ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 454 เหมาะควรปราดเปรื่อง-4
บทที่ 454 เหมาะควรปราดเปรื่อง-4
……….
สิ่งที่บุรุษต้องการโดยมากแล้วก็ไม่พ้นเงิน อำนาจและหญิงงาม
เมื่อมีอำนาจย่อมมีเงิน
เมื่อมีเงิน ไม่ว่าจะใช้เงินซื้อหญิงงาม หรือกระทั่งยามร่วมกันสรรเสริญคนผู้หนึ่งก็ล้วนไม่มีทางขาดสตรีไปได้
ทั้งสามสิ่งนี้ เรียกได้ว่าหนุนนำกัน
แต่จิ้งเหยากลับไม่ได้เอ่ยถึงอำนาจ เพราะเขาไม่ใช่หมิงเย่า และไม่ใช่หลางอ๋องแห่งราชสำนักทุ่งหญ้า
ด้วยฐานะผู้นำหน่วยผู้หนึ่งย่อมไม่กล้าให้คำมั่นกับเกาเหรินมากเกินไป
“ของที่เจ้าเอ่ยถึงพวกนี้ ไม่ต้องไปราชสำนักทุ่งหญ้าก็มีทั้งสิ้น! ยิ่งไปกว่านั้น แม่นางที่นั่นร่างใหญ่นัก คาดว่าคนตัวเล็กๆ เช่นข้า ยังไม่ทันได้ขึ้นเตียงก็คงถูกทับตายเสียก่อน”
เกาเหรินกล่าว
กลับทำให้จิ้งเหยาและเหล่าผู้ติดตามข้างหลังหัวเราะลั่น!
ชาวทุ่งหญ้ากินเนื้อดื่มนม ย่อมมีร่างกายกำยำสูงใหญ่
ไม่ต้องเอ่ยถึงบุรุษ แม้แต่สตรียามยืนอยู่กับคนของอาณาจักรห้าอ๋อง อย่างน้อยก็สูงกว่าหนึ่งช่วงศีรษะ และลำตัวหนากว่าราวครึ่งฉื่อ
แน่นอนว่าหัวไชเท้าน้อยเช่นเกาเหรินจะทนรับได้ไหว
“เช่นนั้นเจ้าต้องการสิ่งใด”
จิ้งเหยาถาม
หากต้องคาดเดาทีละน้อย ไม่สู้ถามออกไปตรงๆ เสียเลย
ทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ก็ช่าง
ถ้าไม่ตกลงร่วมมือกัน ก็แยกย้ายกันเสีย
การต่อรองหรือติดต่อกันเช่นนี้ดีที่สุด ทำให้ทุกฝ่ายล้วนผ่อนคลายและไม่ต้องแบกรับภาระใด
“ข้าต้องการอำนาจ!”
เกาเหรินหุบยิ้ม ก่อนเอ่ยอย่างจริงจัง
จิ้งเหยาเห็นใบหน้าเขาเคร่งขรึม ในใจพลันสั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย
คำสามคำนี้ยามออกมาจากปากเขา แม้พูดไม่ได้ว่ากังวานมีพลัง
แต่ก็ให้ความรู้สึกเขย่าขวัญอย่างหนึ่ง
โดยเฉพาะในเวลานี้จิ้งเหยามองหน้าเกาเหรินตรงๆ
จ้องดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นของเขา ที่แม้แต่ดวงตะวันจ้าตาก็ยังสามารถถูกดูดกลืนเข้าไปจนสิ้น ยิ่งทำให้เขารู้สึกราวกับก้าวเข้าไปในโคลนดูด และไม่อาจดึงตัวออกมาได้เช่นนั้น
“เจ้าต้องการอำนาจใด”
จิ้งเหยาถามอึกอัก
ทั้งกายใจและเรี่ยวแรงทั้งหมดล้วนถูกเกาเหรินควบคุมเอาไว้
“ข้าบอกว่าข้าอยากเป็นหลางอ๋อง เจ้าจะให้ได้หรือไม่”
เกาเหรินถาม
เมื่อคำว่าหลางอ๋องคำนี้เอ่ยออกมากลับช่วยชีวิตของจิ้งเหยา
จิตใจของเขาสามารถหลุดจากออกจากสองตาของเกาเหรินได้ในทันใด และกลับมามีสติแจ่มชัดอีกครั้ง
ในราชสำนักทุ่งหญ้าหลางอ๋องเป็นตัวตนที่ไม่อาจลบหลู่ได้
ไม่มีผู้ใดล่วงเกินได้
อำนาจที่ผู้คนยอมตกอยู่เบื้องล่างและสั่งสมมาหลายสมัยนี้ แทรกซึมเข้าไปในเลือดและกระดูกของชาวทุกหญ้าทุกคนและหยั่งรากลึกมั่นคงมาเนิ่นนานแล้ว
“แม้เราจะร่วมมือกัน แต่ข้าจะเตือนเจ้าว่าอย่าได้ล้อเล่นกับความรู้สึกและจิตวิญญาณของชนเผ่าหนึ่งเด็ดขาด”
จิ้งเหยาจ้องเกาเหรินเขม็ง เอ่ยอย่างเย็นเฉียบ
“ขออภัย”
จิ้งเหยาหันหน้าไป
เขาไม่มีความคิดใดๆ ต่อเกาเหรินอีกแล้ว
ประโยคเมื่อครู่ที่กล่าวว่า ‘ข้าอยากเป็นหลางอ๋อง’ ไม่เพียงทำให้จิ้งเหยารู้สึกผิดหวัง แต่ยังรู้สึกชิงชังรังเกียจเขาขึ้นมาด้วย
กอปรกับเดิมทีก็ไม่ได้มีความรู้สึกดีๆ อันใดสั่งสมมาก่อนอยู่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้จิ้งเหยาจึงยิ่งเหินห่างจากเกาเหรินเข้าไปทุกที
ในใจเขายามนี้จึงเพียงแอบภาวนาอยู่เงียบๆ
หวังว่าเหล่าผู้เก่งกล้าในแนวหน้าของราชสำนักทุ่งหญ้าจะสามารถปกปักรักษาลูกหลานซึ่งเป็นคนรุ่นหลังเอาไว้ได้
ขอให้การเดินทางมายังเหมืองแร่ของเขาในครั้งนี้ราบรื่นและปลอดภัย
สามารถช่วงชิงใต้หล้าให้แก่ราชสำนักทุ่งหญ้าในวันข้างหน้า และสร้างฐานกำลังที่มั่นคงแข็งแกร่ง เป็นคุณูปการสืบไป
ส่วนความเป็นตายของตัวจิ้งเหยาเอง เขาก็เพิกเฉยต่อเรื่องนี้นับตั้งแต่ชั่วพริบตาที่ก้าวย่างเข้ามาในอาณาจักรห้าอ๋องแล้ว
“หลางอ๋องนั้นย่อมไม่ได้แน่นอน แต่หากเป็นรองจากหลางอ๋องเล่า”
เกาเหรินหยัดกายขึ้นมาพูด
“รองจากหลางอ๋อง?”
จิ้งเหยาทวนคำพูดของเกาเหรินอีกครั้งด้วยความฉงน
รองจากหลางอ๋อง มีเพียงสองแม่ทัพเท่านั้น
ซึ่งก็คืออั๋งหรานและอั๋งสยง แม่ทัพฝ่ายซ้ายและขวา
หรือเกาเหรินคิดอยากจะเป็นคนที่สาม
“ข้าไม่เข้าใจความหมายของเจ้า”
จิ้งเหยากล่าว
“หลางอ๋องหมิงเย่ามีเพียงแรงใจแต่มีกำลังไม่เพียงพอ หากข้าคำนวณไม่ผิด เขาก็เข้าวัยกลางคนแล้ว นับแต่เขาขึ้นครองราชย์ ราชสำนักทุ่งหญ้าไม่เพียงไม่มีการต่อสู้ขนาดใหญ่ กลับกันความสัมพันธ์ที่มีต่ออาณาจักรห้าอ๋องก็ยังนุ่มนวลขึ้น มีการสร้างท่าเรือค้าขายระหว่างกัน ขบวนคาราวานการค้าของสองฝ่ายเดินทางไปมาระหว่างกันไม่ขาดสาย เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าที่แท้แล้วเรื่องนี้บ่งชี้ถึงสิ่งใด”
เกาเหรินถาม
“นี่เป็นสิ่งที่หลางอ๋องทรงพิจารณา พวกเราเพียงต้องทำตามนั้น!”
จิ้งเหยากล่าว
“ไม่ เจ้าไม่เพียงไตร่ตรองในเรื่องนี้แล้ว! ยิ่งไปกว่านั้นยังรู้สึกไม่พอใจด้วย! เพราะชาวทุ่งหญ้าเป็นชนชาติที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ ดาบโค้งไม่ได้ออกจากฝักวันหนึ่ง ไม่ได้อยู่บนหลังม้าควบออกไปรบราฆ่าฟันวันหนึ่งก็จะรู้สึกอึดอัดอยากออกเรี่ยวแรง เจ้าว่าใช่หรือไม่ใช่เล่า”
เกาเหรินย้อนถาม
จิ้งเหยาแค่นเสียงหนหนึ่ง แต่ไม่ได้ต่อปากต่อคำ
“ฉะนั้น เหล่าผู้ชำนาญการรบเช่นพวกเจ้าจะต้องไม่พอใจที่หลางอ๋องหมิงเย่าใช้นโยบายอ่อนข้อเช่นนี้กับอาณาจักรห้าอ๋อง แต่เพราะบารมีของหลางอ๋องได้หยั่งรากลึกและมั่นคงในทุ่งหญ้าแล้ว พวกเจ้าจึงยังไม่กล้าล่วงเกินก็เท่านั้น…แต่ข้ากล้ามั่นใจได้ว่า ยามผู้นำหน่วยแห่งราชสำนักทุ่งหญ้าเช่นเจ้าล้อมวงรอบกองเพลิงดื่มจนเมามาย เมื่อคิดถึงเหล่าผู้กล้าในอดีต แปดถึงเก้าในสิบส่วนจะต้องโอดครวญต่อความอ่อนแอของหลางอ๋องในยามนี้เป็นแน่!”
เกาเหรินพูดต่อ
“ใช่ ข้าเคยพูด! แล้วอย่างไรเล่า”
จิ้งเหยายอมรับตรงๆ
ทว่าไม่ได้พูดเพราะโกรธ แต่เพราะเขาเคยพร่ำบ่นจริงๆ
ไม่เช่นนั้น เขาก็จะไม่พาผู้ใต้บังคับบัญชาเพียงสิบกว่านายละเมิดกฎเกณฑ์แห่งใต้หล้า บุกรุกเข้ามาในอาณาจักรห้าอ๋องเพื่อชิงเบี้ยหวัดของทัพชายแดนเจิ้นเป่ยอ๋อง
นอกจากเพื่อหาคันศรให้แก่ราชสำนักทุ่งหญ้าแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นก็ต้องการใช้เรื่องนี้สร้างชื่อก่อบารมี!
“แล้วมาว่ากันถึงพี่น้องสมองทึบฝ่ายซ้ายฝ่ายขวาของพวกเจ้าคู่นั้น คนหนึ่งหิวเงิน อีกคนจอมตัณหา! เรื่องที่เกิดในรัฐติงแดนติ้งซีอ๋องเมื่อหลายเดือนก่อน เจ้าเองก็คงรู้แล้ว ทังหมิงผู้ควบคุมรัฐติงนั่นเอาเครื่องมุกเครื่องหยก เงินทองและหญิงงามไปมอบให้ก็ซื้อตัวเขาได้แล้ว ถึงกับยอมเสี่ยงจะถูกหลางอ๋องลงทัณฑ์ โยกย้ายกองทหารโดยพลการ ไปตั้งทัพที่ชายแดน ซ้ำยังกำเริบเสิบสานปล่อยทหารหมาป่าไปสร้างความวุ่นวายที่แถบชายแดน คนเยี่ยงนี้กลับยังได้นั่งในตำแหน่งที่สูงเช่นนี้ สถานการณ์ของราชสำนักทุ่งหญ้าในเวลานี้ควรวิตกอย่างยิ่งไม่ใช่หรือ”
เกาเหรินกล่าว
“เรื่องนี้ราชสำนักทุ่งหญ้ามีประชามติไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นหลางอ๋องก็เป็นผู้กำหนดเอง เกรงว่าคงไม่ถึงคราวเจ้าที่เป็นคนนอกมาชี้นิ้วบงการ”
จิ้งเหยากล่าว
“หากเจ้ามีท่าทีเช่นนี้ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยข้อสนทนานี้ต่ออีก ในเมื่อข้าสามารถมองปัญหาออก ย่อมสามารถช่วยพวกเจ้าแก้ไขเรื่องนี้ได้”
เกาเหรินกล่าว
“ฉะนั้น เป็นรองหลางอ๋องที่เจ้าหมายถึงก็คืออยู่เหนือแม่ทัพซ้ายขวาทั้งสองคน?”
จนบัดนี้ จิ้งเหยาจึงเพิ่งเข้าใจความทะเยอทะยานของเกาเหริน
เห็นเพียงเกาเหรินพยักหน้ายอมรับสิ่งที่จิ้งเหยาพูด
“ตำแหน่งนี้ นับแต่โบราณมาล้วนไม่เคยมีในราชสำนักทุ่งหญ้ามาก่อน หากเจ้าไปที่นั่น ก็ต้องตั้งตำแหน่งใหม่ให้เจ้า!”
จิ้งเหยายิ้มเอ่ย
กลับไม่ได้ถือเอาคำพูดนี้ของเกาเหรินเป็นสาระสำคัญแต่อย่างใด
เห็นแค่ว่าเป็นคนบ้าพูดเองเออเองก็เท่านั้น
“ก่อนนี้ไม่มี วันหน้าจะมีไม่ได้หรือ หรือว่าเรื่องมากมายที่เป็นเช่นนี้มาแต่ไรจะถูกต้องไปเสียหมด?”
เกาเหรินกล่าว
จิ้งเหยาตั้งใจฟังอย่างละเอียด…
กลับรู้สึกว่าถ้อยคำนี้กล่าวได้ลึกล้ำนัก
“นี่ก็คือเงื่อนไขที่ข้าจะไปราชสำนักทุ่งหญ้า”
เกาเหรินเอ่ยพลางตบบ่าจิ้งเหยา
ไม่ว่าเรื่องใดล้วนมีราคาของมัน
คนก็เช่นกัน
คนผู้หนึ่งมีความสามารถเท่าใด เขาก็คู่ควรกับเงินทองเท่านั้น
จิ้งเหยารู้ชัดว่าเกาเหรินผู้นี้ไม่ใช่คนดีใจกว้างอันใด
อยู่ดีๆ จะมีใจเมตตาคำนึงถึงอนาคตของราชสำนักทุ่งหญ้าอย่างสุดหัวใจได้อย่างไร
เขาจะต้องมีเป้าหมายของตนเป็นแน่
และต้องการอาศัยอำนาจของราชสำนักทุ่งหญ้าทำเป้าหมายนั้นให้สำเร็จก็เท่านั้น
ทว่าในเมื่อเป็นการแลกเปลี่ยน สองฝ่ายย่อมต้องได้สิ่งที่ตนต้องการ
แต่ในขณะที่ยังไม่รู้ชัดถึงเป้าหมายที่แท้จริงของเกาเหริน จิ้งเหยาย่อมไม่มีทางบุ่มบามเด็ดขาด
“เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงการใหญ่ ข้าไม่อาจให้คำมั่นใดกับเจ้าได้ อย่างน้อยก็ต้องรอให้ได้ทูลต่อหลางอ๋องเสียก่อนและให้เขาตัดสินใจเอง”
จิ้งเหยากล่าว
“สิ่งที่ข้ามีก็คือเวลา ไม่ได้เร่งร้อนอันใด”
เกาเหรินเอ่ยอย่างผ่อนคลาย
“แต่หากยังไม่เคยได้พบแม้แต่ตัวเจ้า อาศัยแค่ปากแดงฟันขาวของข้าไปพูดก็ไม่มีแรงจูงใจใดแม้แต่น้อย”
จิ้งเหยากล่าว
“เจ้าหมายความว่าให้ข้าไปดินแดนทุ่งหญ้ากับเจ้าเพื่อเข้าพบหลางอ๋องหมิงเย่าหรือ”
เกาเหรินถาม
จิ้งเหยาพยักหน้า
“ได้อยู่แล้ว”
เกาเหรินตอบโดยไม่ลังเล
นี่กลับเกินกว่าที่จิ้งเหยาคาดเอาไว้
ในเวลานี้เอง จู่ๆ จิ้งเหยาก็เห็นว่าตรงประตูหอราชสีห์ในเมืองแห่งนั้นเกิดความวุ่นวายขึ้น
ไม่รู้เหตุใด คนในหอราชสีห์คล้ายกำลังวิ่งหนีตาย ต่างวิ่งเตลิดออกมาจากหอราชสีห์กันหัวซุกหัวซุน
แต่ติดที่ตรงนี้อยู่ห่างเกินไป ทำให้พวกของจิ้งเหยามองเห็นไม่ชัดเจนว่าเกิดเรื่องใดขึ้นภายในหอกันแน่
“พวกแม่นางนั้นไม่ใช่พวกมักก่อความวุ่นวายแท้ๆ!”
เกาเหรินเอ่ยขณะมองความวุ่นวายที่หน้าหอราชสีห์
“นางไม่ใช่มนุษย์”
จิ้งเหยากล่าว
อย่างไรก็บอกความจริงแก่เกาเหรินไปเสีย
“มิน่าเล่า ข้าจึงคำนวณออกมาไม่ได้”
มุมปากของเกาเหรินโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม
อสูรในเก้าบรรพต จะโทษก็ต้องโทษคำว่าอสูรนี้เอง
เมื่ออสูรแปลงกายแล้ว แม้จะเหมือนกับมนุษย์ทุกประการ ทั้งเรื่องการแต่งงานมีครอบครัวหรือเกิดแก่เจ็บตาย
แต่อย่างไรก็ยังเป็นอสูร
อยู่นอกเหนือการเวียนว่ายตายเกิด หลีกหนีจากวิถีแห่งสวรรค์
“ยามนี้รู้ความจริงนี้แล้ว สามารถคำนวณสิ่งใดได้บ้างหรือไม่”
จิ้งเหยาถาม
“สำหรับอสูรแล้วยังคงเป็นความคลุมเครือ…แม่นางน้อยนั้นก็มองไม่เห็นถ่องแท้ คนของสำนักปากสอบก็คงมีวิธีของตน ทว่าเรื่องวุ่นวายนี้เป็นผู้ใดก่อขึ้นและเป็นเพราะเรื่องใด ข้ากลับรู้ทั้งหมด”
เกาเหรินกล่าว
จิ้งเหยาฟังวิธีพูดจาเช่นนี้ของเขาก็รู้ว่าเขาเริ่มอมพะนำอีกแล้ว…
และแน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมหลงกลจึงปิดปากไม่ถาม เพียงรอให้เขาทนไม่ไหวและพูดออกมาเอง
จิ้งเหยากวักมือให้ผู้ติดตามที่อยู่ข้างหลังนายหนึ่งส่งขวดน้ำที่มีน้ำอยู่เต็มมาให้เขา
เขาดื่มไปอึกหนึ่ง ไม่ได้รีบร้อนกลืนลงไป แต่อมเอาไว้ในปากกลั้วคอ ก่อนจะบ้วนออกมา
ในตอนที่เขาก้มหน้าลงก็มีคนสองคนเดินเข้าไปภายในเมือง
ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ท่าทางไม่ใช่คนหนุ่มสาว
เดินไปข้างหน้าในทิศทางตรงกันข้ามกับฝูงชน และเดินตรงเข้าไปภายในหอราชสีห์แห่งนั้น
เดิมทีจิ้งเหยาไม่ได้สนใจ
แต่คนทั้งสองเดินสวนทางกับผู้คนกลับดึงดูดสายตายิ่งนัก ทำให้จิ้งเหยาตั้งใจจับจ้องพวกเขาขึ้นมา
ไม่ว่าผู้ใดเมื่อได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า ล้วนต้องรู้ทั้งสิ้นว่าที่แห่งนั้นเกิดเรื่องขึ้นและไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ด้วย
แต่คนทั้งสองยังคงเดินเชิดหน้าไปข้างหน้า หากไม่เป็นพวกโง่เขลาที่อยากไปดูเรื่องน่าตื่นเต้น เช่นนั้นก็จะต้องเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นภายในหอราชสีห์เป็นแน่
“ขอเพียงแม่นางน้อยนั้นไม่เกิดเรื่องเป็นพอ”
จิ้งเหยาดึงสายตากลับมา เอ่ยเรียบๆ ประโยคหนึ่ง
“วางใจเถิด ไม่มีใครเกิดเรื่องทั้งสิ้น”
เกาเหรินตอบไปประโยคหนึ่งด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
………………………………………
……….