ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 453 เหมาะควรปราดเปรื่อง-3
บทที่ 453 เหมาะควรปราดเปรื่อง-3
……….
นอกเมือง
พวกของจิ้งเหยานั่งอยู่บนเนินดิน
ที่นี่นับเป็นที่สูงแห่งนึ่ง
สามารถมองเห็นได้ทั่วทั้งเมือง
กอปรกับจิ้งเหยามีสายตาที่ดียิ่ง
แม้แต่รถม้าของเจ้าหมิงหมิงเข้าเมืองไปอย่างไร พาแม่นางน้อยเข้าไปให้หมอตรวจดูอาการในร้านยาอย่างไร สุดท้ายถูกจางเสี่ยวหยางเชิญไปทานอาหารที่หอราชสีห์ก็ล้วนมองเห็นได้ชัดเจน
ยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีเมืองแห่งนี้ก็ไม่ได้ใหญ่โต ถนนสายหลักก็กว้างแค่สองสามช่วงลูกธนูเท่านั้น
“สตรีพวกนี้รู้จักเสพสุขจริงๆ…”
เกาเหรินกล่าวทั้งโมโห
เขาถือเซาปิ่งที่ยังกินไม่หมดครึ่งหนึ่งอยู่ในมือ
เซาปิ่งชิ้นนี้ค่อนข้างแห้งและแข็ง เมื่อกินเปล่าๆ กลืนลงคอค่อนข้างยาก…
เกาเหรินต้องดื่มน้ำตามมากๆ ถึงจะทำให้ความรู้สึกฝืดแน่นในอกบรรเทาลง
เมื่อเทียบกับคำบ่นของเกาเหริน จิ้งเหยากลับนั่งเงียบๆ อยู่ข้างๆ เขา
เขาก็ถือเซาปิ่งแบบเดียวกันอยู่ในมือ
เพียงแต่จิ้งเหยาฉีกเซาปิ่งเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วใส่ไว้ในขวดน้ำ
ก่อนปิดฝาและออกแรงเขย่าขวดน้ำสองสามครั้ง
เซาปิ่งชิ้นเล็กๆ ก็จะแช่อยู่ในน้ำจนอ่อนนุ่ม
จิ้งเหยาก็สามารถกินลงท้องได้ทั้งหมดเหมือนกำลังกินโจ๊ก
เกาเหรินขมวดคิ้วเมื่อเห็นวิธีกินเช่นนี้ของจิ้งเหยา
เขาคิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่าของที่กลืนลงคอยากเพียงนี้ จิ้งเหยากลับกินได้อย่างออกรสออกชาติได้อย่างไร…
ยิ่งไปกว่านั้นเซาปิ่งนี้แม้จะค่อนข้างแห้งและแข็ง แต่หากนำไปแช่น้ำเช่นนี้จะไม่เป็นเหมือนกับปุยฝ้ายหรอกหรือ
แค่คิดก็รู้สึกจะอ้วกแล้ว…
“ดีชั่วอย่างไรเจ้าก็เป็นผู้นำหน่วยของราชสำนักทุ่งหญ้า เหตุใดจึงทำตัวเรื่อยเฉื่อยเช่นนี้”
เกาเหรินถาม
แต่จิ้งเหยากลับไม่ได้ตอบ
ความคิดของเขาเวลานี้ไม่ได้อยู่ที่นี่
ตลอดทางมานี้ เขาสอบถามเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับสำนักปากสอบจากเกาเหรินไม่น้อย
แต่กลับไม่ได้ทำให้เขาเข้าใจหรือรู้กระจ่างขึ้นมาเลย
เพราะทุกคราวที่เกาเหรินพูดจบเรื่องหนึ่งหรือพูดจบสองสามประโยค ตอนท้ายจะเพิ่มมาประโยคหนึ่งว่าเขาได้ยินมาดังนี้ หรือไม่ก็เขาเดาเอา
คำพูดที่ได้ยินคนพูดมา เชื่อถือไม่ได้เป็นที่สุด
แม้แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็ใช่ว่าจะจริงเสมอไป แต่ไม่ว่าเรื่องใด เมื่อผ่านจากปากผู้อื่นก็มักมีความคลาดเคลื่อน
หากไม่มากเกินไป เช่นนั้นก็ลดทอนลง
แม้ว่าฟังดูแล้วจะยังคงสอดคล้องกับเหตุผลอย่างยิ่ง แต่ก็ห่างจากความจริงดั้งเดิมไปไกลมาก
นี่ไม่ใช่สิ่งที่จิ้งเหยาต้องการ
เขาชอบการเอาชนะและความจริง
มีเพียงเหตุการณ์ที่เป็นจริงที่สุด ความเปรมปรีดิ์ที่ได้จากการเอาชนะจึงจะมีมากที่สุด
คนมากมายก็เพียงเกรงกลัวตำแหน่งผู้นำหน่วยหรือดาบโค้งในมือของเขา
ไม่ได้ยอมศิโรราบจากส่วนลึกในใจแต่อย่างใด
เมื่อเป็นดังนี้ กลับทำให้ความเปรมปรีดิ์จากการเอาชนะของจิ้งเหยาถูกตัดทอนไปมาก
จิ้งเหยาแหงนหน้าขึ้นดื่มน้ำไปคำหนึ่ง หลังจากค่อยๆ ดื่มเซาปิ่งที่แช่น้ำในขวดลงไป จึงเอ่ยปากพูดช้าๆ
“ทำไมหรือ เห็นคนเขาได้กินของดีในหอราชสีห์จึงรับไม่ได้หรือ”
“…ข้าเป็นพวกเห็นแก่กินเช่นนั้นรึ”
เกาเหรินโมโหจึงเอ่ยขึ้นมา
จิ้งเหยายิ้ม ไม่ได้สนใจเขาอีก
คนผู้หนึ่งเมื่อปฏิเสธสิ่งใด ก็พิสูจน์ว่าแทงใจดำเขาเข้าแล้ว
หากภายในหนักแน่นและแข็งแกร่งพอ ก็ไม่จำเป็นต้องขุ่นเคืองในเรื่องใดๆ
นิ่งๆ เงียบๆ เป็นเมฆบางลมเบา
“แต่ที่เจ้าว่ามาก็ถูก นี่ไม่ใช่สิ่งที่นางจะทำจริงดังว่า”
จิ้งเหยากล่าว
“เจ้าหมายถึงใครทำ”
เกาเหรินถาม
“ก็พวกสตรีที่เจ้าเอ่ยถึง”
จิ้งเหยากล่าว
“เหมือนว่าเจ้าเข้าใจนางยิ่งนัก…”
เกาเหรินกล่าว
ความจริงแล้ว ตัวเขาเองก็สอบถามเรื่องของเจ้าหมิงหมิงจากจิ้งเหยาไม่น้อยเช่นกัน
เพราะจะอย่างไร การยอมปล่อยแม่นางน้อยนั่นไปเช่นนี้ ก็ไม่ใช่สิ่งที่จิ้งเหยาจะทำเช่นกัน
แต่ตอนนั้นจิ้งเหยาตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว จึงไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
เกาเหรินก็เคยพูดเอาไว้ก่อนหน้าแล้วว่าตลอดทางก่อนถึงเหมืองแร่จะให้จิ้งเหยาเป็นผู้นำ
ฉะนั้น เขาจึงทำได้แค่คอยถามอ้อมๆ อยากรู้ให้ชัดว่าในพริบตานั้นเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ ถึงทำให้จิ้งเหยาที่นิสัยดื้อรั้นหัวชนฝาเปลี่ยนไปเช่นนี้
นึกไม่ถึงเลยว่าจิ้งเหยากลับไม่พูดสักคำ เมื่อเกาเหรินโยนคำถามเข้าไป ก็มักจงใจหลบเลี่ยงเขาทุกครั้ง
เกาเหรินไม่เข้าใจอย่างยิ่ง
แม้เขาจะรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าเจ้าหมิงหมิงไม่ใช่สตรีธรรมดาสามัญผู้หนึ่ง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่น่ามีความเกี่ยวพันใดๆ กับจิ้งเหยาที่เป็นผู้นำหน่วยแห่งราชสำนักทุ่งหญ้า
สามารถทำให้จิ้งเหยาละทิ้งเรื่องนี้ได้ จำเป็นต้องมีเหตุผลที่หนักแน่นเพียงพอ
“เจ้าสามารถนับนิ้วทำนายได้ไม่ใช่หรือ เหตุใดครั้งนี้กลับเอาแต่คอยไล่ถามข้า”
จิ้งเหยากระเซ้า
เขาต้องการข่มบารมีของเกาเหรินมานานแล้ว
ท่าทียโสโอหังเหมือนสามารถควบคุมทุกสิ่งไว้ในกำมือ ทำให้เกาเหรินไม่พอใจอย่างยิ่ง
เพราะมีหลายครั้งที่เขาไม่ได้เอ่ยปาก แต่เกาเหรินกลับเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจเขาออกมาได้
ความรู้สึกเช่นนี้ก็เหมือนกับไม่ได้สวมเสื้อผ้าสักชิ้น ยืนเปลือยเปล่าอยู่กลางถนนแสนคึกคัก
ยังไม่ต้องเอ่ยว่าไม่ปลอดภัย แต่ยังรู้สึกหนาวมากอีกด้วย
แม้จะเอาสองแขนกอดตัวไว้ ก็ยังไม่อาจปิดบังความประหม่าทั่วทั้งตัวตั้งแต่บนลงล่างได้
ทำได้เพียงพยายามก้มหน้าลงสุดชีวิต พยายามซุกซ่อนใบหน้าของตนเอาไว้ใต้เงามืดยามตนเองก้มหน้าลงเท่านั้น
ราวกับว่าเมื่อทำเช่นนี้แล้ว จะสามารถนำพาความอบอุ่นและคำปลอบใจเล็กน้อยมาสู่ตนเองได้
แต่เวลานี้ สถานการณ์กลับพลิกผันเสียแล้ว
นอกจากจะมีเรื่องที่เกาเหรินไม่รู้แล้ว เขาก็ยังยึดติดกับเรื่องนี้อย่างยิ่งเสียด้วย
สิทธิ์ในการรุกจึงกลับมาอยู่ในมือของจิ้งเหยา เรื่องนี้ทำให้เขาสุขใจอย่างยิ่ง
ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อครู่เขาจึงไม่ได้บอกเกาเหรินไปตรงๆ ว่าที่แท้แล้วเกิดเรื่องใดขึ้น
ให้เกาเหรินเดาเองต่อไป เดาได้ว่าเช่นใดก็เป็นเช่นนั้น
นึกว่าเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น
ยามอยู่ในหน่วยของตน หรือแม้กระทั่งในราชสำนักทุ่งหญ้า เขาล้วนไม่เป็นที่ชื่นชอบ
แต่จนใจที่เขามีความชอบทางทหารเกรียงไกร จึงไม่มีใครกล้าขัดแย้งกับเขาซึ่งหน้า
ราชสำนักทุ่งหญ้าเป็นที่ที่ยกย่องวีรชนและผู้กล้า ไม่ว่าคนผู้นั้นจะมีนิสัยชั่วช้าเช่นใด ขอเพียงมีไอแห่งวีรชนและดวงใจพยัคฆ์ห้าวหาญก็จะได้รับความเลื่อมใสจากทั่วทิศ
แต่ลับหลังเขา ทุกคนกลับไม่ได้เกรงใจเพียงนี้…
มักบอกว่าจิ้งเหยาเป็นกองมูลวัวที่แห้งครึ่งไม่แห้งครึ่ง
แห้งแล้วยังเอาไปใช้ประโยชน์ได้ แต่หากโยนมันเข้าไปในกองไฟก็กลับปะทุดังลั่นเหมือนประทัด
และจากนั้นก็มีกลิ่นที่ยากพรรณนาฟุ้งไปทั่วอีกด้วย
ต้องพูดทีเดียวว่าการเปรียบเปรยนี้ช่างเหมาะเจาะจริงๆ
เพราะเหมือนกับจิ้งเหยาในเวลานั้นอย่างยิ่ง
ภายหลังไม่รู้เพราะเหตุใด เขากลับค่อยๆ ระงับอารมณ์รุนแรงของตนลง
แม้จะไม่ได้สุภาพกับทุกคนหรือคอยแย้มยิ้มอยู่ทุกวัน
แต่ก็ไม่เป็นถังดินปืนพร้อมระเบิดเหมือนแต่ก่อน ยังไม่ทันพูดจบสามประโยค ดาบโค้งที่เอวก็ออกจากฝักแล้ว
“ข้าคำนวณแล้ว”
เกาเหรินกล่าว
จิ้งเหยามองเกาเหรินอย่างประหลาดใจ แต่กลับไม่ได้เอ่ยต่อ
“แต่คำนวณออกมาไม่ได้”
เกาเหรินโบกไม้โบกมือ กล่าวอย่างจนใจ
“ยังมีเรื่องที่เจ้าคำนวณออกมาไม่ได้ด้วยหรือ”
จิ้งเหยาเอ่ย
แต่ในใจกลับมีความสุขบนความทุกข์ของเขายิ่งนัก
“หากข้าได้สืบตำแหน่งไท่ไป๋….ของยอดนักพรตอินหยาง ทั้งเรื่องการอนุมานจิตใจมนุษย์และความเป็นไปในหล้าย่อมไม่ใช่ปัญหา แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่ใช่”
เกาเหรินกล่าว
เดิมทีจิ้งเหยานึกว่าจะมีความสำนึกเสียใจมากมายอยู่ในน้ำเสียงของเขา แต่นึกว่าไม่ถึงว่าเขากลับเอ่ยออกมาอย่างสงบราบเรียบ
จะว่าไปเรื่องนี้ก็ประหลาดนัก
เริ่มแรกที่เกาเหรินติดต่อจิ้งเหยาเขาก็บอกจุดยืนของตนอย่างชัดเจน และยังเปิดเผยฐานะของตนอีกด้วย
ในเวลาเดียวกันก็บอกกับจิ้งเหยาไว้ชัดเจนด้วยว่าตนเองพ่ายให้แก่ศิษย์น้องที่มีนามว่าเซียวจิ่นข่านผู้นั้น
ว่ากันตามหลักแล้วความผันแปรใหญ่หลวงเช่นนี้จะต้องส่งผลกระทบต่อเส้นทางในอนาคตของเกาเหริน
แต่ตลอดเวลาเนิ่นนานที่อยู่ด้วยกันมา จิ้งเหยากลับไม่เคยเห็นเขาโอดครวญต่อเรื่องนี้แต่อย่างใด
นานๆ ครั้งจะเอ่ยขึ้นมาบ้าง แต่ก็แค่พูดลอยๆ ประโยคหนึ่ง
พูดออกมาราวกับว่าเป็นเรื่องของคนอื่นที่ได้ยินจากที่แห่งหนึ่งเช่นนั้น
“เจ้าแพ้ได้อย่างไรกันแน่”
จิ้งเหยาอดถามออกมาไม่ได้
“เจ้าบอกข้ามาว่าแม่นางพวกนั้นมีความเกี่ยวพันใดกับเจ้า ข้าก็จะบอกเจ้าว่าเหตุใดข้าจึงละทิ้งการเป็นผู้สืบทอด”
เกาเหรินหัวเราะคิกคักพลางขยับเข้ามาพูดใกล้ๆ
จิ้งเหยาก็หัวเราะตามเขา
รู้สึกว่าตนเองนี่ช่างปากเปราะแท้ๆ
ไปอยากรู้เรื่องเช่นนี้ทำไมกัน
เวลานี้จึงถูกเกาเหรินตีโต้กลับมา
การแลกเปลี่ยนนี้ดูคล้ายเสมอภาค แต่ความจริงจิ้งเหยากลับขาดทุน…
หากเขายอมพูดออกมาเอง จะนับเป็นเรื่องเล่าฟังเล่นๆ ก็ย่อมได้
แต่หากใช้เรื่องนี้มาสอบถามเรื่องของเจ้าหมิงหมิง จิ้งเหยากลับเริ่มลังเลขึ้นมาบ้าง…
ทางหนึ่ง เขาก็อยากรู้ความเป็นมาในช่วงเวลานั้นของเกาเหรินจริงๆ
ส่วนอีกทางหนึ่ง หากบอกความเป็นมาของเจ้าหมิงหมิงให้เกาเหรินรู้ ภายหลังจะเกิดผลเช่นใดตามมา
คนสองคนนี้เหมือนลงเรือลำเดียวกัน แต่ที่จริงหน้าและใจไม่ตรงกัน
เพราะอย่างน้อยจิ้งเหยาก็ไม่เคยวางใจเกาเหรินเลยสักชั่วยาม
เมื่อไม่วางใจ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยว่าจะมีความจริงใจต่อเขา
แต่ยอดนักพรตอินหยางไม่ได้มีชื่อเสียงเลื่องลือในอาณาจักรห้าอ๋องเท่านั้น แม้แต่ในราชสำนักทุ่งหญ้าก็เป็นเช่นนั้นด้วยเช่นกัน
ครานั้น หลางอ๋องหมิงเย่าพยายามอย่างหนักเพื่อเรื่องนี้ ด้วยต้องการเชิญยอดนักพรตอินหยางแห่งอาณาจักรห้าอ๋องคนหนึ่งมาประจำที่ดินแดนทุ่งหญ้า
แต่สุดท้ายก็เป็นล้มเลว
ราชสำนักทุ่งหญ้ามีเรื่องการรบราฆ่าฟันมากเกินไป ตามหลักแล้วไท่เป๋แห่งยอดนักพรตอินหยางจึงมีความเหมาะสมที่สุด
จิ้งเหยามองเกาเหรินกลับเกิดความคิดอื่นขึ้นมา
เมื่อเชิญเซียวจิ่นข่านมาไม่ได้ แล้วหากเชิญศิษย์พี่ของเซียวจิ่นข่านมาได้ก็เป็นผลงานหนึ่งเลยไม่ใช่หรือ
แม้จะสืบทอดให้คนผู้เดียว
เมื่อเซียวจิ่นข่านเป็นผู้สืบทอดแล้ว เกาเหรินจึงไม่เหลือสิ่งใดเลย
แต่หากว่ากันให้ถ่องแท้ คนทั้งสองนี้ก็เดินเคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยกันมา
แม้ว่าการประลองในท้ายที่สุดเกาเหรินจะด้อยกว่าเล็กน้อย แต่ด้านอื่นๆ นอกนั้นเกรงว่าไม่ได้ด้อยกว่ากันเลย
“เจ้าคิดว่าราชสำนักทุ่งหญ้าเป็นเช่นใด”
จิ้งเหยาถาม
“ไม่เคยไป ไม่รู้”
เกาเหรินตอบกลับมาฉับพลันทันใด
แต่ความจริงแล้ว เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร
เพียงเพราะต้องการยุติหัวข้อสนทนานี้ก็เท่านั้น
“เจ้าชอบกินเนื้อ ราชสำนักทุ่งหญ้าเหมาะกับรสชาติที่เจ้าชอบเป็นที่สุด!
จิ้งเหยากล่าว
เขาไม่รู้จริงๆ ว่าควรทาบทามคนสักคนอย่างไร
ผู้ติดตามหลายคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง ล้วนติดตามเขามาหลังการต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายท่ามกลางภูเขาซากศพทะเลเลือด
ไม่จำเป็นต้องเอ่ยให้มากความ หนึ่งสายตา หนึ่งสัญญาณมือก็สามารถเข้าใจความนึกคิดซึ่งกันและกันได้
“กินเนื้อยังต้องไปกินถึงราชสำนักทุ่งหญ้าด้วยรึ ในใต้หล้าที่ห้าอ๋องร่วมกันปกครองขอเพียงมีเงิน มีสิ่งใดที่กินไม่ได้บ้าง”
เกาเหรินยิ้มเอ่ย
“หากเจ้าอยากให้ข้าไปราชสำนักทุ่งหญ้าก็ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่ก็ต้องให้ของที่ดึงดูดใจข้ากว่านี้หน่อย”
เกาเหรินหยุดพักหนึ่งจึงเอ่ย
จิ้งเหยาเหม่อเล็กน้อย กลอกตาส่ายหน้าหัวเราะ
เขารู้ว่าเกาเหรินมองความคิดของตนทะลุปรุโปร่งอีกแล้ว
“เจ้าต้องการสิ่งใด เงิน สตรี?”
จิ้งเหยาถาม
………………………………………