ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 455 เหมาะควรปราดเปรื่อง-5
บทที่ 455 เหมาะควรปราดเปรื่อง-5
……….
ณ หอราชสีห์ภายในเมือง
เจ้าหมิงหมิงเพิ่งนั่งลงก็เกิดเสียงดังเอะอะมาจากโถงใหญ่ในชั้นล่าง
จากนั้นเจ้าหมิงหมิงก็เกิดความรู้สึกที่คุ้นเคยบางอย่าง
“คุณชายจาง ขอตัวสักครู่!”
เจ้าหมิงหมิงลุกขึ้นและเอ่ยกับจางเสี่ยวหยาง
จางเสี่ยวหยางรู้สึกไม่พอใจ แต่จนใจที่เขาต้องคอยรักษาหน้าตาของตนไว้ จึงพยักหน้าตอบรับอย่างสุภาพ
เจ้าหมิงหมิงสั่งให้เกาลัดคั่วน้ำตาลอยู่ภายในห้องส่วนตัวนี้และดูแลแม่นางน้อยให้ดี ไม่ต้องลงไปกับนาง
แม้ว่าเกาลัดคั่วน้ำตาลจะไม่เข้าใจ แต่ก็ยังทำตามความประสงค์ของคุณหนู
เจ้าหมิงหมิงถือกระบี่ก้าวลงไปชั้นล่างทีละก้าวๆ เห็นว่ามีคนผู้หนึ่งยืนตรงหน้าประตูโถงใหญ่
อาจเป็นเพราะรูปลักษณ์ของเขาแปลกประหลาดเกินไป ด้วยเหตุนี้โถงใหญ่ที่เดิมทีกำลังคึกคักจึงเงียบงันลงกะทันหัน
แสงแดดสาดส่องเข้ามาทางประตู
ใบหน้าของคนผู้นั้นจึงกลายเป็นเงามืด
แต่เจ้าหมิงหมิงก็ยังจำเขาได้
“ไม่ได้ยินข่าวมานาน ข้านึกว่าเจ้าถอดใจเสียแล้ว”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“ข้าจะถอดใจได้อย่างไรเล่า รักตัดได้ แต่แค้นกลับมิอาจลืม”
ผู้ตัดสัมพันธ์เอ่ยทีละคำ
หลังจากที่เขาประมือกับเจ้าหมิงหมิงในป่าชานเมืองรัฐติงเมื่อครั้งก่อน ก็ไม่มีข่าวคราวใดอีกเลย เจ้าหมิงหมิงนึกว่าเขาปล่อยวางเรื่องนี้ไปแล้วเสียอีก
แต่ดูไปยามนี้ กลับกลายเป็นว่าตนเองช่างไร้เดียงสาเกินไป
“หลังจากเจ้าไปจากรัฐติง ก็ไปที่หอทรงปัญญา”
ผู้ตัดสัมพันธ์กล่าว
“หรือว่าเจ้าคอยติดตามข้าอยู่ตลอดเวลา”
เจ้าหมิงหมิงย้อนถาม คิ้วงามยู่ย่นเล็กน้อย
ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ดีเอาเสียเลย…
คนผู้หนึ่งเฝ้าคนึงถึงนางอยู่ทุกเช้าค่ำ อยากรู้ความเคลื่อนไหวและข่าวคราวของนางอยู่ทุกชั่วยาม
หากเป็นคนรักของนางก็ย่อมเป็นการเอาใจใส่อย่างยิ่ง
แต่ผู้ตัดสัมพันธ์กลับไม่ได้รักเจ้าหมิงหมิงแต่อย่างใด เขามีเพียงความอาฆาตแค้นเท่านั้น
“ตลอดหลายปีนี้ ข้าเดินทางในอาณาจักรห้าอ๋องและพบกับอสูรเผ่าจิ้งจอกที่มีสายเลือดสูงส่งที่สุด ข้าจะไม่เอาแต่ยืนมองตาปริบๆ ปล่อยเจ้าหนีไปได้”
ผู้ตัดสัมพันธ์กล่าว
จากนั้นก็สาวเท้าเข้ามา
เวลานี้เองคนที่เหลืออยู่ภายในโถงเพียงไม่กี่คนจึงเพิ่งมองเห็นรูปร่างหน้าตาของผู้ตัดสัมพันธ์ได้อย่างถนัดตา
โดยเฉพาะดาบที่อาบไปด้วยเลือดในมือเขาเล่มนั้น ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อยากมองไปมากกว่านี้
เถ้าแก่ร้านหวาดกลัวจนหดตัวเข้าไปใต้โต๊ะเก็บเงิน
แต่เพราะร่างอ้วนกลมของเขา จึงยากจะยัดตัวเองเข้าไปได้ทั้งหมด
มาถึงตอนนี้เถ้าแก่จึงเพิ่งรู้สึกสำนึกเสียใจขึ้นมา…
สำนึกเสียใจว่าในยามปกตินั้นตนไม่ควรเห็นแก่กินเลย!
แม้ว่าหอราชสีห์จะมีระเบียบในทุกสิ่งและรุ่งเรืองขึ้นทุกวันภายใต้การดูแลของเขา
แต่ก็ทำให้ทั้งท้องและบั้นท้ายของเขาใหญ่ขึ้นทุกวันด้วยเช่นกัน
เป็นเหตุให้เวลานี้ยามก้มหัวลงสวมรองเท้าก็ยังต้องให้คนคอยช่วย
ในขณะที่เถ้าแก่กำลังพยายามสูดหายใจเข้า แขม่วท้องให้ร่างทั้งร่างสามารถมุดเข้าไปอยู่ใต้โต๊ะเก็บเงินได้ เสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นก็วิ่งโซเซเข้ามาด้วยอาการขวัญหนีดีฝ่อ
เมื่อเขาเห็นว่าเถ้าแก่กำลังพยายามซ่อนตัวอย่างสุดกำลัง ไม่เพียงไม่ช่วยเขา กลับกันยังกระชากคอเสื้อของเถ้าแก่และดึงตัวเขาออกมาข้างนอก
เถ้าแก่ที่กำลังคุดคู้อยู่จึงรักษาสมดุลร่างกายได้ยากยิ่ง
เมื่อเสี่ยวเอ้อร์กระชากตัวเขาออกมา ร่างเขาทั้งร่างก็เหมือนกับสุราที่ทะลักล้นออกจากขวด
นอนหงายอยู่บนพื้นหันหน้าขึ้นฟ้า เหมือนเต่าหงายท้องไม่มีผิด
เสี่ยวเอ้อร์เห็นดังนั้นก็ไม่ชักช้า
รีบก้มหน้าก้มตามุดเข้าไปใต้โต๊ะเก็บเงินโดยไม่หอบหายใจแต่อย่างใด
ไม่รู้ว่าคนทั้งสองนี้มีความผูกพันธ์แน่นแฟ้นใดกับโต๊ะเก็บเงินนี้ จึงไม่ได้รีบวิ่งหนีออกไปทางประตูเหมือนคนอื่นๆ ทั้งไม่ได้มุดไปทางด้านหลังและออกไปทางประตูข้าง แต่กลับพยายามยัดตัวเองเข้าไปใต้โต๊ะเก็บเงินอย่างสุดชีวิต
เถ้าแก่นอนแผ่อยู่บนพื้น สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
จนใจนักที่เขาไม่ได้มือไม้ว่องไวเหมือนกับเสี่ยวเอ้อร์
ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของอายุหรือรูปร่างของเถ้าแก่ล้วนด้อยกว่าเสี่ยวเอ้อร์มากนัก…
เขาทำได้เพียงเอื้อมมือออกไปคว้าขาเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็รั้งตัวให้ตะแคงขึ้นมา
ลำพังแค่ทำเช่นนี้ก็ต้องให้เขาพักเป็นเวลาหนึ่งถ้วยชาพร้อมกับหอบหายใจหนักๆ แล้ว
เจ้าหมิงหมิงเห็นท่าทางน่าอนาถของเถ้าแก่ก็อยากเข้าไปช่วยเขาเหลือเกิน
แต่ผู้ตัดสัมพันธ์กลับยื่นดาบขวางไว้ข้างหน้าด้วยท่าทีไม่เกรงกลัวแต่อย่างใด จึงทำให้นางไม่กล้าเสียสมาธิแม้แต่น้อย
ครั้นแล้วเถ้าแก่ก็อาศัยความพยายามของตนเองจนลุกขึ้นมายืนได้อีกครั้ง
และยังไม่ลืมเอื้อมมือไปปัดเศษดินที่เปรอะเปื้อนอยู่บนเสื้อออกด้วย
เมื่อใดที่เถ้าแก่แห่งหอราชสีห์ต้องอยู่ต่อหน้าผู้คนก็จะต้องสง่างามมีหน้ามีตา
แต่เหงื่อที่หน้าผากและสีหน้าหวาดผวายังคงหักหลังเขา
ใต้โต๊ะเก็บเงิน มีเสี่ยวเอ้อร์ยึดพื้นที่เอาไว้แล้ว ที่ที่ดี่ที่สุดในเวลานี้ก็คือไปหลบข้างหลังร้าน
เถ้าแก่ไม่รู้ว่าอีกสักพักภายในโถงใหญ่ของหอราชสีห์จะเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ เห็นเพียงไก่อ่อนตัวหนึ่งถือดาบ และหญิงงามผู้หนึ่งถือกระบี่
ไม่ว่าจะมองอย่างไร พวกเขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะนั่งลงจิบชาสนทนากันดีๆ เป็นแน่
แต่เถ้าแก่ผู้นี้ก็มีความรับผิดชอบอย่างยิ่ง
เขายังคงเดินไปข้างหน้าโต๊ะเก็บเงิน ดึงลิ้นชักออกมาและยกชั้นลิ้นชักทั้งหมดออกไป
ภายในนั้นมีสมุดบัญชีและเงินที่ขายของได้จนถึงตอนนี้ของวันนี้ ด้วยฐานะเถ้าแก่เขามีทั้งเหตุผลและหน้าที่ที่ต้องดูแลของเหล่านี้เป็นอย่างดี
แต่ในขณะที่เขากำลังดึงลิ้นชักออกมา ก็ยกเท้าไปถีบเสี่ยวเอ้อร์ที่ซ่อนอยู่ข้างใต้สองสามหน
เสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นอดทนไม่ไหวต้องร้องครวญครางออกมาหลายครั้ง ทำให้เจ้าหมิงหมิงรู้สึกว่าน่าขันนัก
“เจ้าดูคนผู้นี้ แม้แต่เงินทองเล็กน้อยก็ยังไม่ยอมปล่อยวาง แล้วเหตุใดเจ้าจะต้องมาเกลี้ยกล่อมให้ข้าปล่อยวางความแค้น”
ผู้ตัดสัมพันธ์มองเถ้าแก่ถือชั้นลิ้นชักเดินออกไปที่ด้านหลัง ก่อนเชิดคางขึ้นพูด
“เขาเป็นเถ้าแก่ของหอราชสีห์แห่งนี้ รับจ้างเขาก็ต้องซื่อสัตย์ต่องานที่ทำ เงินและสมุดบัญชีนี้แม้จะมีส่วนของเขาอยู่ด้วย แต่การดูแลรักษาของเหล่านี้ให้ดีก็คือความรับผิดชอบและหน้าที่ที่เขาอยู่ที่นี่ แต่ความหมายของเจ้าอยู่ที่ใด ที่เจ้าทำเช่นนี้เพราะต้องรับผิดชอบต่อผู้ใด”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
หากเป็นไปได้ นางก็ไม่อยากจะประมือกับผู้ตัดสัมพันธ์เลยจริงๆ
ประการที่หนึ่ง เพราะวรยุทธ์ของผู้ตัดสัมพันธ์นั้นสูงอย่างยิ่ง
ประการที่สอง นางรู้สึกสงสารเวทนาจากส่วนลึกของหัวใจต่อสิ่งที่ผู้ตัดสัมพันธ์ต้องพานพบมา…
เขาเป็นผู้น่าเวทนาผู้หนึ่ง
กับผู้น่าเวทนาเช่นนี้ เจ้าหมิงหมิงยากจะลงมืออย่างสุดกำลังได้
ความจริงแล้วหลังจากการต่อสู้ครั้งก่อนกับผู้ตัดสัมพันธ์ เจ้าหมิงหมิงก็ตัดสินใจว่าจะเตรียมตัวกลับเขาเรียงรัน และจะไปสอบถามกับบิดาถึงความจริงและจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้
แต่คำพูดเหล่านี้กลับไม่สามารถบอกกับผู้ตัดสัมพันธ์ได้
จะอย่างไรเจ้าหมิงหมิงก็เป็นบุตรสาวของเจ้าหุบเขาเรียงรัน เมื่อว่ากันเรื่องสายโลหิต นางก็ยังเป็นผู้สูงศักดิ์แห่งเผ่าอสูร
หากบอกกับผู้ตัดสัมพันธ์ไปตรงๆ ก็จะกลายเป็นว่าแทนที่จะยอมรับว่าตนผิด ไม่สู้ยอมก้มหัวให้ดีกว่าหรอกหรือ
เรื่องที่สร้างความเสียหายให้กับตระกูลและหน้าตาของเขาเรียงรัน เจ้าหมิงหมิงไม่มีทางทำ
ผู้ตัดสัมพันธ์ฟังคำพูดนี้ของเจ้าหมิงหมิงแต่ไม่ได้ตอบกลับ
เพราะความจริงแล้วเขาเองก็ไม่รู้ หรือต่อให้รู้ก็ไม่อาจบอกได้ชัดเจน
ความหมาย ความรับผิดชอบ
คำเหล่านี้เขาคุ้นเคยยิ่งนัก แต่กลับไม่เคยนำมาพิจารณาอย่างถี่ถ้วนกับตนเองเลยสักครั้ง
หากต้องพูดขึ้นมาจริงๆ ทั้งหมดล้วนเป็นไปเพื่อการแก้แค้น
ความหมายของการแก้แค้นคือแก้แค้น ความรับผิดชอบของการแก้แค้นก็คือแก้แค้นด้วยเช่นกัน
แต่คำพูดเหล่านี้กลับทำให้ผู้ตัดสัมพันธ์ยากขยับปากเอ่ย
ซึ่งในเรื่องนี้ ทั้งผู้ตัดสัมพันธ์และเจ้าหมิงหมิงล้วนไตร่ตรองไม่ผิดแต่อย่างใด
เพียงแต่ผู้หนึ่งคำนึงถึงเวลานี้ ส่วนอีกผู้หนึ่งกลับคิดลึกล้ำและยาวไกลยิ่งกว่า
วันคืนยังอีกยาวไกล หลังจากแก้แค้นแล้ว อย่างไรก็ยังต้องมีชีวิตต่อไป
เมื่อถึงเวลานั้น ผู้ตัดสัมพันธ์จะเผชิญหน้ากับฤดูทั้งสี่ในหนึ่งปีกับตะวันขึ้นดวงเดือนลับได้อย่างไร
แต่เจ้าหมิงหมิงกลับมองข้ามปัญหาข้อหนึ่งไป
นั่นก็คือหลังจากที่ผู้ตัดสัมพันธ์ตัดสินใจว่าจะแก้แค้น ชีวิตของเขาก็หยุดชะงักอยู่ในค่ำคืนนั้นตลอดไป
ความเสียใจอันไร้ขีดจำกัดคอยประคับประคองร่างที่เป็นดั่งซากศพเดินได้ของเขา ให้สามารถก้าวเดินไปทีละก้าวจนสุดขอบโลกเพื่อตามล้างแค้น
หากวันหนึ่งเขาสามารถแก้แค้นอันใหญ่หลวงนี้ได้แล้วจริงๆ
ก็จะต้องกลับไปยังค่ำคืนนั้น เลือกที่จะยุติชีวิตอันอ้างว้างไปพร้อมกับรักเดียวของตน
หารู้ไม่ว่าผู้ตัดสัมพันธ์ในเวลานี้ได้สูญเสียความสามารถในการไตร่ตรองไปแล้ว
สิ่งที่ยังเหลืออยู่มีเพียงความสามารถในการดำรงชีวิตอยู่ต่อไปเท่านั้น
ไม่รู้ว่าเขาเดินทางมาไกลเท่าใด เวลานี้รู้สึกทั้งหิวและกระหายจนยากทนไหว
ผู้ตัดสัมพันธ์หันหน้าไปมองโต๊ะที่อยู่ข้างๆ
ผู้คนที่หนีออกไปจากหอราชสีห์ท่ามกลางความวุ่นวายเมื่อครู่นี้ มีหลายคนที่ยังทานอาหารไม่หมด
บนโต๊ะที่อยู่ใกล้เขาที่สุดยังมีปลาที่อยู่ครบสมบูรณ์ทั้งตัว มีไอร้อนพวยพุ่งคล้ายว่าเพิ่งยกมาไม่นาน
ผู้ตัดสัมพันธ์จ้องปลาตัวนั้นพลางกลืนน้ำลาย ลูกกระเดือกขยับขึ้นลงสองสามครั้ง
ท้ายที่สุดก็ยังเดินเข้าไป…
หลังจากนั่งลงที่โต๊ะแล้ว เขาก็ใช้สองขาหนีบดาบของตนเอาไว้ หยิบตะเกียบมาคู่หนึ่งและเริ่มกินปลา
คนที่กินปลาเป็นล้วนรู้ว่าเนื้อชิ้นเล็กๆ ที่อยู่ใต้เหงือกเป็นเนื้อที่อ่อนนุ่มที่สุด
ส่วนคนที่กินปลาไม่เป็น ก็มักกินตรงกลางลำตัวของปลาก่อน
ไม่ใช่เพราะเหตุใดอื่น เพียงเพราะเห็นว่ามีเนื้อมาก
แต่เมื่อผู้ตัดสัมพันธ์กินปลา กลับพูดไม่ได้ว่ากินเป็นหรือกินไม่เป็น
เขาใช้ตะเกียบตัดหัวปลาออก อ้าปากกว้างๆ แล้วเอาทั้งหมดใส่ปาก
จากนั้นเคี้ยวไปทั้งชิ้นใหญ่ๆ โดยไม่กลัวกระดูกแข็งๆ ที่หัวปลา
เจ้าหมิงหมิงยืนมองอยู่ข้างๆ อย่างกังวลใจยิ่ง แต่ผู้ตัดสัมพันธ์กลับทำราวกับว่าไม่เป็นอันใด เคี้ยวอยู่สักพักก็กลืนลงไปทั้งหมด
ผู้ตัดสัมพันธ์กินปลาทั้งตัวไปทีละน้อยจนหมด แล้วเอาผ้าห่มที่พันตัวอยู่มาเช็ดปาก
ผ้าห่มผืนนั้นเดิมทีก็สกปรกจนมองสภาพเดิมไม่ออกอยู่แล้ว แต่เมื่อเปื้อนน้ำจากตัวปลาตรงมุมปากของผู้ตัดสัมพันธ์ก็ยิ่งดำเข้าไปอีก
“เหตุใด…เจ้าจึงไม่สวมเสื้อผ้า”
เจ้าหมิงหมิงถาม
แม้ว่าไม่ใช่สตรีทุกคนจะรักความสะอาด
แต่บุรุษที่สกปรกในใต้หล้านี้กลับมีมากกว่าสตรีที่สกปรกมากนัก
หลายครั้งก่อนที่ได้พบกับผู้ตัดสัมพันธ์ล้วนเป็นในเวลาค่ำคืน
มีแต่ความดำมืด ทำให้เจ้าหมิงหมิงมองไม่ถนัดตา
เมื่อมองไปเวลานี้เกรงว่าผ้าห่มผืนนี้คงแนบติดตัวเขาจะถอดก็ถอดไม่ออกแล้ว
“นี่เป็นผ้าห่มมังกรคู่หงส์ที่ท่านอาจารย์มอบให้ตอนข้าแต่งงาน”
ผู้ตัดสัมพันธ์กล่าว
พลางเอื้อมมือไปลูบด้านหน้าของผ้าห่ม
ตำแหน่งนั้นอยู่ตรงหน้าท้องของเขาพอดี อาศัยแสงสว่างตอนนี้เจ้าหมิงหมิงพอจะมองเห็นลวดลายบนนั้นได้รางๆ
“ผ้าห่มมังกรคู่หงส์?”
เจ้าหมิงหมิงถามด้วยความสงสัย
นางไม่รู้เรื่องใดๆ เกี่ยวกับพิธีและประเพณีเหล่านี้ของแดนมนุษย์เลย
นางคิดมาตลอดว่าหงส์และมังกรล้วนเป็นของที่ใช้สำหรับเหล่าราชนิกุลในสมัยจักรพรรดิ
“ในคืนที่บ่าวสาวแต่งงานเข้าห้องหอจะต้องจุดเทียนมังกรหงส์และห่มผ้าห่มมังกรคู่หงส์”
ผู้ตัดสัมพันธ์กล่าว
แววตาพลันอ่อนโยน
ยามได้ยินคำว่าเข้าห้องหอ เจ้าหมิงหมิงกลับเขินอายขึ้นมา…
นางรู้ว่ามันหมายถึงสิ่งใดและรู้ว่าหลังจากเข้าห้องหอแล้วเกิดเรื่องใดขึ้น
จะว่าไป ครั้งนางยังเล็กก็เคยจินตนาการภาพที่ตนเองเข้าห้องหอด้วยเช่นกัน
แต่ว่าเวลานั้น นางแค่รู้สึกว่าชุดแต่งงานของเจ้าสาวงดงามมากเท่านั้น
ตลอดหลายปีมานี้กลับเป็นครั้งแรกที่มีบุรุษมาเอ่ยคำว่าเข้าห้องหอต่อหน้านาง
………………………………………