ่งใดอีก
แม้ว่านางจะดื้อรั้นซุกซนอีกเท่าใด แต่ยามอยู่ต่อหน้าคุณหนูของตนก็จะเชื่อฟังไปทุกสิ่ง
“ใช่แล้ว ตอนที่เดินทางมุ่งไปข้างหน้า ข้างหลังมีหางตามเรามาหรือไม่”
เจ้าหมิงหมิงถาม
หางที่นางเอ่ยถึงหมายถึงกลุ่มของจิ้งเหยา
พวกของจิ้งเหยาเอาตัวแม่นางน้อยไปไม่ได้ ย่อมไม่อาจกลับไปแลกตัวประกันกับสำนักปากสอบ
หนทางเดียวก็คือต้องตามหลังมาและหาโอกาสลงมือ
“อยู่ตลอดเวลาเจ้าค่ะ! แต่พวกมันไม่ยอมเข้ามาใกล้ตัวเมือง…ทุกครั้งที่พวกเราเข้ามาในตัวเมือง พวกมันล้วนรออยู่ข้างนอก จวบจนพวกเราออกเดินทางอีกครั้ง จึงค่อยตามพวกเรามาเจ้าค่ะ ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าว
“แต่ว่าคุณหนูเจ้าคะ ครั้งนั้นท่านใช้วิธีใดกันแน่ จึงทำให้คนพวกนั้นยอมเลิกรา”
เกาลัดคั่วน้ำตาลถาม
นางสงสัยเรื่องนี้อย่างยิ่งมาโดยตลอด
ในที่สุดวันนี้ก็ได้โอกาสเอ่ยถามเสียที
“เจ้าคิดว่าข้ายังสามารถใช้วิธีใดได้อีก”
เจ้าหมิงหมิงถาม
เกาลัดคั่วน้ำตาลส่ายหน้าเป็นการบอกว่าไม่รู้
ก่อนนี้นางคิดว่าตนเองและคุณหนูไม่มีสิ่งใดขวางกั้นหรือมีความลับระหว่างกัน
แต่ตลอดทางมานี้ กลับทำให้นางยิ่งรู้สึกว่าคุณหนูค่อยๆ กลายเป็นคนแปลกหน้าเข้าไปทุกที
แต่ว่าคุณหนูก็คือคุณหนู นางเป็นเพียงสาวใช้ข้างกายคนหนึ่งเท่านั้น
ต่อให้คุณหนูให้ความสนิทชิดเชื้อกับตนยิ่งกว่านี้ ปล่อยตามใจยิ่งกว่านี้ นางก็ห้ามหลงลืมฐานะของตนเองเด็ดขาด
ระหว่างนายกับบ่าว อาจไม่มีช่องว่างต่อกัน
แต่หลักการหลักๆ ที่ทำให้ได้สนิทชิดเชื้อเช่นนี้ ก็เป็นสิ่งที่ย้ำเตือนนายและบ่าวตลอดว่าตนเองมีฐานะและหน้าที่เช่นใด
ห้ามก้าวผ่านเส้นกั้นนั้นแม้แต่น้อย
หากความสมดุลที่แสนพิเศษนี้ถูกละเมิด เช่นนั้นแล้วบทลงเอยของนายและบ่าวคู่นี้มีแต่จะแยกจากอย่างไม่สบายใจเท่านั้น…
ซึ่งเรื่องนี้ เกาลัดคั่วน้ำตาลรู้ดีอยู่แก่ใจ
นางรู้ดีว่าขีดจำกัดของคุณหนูอยู่ที่ใด
เรื่องที่ทำไม่ได้ก็จะไม่ไปแตะต้องแม้แต่น้อย
คำที่ไม่ควรพูด เรื่องที่ไม่ควรไปสอบถาม
นางก็จะทำเหมือนกับไม่มีลิ้นและตาบอด
“เฮ้อ…”
เจ้าหมิงหมิงถอนหายใจ
เมื่อทบทวนดูอย่างเป็นกลาง นางเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าที่ตนเองทำไปนั้น ถูกหรือไม่ ดีหรือไม่กันแน่
ที่ทำไปก็เพื่อให้รอดตัวเท่านั้น ภายหลังจะมีความยุ่งยากใด นางไม่อาจคาดเดาได้เลย
“ข้าบอกเขาแล้วว่าข้าคือผู้ใด”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
ท้ายที่สุดนางก็ยังบอกกับเกาลัดคั่วน้ำตาลว่าที่แท้นั้นนางใช้วิธีใดจึงสามารถทำให้จิ้งเหยาหวาดกลัวได้
“คุณหนู ทะ…ท่านเปิดเผยฐานะตนเอง?”
เกาลัดคั่วน้ำตาลตกใจจนพูดไม่ออก
“ไม่ผิด บอกเขาไปตรงๆ ในตอนนั้น”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“แต่ว่าเหตุใดข้าไม่ได้ยินเลยเล่า แล้วเหตุใดเขาจึงยอมเชื่อเจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลถาม
“ข้าย่อมมีวิธีบอกแก่เขา และในเมื่อข้าบอกเขา ก็ย่อมต้องมีวิธีทำให้เขาเชื่อ”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
ความจริงแล้วเกาลัดคั่วน้ำตาลยังมีอีกคำถามหนึ่งอยู่ในใจ
นั่นก็คือหลังจากที่เจ้าหมิงหมิงบอกฐานะของตนไปแล้ว เหตุใดจิ้งเหยาจึงไม่กล้าลงมือเล่า
หรือว่าระหว่างอสูรแห่งเก้าบรรพตและราชสำนักทุ่งหญ้ามีข้อตกลงและความสัมพันธ์ต่อกัน
เกาลัดคั่วน้ำตาลอ้าปาก แต่สุดท้ายก็ยังไม่ถามออกไป
หากคุณหนูยินยอม เมื่อครู่ก็จะบอกตนไปแล้ว
แต่เจ้าหมิงหมิงไม่ได้พูด เห็นชัดว่าไม่ยอมบอกมากกว่านี้
หากตนเองถามแล้ว ต่อให้คุณหนูขืนบอกนางเพราะรักษาน้ำใจ นางก็กลับไม่ค่อยสบายใจนัก
แต่เกาลัดคั่วน้ำตาลรู้สึกกังวลใจแทนเจ้าหมิงหมิงมากกว่า
ก่อนลงจากเขาเรียงรัน เกาลัดคั่วน้ำตาลก็เคยได้ยินเจ้าหุบเขากำชับอย่างยิ่งว่าห้ามเจ้าหมิงหมิงเปิดเผยฐานะของตนโดยเด็ดขาด
หากภายหลังเกิดความยุ่งยากใดขึ้นต้องไปที่โรงเตี๊ยมพูนโชค
แต่มาตอนนี้เจ้าหมิงหมิงกลับเปิดเผยฐานะของตนแก่พวกของจิ้งเหยาอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้
หากเป็นเช่นนี้แล้วการเดินทางในภายหน้าจะมีอันตรายหรือไม่
เกาลัดคั่วน้ำตาลจึงค่อนข้างกลัวขึ้นมา
“ไม่ต้องกังวลเกินไป! อย่างไรพวกเขาก็เป็นคนของราชสำนักทุ่งหญ้า ลำพังแค่พวกเขารักษาตนให้รอดปลอดภัยยามอยู่ในอาณาจักรห้าอ๋องก็เป็นเรื่องที่ยากยิ่งแล้ว ยังจะมีเวลาวางแผนทำร้ายพวกเราอีกหรือ”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
นางมองแวบเดียวก็มองสิ่งที่เกาลัดคั่วน้ำตาลคิดอยู่ในใจออกแล้ว
“แต่เบื้องหลังของคนผู้นั้นมีเจ้าเตี้ยคนหนึ่ง แค่มองก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่ของดีอันใด!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าว
เจ้าหมิงหมิงหันหน้าไปมองเกาลัดคั่วน้ำตาลอย่างประหลาดใจ
สัญชาตญาณของแม่หนูนี่น่ากลัวเพียงนี้เชียว!
คืนนั้นเกาลัดคั่วน้ำตาลไม่ได้เข้าไปสังเกตการณ์ใกล้ๆ โดยละเอียดแต่อย่างใด
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น เกาลัดคั่วน้ำตาลก็ยังมองความไม่ธรรมดาของเกาเหรินออกในทันที
เรื่องนี้ทำให้เจ้าหมิงหมิงคิดอยู่ในใจว่าบางเรื่องอาจสามารถเริ่มลงมือได้แต่เนิ่นๆ
“เขาจะเป็นของดีหรือไม่ก็ไม่เป็นไร จะอย่างไรก็คงไม่ไปป่าวประกาศกลางถนนว่าพวกเราเป็นอสูรจากเก้าบรรพตหรอกกระมัง!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
เป็นการช่วยทำให้เกาลัดคั่วน้ำตาลสบายใจขึ้น
เรื่องร้ายแรงที่ยังไม่มาถึง นางเองก็ยังไม่มีแผนรับมือเช่นกัน
“คุณหนู พวกเราถึงแล้วขอรับ!”
จางเสี่ยวหยางหยุดเดินแล้วบอก
เจ้าหมิงหมิงชะโงกหน้าออกไป เห็นเหลาสุราขนาดใหญ่ที่มีสง่าราศีอย่างยิ่งแห่งหนึ่ง
ป้ายที่อยู่บนประตูสูงใหญ่เขียนอักษรสามตัวไว้ว่า ‘หอราชสีห์’
“นามนี้น่าสนใจไม่เบา!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“ท่านพ่อข้าเป็นคนตั้ง ข้าเองก็ไม่ทราบว่ามีความหมายใด”
จางเสี่ยวหยางอธิบาย
ดวงตาของเจ้าหมิงหมิงฉายแววตกตะลึงขึ้นมา
นางคิดไม่ถึงว่าเหลาสุรานี้จะเป็นกิจการในครอบครัวของจางเสี่ยวหยาง
ใจของจางเสี่ยวหยางช่างเสพสุขเหลือล้นเมื่อได้รับสายตาที่แตกต่างออกไปของเจ้าหมิงหมิง
ไม่ว่าจะเป็นคุณหนูที่สูงส่งอีกสักเท่าใด เมื่อเห็นว่าเขามีเหลาสุราที่หรูหรายิ่งใหญ่เช่นนี้ก็ต้องเกิดแรงกระเพื่อมในใจทั้งสิ้น
“ที่แท้ท่านเป็นนายน้อยเจ้าของร้าน! เสียมารยาทแล้ว!”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยพลางประสานมือคารวะ
“มิกล้า…ทว่าอาหารแดนพายับในหอราชสีห์นี้ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมจริงๆ! ใต้เท้าเหวินผู้ควบคุมรัฐหงยังมารับประทานอาหารที่นี่ด้วย หลังทานแล้วก็ชมไม่ขาดปากทีเดียว!”
จางเสี่ยวหยางกล่าว
“หัวเมืองของรัฐหงห่างจากที่นี่ไกลเพียงใด”
เจ้าหมิงหมิงถาม
“เรื่องระยะห่างนี้ข้าน้อยกลับจำไม่ได้…ทว่าหากเป็นม้าเร็ว หกเจ็ดวันต้องถึงได้เป็นแน่ คุณหนูนั่งรถม้าคิดว่าต้องช้ากว่านั้นสองสามวันขอรับ”
จางเสี่ยวหยางกล่าว
เจ้าหมิงหมิงพยักหน้า
มือขวาของจางเสี่ยวหยางยื่นไปข้างหน้าเล็กน้อยพลางถอยตัวไปครึ่งก้าว เพื่อให้พวกของเจ้าหมิงหมิงเข้าประตูไปก่อน
เจ้าหมิงหมิงหันหลังกลับไปเอากระบี่ของตนลงมาจากบนรถม้า หลังจากคารวะกลับอย่างสุภาพแล้ว ก็ไม่ได้เกรงใจใดอีกและเดินตรงเข้าไปทันใด
“คุณหนู ขอสอบถามว่ามากี่ท่านขอรับ”
เสี่ยวเอ้อร์ที่คอยดูแลลูกค้าเข้ามาถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“คุณหนูทั้งสามท่านนี้เป็นแขกของข้า!”
เวลานี้จางเสี่ยวหยางก็เข้าประตูมาด้วยและบอกกับเสี่ยวเอ้อร์
เมื่อเสี่ยวเอ้อร์เห็นว่านายน้อยก็มาด้วย ย่อมพยักหน้าค้อมตัวลงทันใด ก่อนวิ่งไปยังโต๊ะเก็บเงินเพื่อเรียกเถ้าแก่ออกมาต้อนรับ
เดิมทีจางเสี่ยวหยางก็เจตนาจะอวดตนอยู่แล้ว
เมื่อเห็นว่าเถ้าแก่รีบเดินมาหา ในใจก็ยิ่งได้ใจอย่างยิ่ง
พอเอ่ยปากก็พูดเสียงดังและสั่งอาหารขึ้นชื่อหลายอย่างของร้านมาทั้งหมด
ทว่าอาหารแดนพายัพก็มีความพิเศษเป็นเอกลักษณ์จริงๆ
อย่างน้อยก็มีอาหารหลายชนิดที่เจ้าหมิงหมิงไม่เคยกินมาก่อน
หรือพูดได้ว่านางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าของเหล่านี้กินได้
เช่นว่าทั้งที่แดนพายัพไม่มีทะเล อย่างมากก็มีแค่ทะเลสาบและแม่น้ำจำนวนหนึ่งไหลผ่าน แต่ในหอราชสีห์กลับมีอาหารชนิดหนึ่งที่ชื่อว่าหูฉลามหัตถ์พระพุทธ
นอกจากนี้ เจ้าหมิงหมิงยังเห็นว่าป้ายขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่ภายในร้านเขียนเอาไว้ว่าแกะทั้งโต๊ะ วัวทั้งโต๊ะ[1] ไก่ทั้งโต๊ะเป็นต้น
คำศัพท์เหล่านี้นางล้วนไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นกัน
อาหารอย่างสุดท้ายที่จางเสี่ยวหยางสั่งมีชื่อว่าโหนกอูฐผัดไฟแดง
ไม่ว่าอีกสักครู่เมื่อนำใส่ปากแล้วจะมีรสชาติเช่นใด อย่างน้อยชื่อเหล่านี้ล้วนทำให้เจ้าหมิงหมิงรู้สึกแปลกใหม่ยิ่งนัก
“คุณหนูขอรับ พวกเราขึ้นไปนั่งชั้นบน!”
จางเสี่ยวหยางสั่งอาหารเสร็จก็หันหน้ามาพูดกับเจ้าหมิงหมิง
“นายน้อยต้องฟุ่มเฟือยแล้ว!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าวตามมารยาทไปประโยคหนึ่ง
………………………………………
[1] แกะทั้งโต๊ะ วัวทั้งโต๊ะ คืออาหารที่ใช้ส่วนต่างๆ ของแกะ หรือวัว มาทำอาหารหลากหลายชนิดและจัดออกมาวางทั้งโต๊ะ
……….